อานาปานสติสูตร แค่หมวดกาย.. จิตก็อยู่ระดับฌานแล้ว ดังนี้

หมวดที่หนึ่ง : การเฝ้าตามดูกาย
๑. เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่าหายใจเข้ายาว
เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่าหายใจออกยาว
๑.๑ ขณะที่ลมหายใจเข้า-ออกอยู่ในลักษณะที่ยาวแสดงว่าธาตุ

กายหยาบมาก เมื่อกายหยาบ อารมณ์อันเป็นส่วนนามธรรมก็อยู่ในสภาพ
ที่หยาบเช่นกัน
๑.๒ ธาตุหยาบของกายจะถูกขับ คลายออกมาในลักษณะความร้อน

เจ็บ ปวด เหน็บชาเหงื่อออก หนักศีรษะเวียนศีรษะอาเจียน ท้องเดิน จับไข้
๑.๓ สภาวธรรมเหล่านี้จักปรากฏชัด เมื่อผู้ปฏิบัติบำเพ็ญความเพียร

ในอิริยาบท เดินและนั่ง สลับกันไป โดยแต่ละอิริยาบทจะต้องใช้เวลาไม่

ต่ำกว่า ๔๐ นาทีขึ้นไป
๑.๔ จิตจะเข้าสู่สภาวะละเอียดไม่ได้ตราบใดที่ธาตุกายยังหยาบอยู่
๑.๕ ระยะเวลาเพียง ๔๐ นาทีหรือ ๓๐ นาทีของการนั่ง หากเป็น
ช่วงในชีวิตประจำวัน เราจะไม่พบกับความผิดปกติทางกายเลย
๑.๖ อารมณ์(อาหาร)ของจิต ๓ ประเภท อารมณ์คิด(อดีต),อารมณ์

นึก(อนาคต), อารมณ์รู้สึก(ปัจจุบัน) สภาพจิตในชีวิตประจำวัน จิตจะ

อยู่กับอารมณ์คิด - นึก(อารมณ์ปรุงแต่ง) เดินก็คิด นั่งก็คิด ยืน...นอนก็คิด
หากไม่สังเกตให้ชัดดูเหมือนจิตจะอยู่กับความคิดนึกตลอดเวลาไม่ว่างเว้น
๑.๗ ๘๐% ของอารมณ์ที่จิตนำมาคิด - นึกปรุงแต่ง ล้วนไร้สาระ
สูญเสียพลังงานชีวิตเปล่า
๑.๘ จิตที่อยู่กับความคิด-นึกมากๆ จะเสียศูนย์ เสียการทรงตัว
นั่นคือท่านเปิดประตูรับศัตรูแห่งชีวิตคือความเครียด วิตก กังวล เข้ามาแล้ว
๑.๙ การปล่อยให้ข้าศึกศัตรูเข้ามาอาศัยในบ้าน หากเจ้าของบ้าน

ไม่ระมัดระวัง ไม่นานเขาก็ถือสิทธิ์ครอบครองบ้านทั้งหมด เจ้าบ้านเดิมก็

ตกเป็นทาสรับใช้
๑.๑๐ เพื่อกลับไปสู่ฐานเดิมแห่งชีวิตอันเป็นความงาม อิสระ
เบิกบาน เราจำต้องเรียกความสมดุลของจิตกลับคืนมา
๑.๑๑ อุบายวิธีการฝึกจิตกลับสู่สมดุลเดิม ก็คือฝึกจิตให้อยู่กับ

อารมณ์รู้สึกอันเป็นปัจจุบันบ่อยๆเริ่มต้นที่กายก่อน เดินก็รู้สึกตัว ยืนก็รู้สึก

ตัว นั่งก็รู้สึกตัว
๑.๑๒ การที่จะรู้สึกตัวได้ชัดนั้น ผู้ฝึกใหม่ต้องรู้จัก กุศโลบาย โดย

อาศัยรูปแบบการฝึกฝนสติที่ถูกกับจริตนิสัย
๑.๑๓ ในชีวิตประจำวันขณะที่จิตรับอารมณ์ ความพอใจและ

