คู่มือปฏิบัติ อานาปานสติ การหายใจที่ดับทุกข์ได้ (พุทธทาสภิกขุ)
สวนโมกขพลาราม (วัดธารน้ำไหล) อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี
https://buddhadasa.info/files/pdf/B_new/new021.pdf
หมวดที่ 1 กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน
- ความเห็นแก่ตัวเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์...
- ขันธ์ 5 เป็นที่ตั้งแห่งความเห็นแก่ตัว...
- หัวใจของพระพุทธศาสนา...
- อุปาทานขันธ์เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ไม่มีอุปาทานขันธ์ก็ไม่มีทุกข์
- พระพุทธเจ้าท่านตรัสยืนยันอย่างนี้
- ความว่า สงฺขิตเตนปญฺจุปาทานขนฺธาทุกฺขา ว่า เมื่อกล่าวโดยสรุปแล้ว
ปัญจุปาทานขันธ์เป็นตัวทุกข์ หมายความว่าขันธ์ที่มีอุปาทาน 5 อย่าง
นั้นแหละเป็นตัวทุกข์ ตรงกันข้ามก็คือ ถ้าไม่มีอุปาทานขันธ์ หรือไม่เกิด
อุปาทานขันธ์ ก็ไม่เกิดทุกข์หรือไม่มีทุกข์
- นี้จงจำให้เป็นหลักแล้วก็จะสามารถอธิบายเชื่อมถึงโยงกันไปหมด จนเข้า
หลักเกณฑ์อันนี้ โดยเฉพาะว่า มีอุปาทานขันธ์เมื่อใดก็มีทุกข์เมื่อนั้น ไม่เกิด
อุปาทานขันธ์ก็ไม่เกิดทุกข์เลย
- ทีนี้ก็มาทราบว่า อานาปานสติภาวนา เป็นเรื่องสำคัญที่สุด หรือเป็นวิธีที่จะให้
รู้แจ้ง ให้เข้าใจทุกเรื่องที่เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ เรื่องอานาปานสติ จะบอกให้ทราบ
ทุกเรื่อง เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ คือ เรื่องความทุกข์ และ เรื่องที่จะควบคุมความทุกข์
ไว้ได้
- เหตุที่เลือกใช้อานาปานสติสูตร...
- อานาปานสติภาวนา เป็นกรรมฐาน หรือเป็นสมาธิภาวนาแบบที่พระพุทธองค์
ได้ปฏิบัติและตรัสรู้ มีคำตรัสยืนยันว่า ตรัสรู้ด้วยอานาปานสติภาวมาโดยเฉพาะ
นี้ก็เป็นเรื่องพิเศษเรื่องหนึ่ง ว่าทำไมจึงระบุอย่างนี้ กรรมฐานภาวนามีตั้งมากมาย
- เรามีสิทธิ์ที่จะเรียกระบบอานาปานสติภาวนานี้ ว่าเป็นสมาธิแบบของพระพุทธองค์
โดยตรง เพราะมีที่อ้างอยู่ในพระบาลีโดยตรง ว่าพระองค์ทรงใช้แบบนี้ และไม่ได้
เอ่ยถึงแบบอื่น เป็นแบบที่ควรจะเรียกกันทั่วไปว่า แบบของพระพุทธองค์ คือ แบบ
อานาปานสติภาวนา
- ที่ไม่ต้องวุ่นวาย แบบนี้จึงเรียกว่า แบบอานาปานสติ คือสติกำหนดลมหายใจเข้าออก
วิธีการโดยละเอียดมีอยู่ใน อานาปานสติสูตร ในมหาสติปัฏฐานสูตรมีนิดเดียว ทั้งที่
