ธรรมะ สบาย ตรงกลาง ของความไม่มีสัตว์ ตน บุคคล และ ความมีสัตว์ ตน บุคคล

เมื่อ สัตว์  ตน บุคคล     นั้นคือ  สักกายทิฐิ ของปุถุชน
เมื่อ สัตว์  ตน บุคคล   ไม่มี  คือ  อุทเฉททิฐิ  ของปุถุชน
เมื่อ สัตว์  ตน บุคคล  นั้น  ไม่ใช่ทุกข์ ของปุถุชน


คำว่าทิฐิ  คือความเห็น  ไม่ใช่ความคิด แสดงว่า  อวิชา สร้าง ทิฐิ บดบัง  สัมมาทิฐิได้  อวิชชาคือ ไม่รู้ว่า ขันธิ์ เป็นทุกข์ ความยึดมั่น ตัณหา เป็นเหตุ
เมื่อ สัตว์  ตน บุคคล   ไม่มี  เป็นความคิด  ที่เกิดจากสัมมาทิฐิ   คือ  แท้จริง เป็นเพียง กองทุกข์ จึง ไม่มีความยึดมั่นว่า ตน สัตว์ บุคคล ในกองทุกข์

สัตว์  ตน บุคคล   ไม่มี แท้จริงแล้วกล่าวถึงความคิดจาก สัมมาทิฐิว่า เป็นเพียง กองทุกข์ จึง ไม่มีความยึดมั่นว่า ตน สัตว์ บุคคล ในกองทุกข์
สัตว์  ตน บุคคล   ไม่มี  ก็อาจกล่าว  ในแง่อุทเฉททิฐิได้เมื่อ มองหาค้นหา สัตว์ ตน บุคคล
การแสดงธรรมในแง่  มองหาสัตว์ ตน บุคคล จึงเกิดเพราะความไม่รู้  ในหลายๆแบบ กลายเป็นอโยนิโสมนสิการ
ซึ่งเราอาจได้ยิน  ได้ฟังมาแบบไม่รู้ กลายเป็นเหมือน  เรามองหาสัตว์ ตน บุคคล  

การแสดงธรรม  ที่เปลี่ยนมุมมอง การหาสัตว์ ตน บุคคล  มาเป็น  การชี้ว่า สัตว์ ตน บุคคล  คือความยึดมั่น สักกายะ คือ ทุกข์  เหตุทุกข์
ที่พระพุทธเจ้าทรงชี้ เริ่มมีลดลง


ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า

ดูกรอนุราธะ ก็โดยที่จริง โดยที่แท้ เธอค้นหาสัตว์บุคคลในขันธ์ ๕ เหล่านี้ใน
ปัจจุบันไม่ได้เลย (ไม่ควรค้นหา)

ปุถุชนนั้นมนสิการอยู่โดยไม่แยบคายอย่างนี้ว่า
เราได้มีแล้วในอดีตกาลหรือหนอ
เราไม่ได้มีแล้วในอดีตกาลหรือหนอ
ในอดีตกาลเราได้เป็นอะไรหนอ
ในอดีตกาลเราได้เป็นอย่างไรหนอ
ในอดีตกาลเราได้เป็นอะไรแล้วจึงเป็นอะไรหนอ
ในอนาคตกาลเราจักมีหรือหนอ
ในอนาคตกาลเราจักไม่มีหรือหนอ
ในอนาคตกาลเราจักเป็นอะไรหนอ
ในอนาคตกาลเราจักเป็นอย่างไรหนอ
ในอนาคตกาลเราจักเป็นอะไรแล้วจึงจักเป็นอะไรหนอ
หรือว่า ปรารภกาลปัจจุบันในบัดนี้มีความสงสัยขึ้นภายในว่า เรามีอยู่
หรือเราไม่มีอยู่หรือ เราเป็นอะไรหนอ เราเป็นอย่างไรหนอ
สัตว์นี้มาแต่ไหนหนอ และมันจักไป ณ ที่ไหน.
             เมื่อปุถุชนนั้นมนสิการอยู่โดยไม่แยบคายอย่างนี้ บรรดาทิฏฐิ ๖ ทิฏฐิอย่างใดอย่างหนึ่ง
ย่อมเกิดขึ้น ทิฏฐิโดยจริงโดยแท้ย่อมเกิดขึ้นแก่ปุถุชนนั้นว่า
ตนของเรามีอยู่ 1(สักกายทิฐิ)
หรือว่า ตนของเราไม่มีอยู่ 2 (อุทเฉททิฐิ)
หรือว่า เราย่อมรู้ชัดตนด้วยตนเอง 3
หรือว่า เราย่อมรู้ชัดสภาพมิใช่ตนด้วยตนเอง 4
หรือว่าเราย่อมรู้ตนด้วยสภาพมิใช่ตน 5
อีกอย่างหนึ่ง ทิฏฐิย่อมเกิดมีแก่ปุถุชนนั้นอย่างนี้ว่า ตนของเรา
นี้เป็นผู้เสวย ย่อมเสวยวิบากแห่งกรรมทั้งดีทั้งชั่วในอารมณ์นั้นๆ ก็ตนของเรานี้นั้นเป็นของ
แน่นอนยั่งยืนเที่ยงแท้ ไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา จักตั้งอยู่อย่างนั้นเสมอด้วยสิ่งยั่งยืนแท้  6

ข้อนี้
เรากล่าวว่าทิฏฐิ ชัฏคือทิฏฐิ กันดารคือทิฏฐิ เสี้ยนหนามคือทิฏฐิ ความดิ้นรนคือทิฏฐิ สิ่งที่ประกอบ
สัตว์ไว้คือทิฏฐิ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่า ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับผู้ประกอบด้วยทิฏฐิสังโยชน์
ย่อมไม่พ้นจากชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส ย่อมไม่พ้นจากทุกข์.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่