ไม่พอใจจะผุดขึ้นมาร่วมเสมอ ความพอใจ(อภิชฌา), ไม่พอใจ(โทมนัส)
พลังงาน -ธาตุทั้ง ๒ นี้ไม่ได้สูญหายไปไหน เพราะถูกยึด ถูกเก็บไว้ในรูป

อุปาทาน
๑.๑๔ อภิชฌาและโทมนัส ที่อุปาทานเก็บไว้นี่แหละ พระพุทธองค์

ทรงตรัสว่าเป็น เพลิงแห่งทุกข์ หรือเพลิงกิเลส
๑.๑๕ เรือแห่งชีวิตที่ไร้สติเป็นหางเสือนั้น วันหนึ่งๆ จะหลงเก็บ

สะสมเพลิงทุกข์ไว้นับไม่ถ้วน
๑.๑๖ เพลิงทุกข์ที่สะสมไว้มากๆ เมื่อประกายไฟแห่งอารมณ์

ภายนอก(แม้เล็กน้อย) ที่ปะทุขึ้นมาในชีวิตประจำวัน เพลิงทุกข์จะ
ทำหน้าที่เสมือนเชื้อเพลิงโหมไหม้อย่างน่ากลัว! จึงไม่แปลกที่บางคนแม้

รับอารมณ์ที่ไม่พอใจเพียงนิดหน่อย แต่อารมณ์ตอบสนองรุนแรงมาก
๑.๑๗ ประกายไฟแห่งอารมณ์ภายนอกไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้
แต่จะมีผลอะไรหากเชื้อเพลิงภายในถูกขจัดสิ้นหมดแล้ว ประกายไฟเข้ามา

ทางประสาทสัมผัสใดก็ดับที่จุดนั้น
๑.๑๘ บทสรรเสริญพระพุทธคุณข้อความว่า พระพุทธเจ้าเป็น
พระอรหันต์ดับเพลิงกิเลส เพลิงทุกข์สิ้นเชิงฯ คงชัดขึ้นในใจบ้างแล้ว

สำหรับบางท่าน
๑.๑๙ น้ำดีไล่น้ำเสีย เมื่อจิตถูกฝึกให้อยู่กับอารมณ์รู้สึก(ปัจจุบัน)

บ่อยๆเพิ่มพูนขึ้นๆอารมณ์คิดนึกต่างๆ ที่เก็บไว้ในรูปอุปาทานจะถูกขับ

ออกมา คลายตัวออกมา ผู้ไม่เข้าใจกฎสัมพันธ์นี้ถึงกับท้อแท้ เลิกล้ม

การปฏิบัติไปก็มี
๑.๒๐ เมื่อชั่วโมงแห่งการเจริญสติเพิ่มมากขึ้น ความหยาบทางกาย

ความหยาบทางอารมณ์ก็จักเบาบางลงๆ
๑.๒๑ ช่วงกายหยาบ - จิตหยาบ นิวรณ์ธรรมที่ปรากฏชัด คือ
กามฉันทะ พยาบาท
๑.๒๒ กรณีที่ผู้ฝึกปฏิบัติเริ่มต้น หากประสบกับทุกขเวทนาทางกาย

และใจแก่กล้าจนรู้สึกทนไม่ไหว ควรใช้ฐานกายหมวดอื่นเป็นอารมณ์

ของสติไปก่อน เช่น หมวดพิจารณาร่างกายเป็นสิ่งปฏิกูล ไม่สะอาด
หมวดพิจารณากายประกอบด้วยธาตุ ๔ หรือหมวดพิจารณากายประดุจ

ดั่งซากศพที่ทิ้งไว้ในป่าช้า
๑.๒๓ เมื่อน้อมฐานทั้ง ๓ มาพิจารณา อุปาทานความยึดมั่นใน

อารมณ์แห่งตัวตนก็จะถูกคลายไปๆอารมณ์ละเอียดขึ้นๆเมื่ออารมณ์และ

จิตละเอียด ก็ส่งผลให้ความหยาบทางกายเบาบางไปด้วย
๑.๒๔ ฐานกายหมวดสัมปชัญญะปัพพะ เป็นอีกอุบายหนึ่งที่ช่วย