ชื่อว่ามหาๆ
- มันมีของดีหลายอย่างหลายประการสำหรับแบบนี้ ตัวอย่างเช่น แบบนี้เมื่อทำแล้ว
จะเป็นทั้งสมถะ และวิปัสสนา พร้อมกันไปในตัว ไม่ต้องแยกทำคนละที และยังแถม
กล่าวได้ว่า มีศีลพร้อมกันไปในตัวในการกระทำ ไม่ต้องทำพิธีรับศีลก่อนแล้วจึงมาทำ
ขอให้ลงมือทำเกิดตามระบบนี้ ก็จะมีศีล สมาธิ ปัญญา พร้อมกันไปในตัว
- เมื่อมาพิจารณาดูถึงแบบฝ่ายเถรวาท ก็เห็นว่า แบบอานาปานสตินี่แหละ มีสมถะและ
วิปัสสนา พร้อมกันไปในตัว แล้วก็อย่างรัดกุมที่สุด เลยเป็นเหตุให้ต้องนึกถึงข้อเท็จจริง
อีกอย่างหนึ่งว่า เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสถึงทางออกจากความทุกข์ คือวิถีทางดับทุกข์นั้น
โดยทั่วไปก็ตรัสเป็นอัฏฐังคิกมรรค หรือมัชฌิมาปฏิปทา
- แต่ก็มีมากแห่งเหลือเกิน แทนที่จะตรัสว่า มัชฌิมาปฏิปทา ก็ตรัสแต่เพียงว่า
สมโถ จ วิปัสฺสนา จ เท่านี้ก็มี คือสมถะและวิปัสสนา เป็นนิโรธคามนีปฏิปทา
คือตรัสแทนคำว่า มัชฌิมาปฏิปทา ข้อนี้ถ้าไม่คุ้นเคยกับพระไตรปิฎกก็ไม่
สังเกตเห็น แต่ผู้ที่คุ้นเคยกับพระไตรปิฎก ก็เกินกว่าที่สังเกตเห็น เพราะมีมาก
เหลือเกิน
- ทำไมมันแทนกันได้ เพราะว่าในสมถะนั้น มันมีศีลรวมอยู่ด้วย เมื่อพูดว่า สมถะ และ
วิปัสสนา ก็มี ทั้งศีล ทั้งสมาธิ และทั้งปัญญา ในอริยมรรคมีองค์ 8 นั้น ถ้าสงเคราะห์
ย่นย่อแล้วก็มีเพียง ศีล สมาธิ ปัญญา ดังนั้น มันจึงมีค่าเท่ากัน พระองค์จึงนำมาตรัส
แทนกันได้ ระหว่างคำว่า มัชฌิมาปฏิปทา กับคำว่า สมโถ จ วิปสฺสนา จ ขอให้เป็นที่
เข้าใจในข้อนี้
- ทำสมาธิภาวนาโดยวิธีอานาปานสติภาวนาแล้ว จะเป็นการปฏิบัติอย่างถึงที่สุด
ทั้งในศีล ทั้งในสมาธิ และทั้งในปัญญา เรียกว่ามันสมบูรณ์แบบอยู่ในตัว ถ้าจะพูด
อย่างธรรมดาสามัญ ก็ว่าเป็นวิธีที่ได้เปรียบที่สุด ควรจะสนใจ
- ฉะนั้นขอให้สนใจว่า อานาปานสติภาวนานี้ ประหลาดที่ว่า ทำที่ไหนก็ได้ ทำที่บ้าน
ก็ได้ ทำในป่าก็ได้ ทำที่บ้านก็ทำบ้านให้เป็นป่าไปในตัวนั่นเอง นี้เรียกว่าเป็นข้อดี
ทำได้ในทุกอิริยาบถ จะนั่ง จะยืน จะเดิน ก็ทำได้ แต่ว่าสะดวกที่สุดนั้นในอิริยาบถนั่ง
เมื่อทำสำเร็จประโยชน์จนมีคุณประโยชน์ อานิสงส์อย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้นแล้ว
ก็อาจจะรักษาอานิสงส์ คือ ความสงบนั้นไว้ได้ในทุกอิริยาบถ
- อานาปานสติ เป็นสติปัฏฐานที่แท้จริง เรียกว่า สติปัฏฐาน 4 เป็นที่นิยมยกย่องหรือ