ได้โดยอาศัยรูปแบบการเคลื่อนไหว - ยกมือเป็นจังหวะ ผู้ฝึกปฏิบัติควร
ทดลองปฏิบัติดู
๑.๒๕ เมื่อใช้อุบายที่แนะนำมาทั้งหมดยังไม่ได้ผล สภาพจิตใจ

ยังสับสนอยู่มาก ยิ่งปฏิบัติยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น ขอแนะนำวิธีสุดท้าย

ให้ผู้ปฏิบัตินั่งอยู่ในท่าสมาธิ(ห้ามพิง) ไม่ใช้ความพยายามใดๆ ไม่จดจ้อง

ไม่ใส่ใจอะไรทั้งหมด แม้ลมหายใจก็ไม่ต้องไปดู นั่งเฉยๆจิตจะคิดนึกอะไร
ก็ปล่อยให้คิดนึกเต็มที่ อย่าต่อต้าน หรือปฏิเสธอารมณ์ ด้วยอุบายนี้

อารมณ์ความคิดนึกที่หยาบๆจะคลายตัวออกมา ปล่อยให้คลายเต็มที่
๑.๒๖ ย้อนนิมิตอารมณ์ เมื่ออารมณ์หยาบคลายตัวไปถึง

จุดหนึ่ง ภาพอารมณ์ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนจะผุดขึ้นมาๆ ชัดมาก
แต่เกิด - ดับเร็วกว่าอารมณ์ปกติทั่วไป ลักษณะอารมณ์ดังกล่าว ท่านไม่

สามารถแยกแยะได้ว่าเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ หรืออยู่ช่วงไหนของกาลเวลา
จะเป็นอารมณ์อดีตก็ไม่ใช่อนาคตก็ไม่ใช่จะรู้สึกแปลกใจว่าภาพอารมณ์

ที่ไม่เคยรับรู้มาก่อน ปรากฏขึ้นให้จิตรับรู้ได้อย่างไร
หลังจากนั้นไม่นานท่านจะรู้สึกเคลิ้ม(เบลอ) จิตจะเข้าสู่อารมณ์

ง่วง ความรู้สึกจะหายไปในที่สุด ท่านก็จะหลับ(นั่งหลับ) เมื่อรู้สึกตัวความ

รู้สึกจะโปร่งเบาสดชื่นไปหมดและพร้อมที่จะกลับไปสู่การปฏิบัติในภาค

ปกติได้
๑.๒๗ วิธีคลายอารมณ์หยาบนี้สามารถนำไปใช้กับผู้ที่ยึดติดใน

อารมณ์มากๆวิตก กังวล สับสนทางความคิดจนถึงขั้นต้องพึ่งยานอนหลับ

หากใช้วิธีนี้ก่อนนอน โดยฝึกนั่งจนไปถึงจุดที่รู้สึกง่วงจึงล้มตัวลงนอนก็จะ

หลับได้สบายโดยไม่ต้องพึ่งยานอนหลับ
๑.๒๘ หากเรียงลำดับอารมณ์จากหยาบไปละเอียด ก็จะมี
ลักษณะดังนี้
อารมณ์อดีต(ส่วนที่หยาบ) ช่วงนี้นิวรณ์ที่ปรากฏชัด คือ

กามฉันทะ พยาบาท
อารมณ์ง่วงเมื่อสภาพหยาบทางอารมณ์คลายตัวไปมากแล้ว ทุกข
เวทนาทางกายและใจเบาบางลง ช่วงนี้หากสติไม่ชัดพอ ความง่วง(ถีนมิทธะ)
จะปรากฏชัด
อารมณ์อนาคต เมื่ออารมณ์ง่วงคลายไป อารมณ์อนาคตจะ

ปรากฏขึ้นมาเป็นอารมณ์ของจิต ช่วงนี้อุทธัจจะกุกกุจจะและวิจิกิจฉาจะ

ปรากฏชัด หลังจากนั้นจิตจะเข้าสู่ภาวะที่ละเอียดขึ้นจนกระทั่งเข้าสู่
อัปปนาชวนะวาระวิถี
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่