สำคัญ สำหรับสติปัฏฐาน 4 มันมีร่วมอยู่ในโพธิปักขิยธรรม แต่ว่าคำว่า สติปัฏฐาน
สติปัฏฐานที่สมบูรณ์แบบแท้ๆ นั้น กลับมามีอยู่ใน อานาปานสติสูตร ในสูตรชื่อ
มหาสติปัฏฐานเองกลับไม่สมบูรณ์
- นี่ขอบอกกล่าวให้ทราบกันว่า อานาปานสติที่สมบูรณ์นั้นมีอยู่ สูตรสั้นๆ ชื่อว่า
อานาปานสติสูตร ในมหาสติปัฏฐานสูตรอันยาวเฟื้อยนั้นกลับไม่สมบูรณ์ในเรื่อง
อานาปานสติ ฉะนั้นเราจึงสนใจเรื่องในอานาปานสติแทนมหาสติปัฏฐานสูตร
จะได้ผลคุ้มค่า คุ้มค่าเวลา เป็นเรื่องกะทัดรัด เป็นเรื่องทำได้ทันอกทันใจ
- เมื่อทำอานาปานสติครบ 16 ขั้นแล้ว พระพุทธองค์ตรัสว่า เมื่อทำอานาปานสติ
ครบ 16 ขั้นแล้ว สติปัฏฐาน 4 ก็สมบูรณ์ สติปัฏฐาน 4 สมบูรณ์แล้ว โพชฌงค์
ก็สมบูรณ์ โพชฌงค์สมบูรณ์ วิชชาและวิมุตติก็สมบูรณ์ ตรงกันอย่างนี้เลย
- สติปัฏฐาน 4 สมบูรณ์ เมื่อทำอานาปานสติสมบูรณ์ อานาปานสติ มีอยู่ 4 หมวด
หมวดละ 4 ขั้น เป็น 16 ขั้น ถ้าทำครบทั้ง 16 ขั้นนี้แล้ว สติปัฏฐานทั้ง 4 จะสมบูรณ์
ไม่มีอะไรจะสมบูรณ์ไปยิ่งกว่านี้
- ทั้ง 4 หมวด เรียกว่า จตุกกะ จตุกกะก็แปลว่า หมวดละ 4 ทั้ง 4 จตุกกะนี้ มัน
สัมพันธ์กันอย่างมีเทคนิคที่สุด คือมันต้องทำเป็นลำดับ ลำดับไปอย่างนั้น
ให้ครบถ้วนอย่างนั้น แล้วเกี่ยวข้องกันอย่างนั้นๆ แล้วมันก็กะทัดรัดที่สุด
ไม่ฟุ่มเฟือยฟุ้งซ่าน
- เอ้าดูว่า หมวดที่ 1 จตุกกะที่ 1 ทำให้รู้จักลมหายใจ รู้จักธรรมชาติของลมหายใจ
จนกระทั่งรู้จักว่า ร่างกายเนื้อนี้ก็มีอยู่หมวดหนึ่ง เนื่องกันอยู่กับลมหายใจ เตรียม
กายนี้ให้พร้อม ให้รู้จัก คือปรับปรุงให้ดี ให้ถูกให้ต้องทั้งสองกาย คือทั้งกายลม
และกายเนื้อ ก็จะเกิดการสงบรำงับได้ นี่หมวดที่ 1 ก็มีเทคนิคอยู่อย่างนี้
- หมวดที่ 2 ก็รู้จักเวทนา คือความรู้สึก เป็นสุข เป็นทุกข์ ไม่ทุกข์ไม่สุข ว่าเวทนานี้
เป็นเรื่องสำคัญในหมู่มนุษย์ มนุษย์เป็นไปตามอำนาจของเวทนา เวทนานี้มันจูง
จมูกไปให้ทำอะไรก็ได้ สุขก็จูงไปอย่าง ทุกข์ก็จูงไปอย่าง อทุกขมสุขก็จูงไปอย่าง
เราต้องรู้จักเวทนา และควบคุมเวทนาให้ได้ และจะเสวยเวทนาตามที่ควรจะเสวย
บังคับเวทนาได้ก็คือ การบังคับจิตได้
- มันสัมพันธ์กับหมวดที่ 1 ก็คือว่าเมื่อทำหมวดที่ 1 สำเร็จ มันก็จะมีสุขเวทนาที่เกิด
มาจากสมาธิ แล้วก็เอาสุขเวทนาที่เกิดมาจากสมาธิของหมวดที่ 1 นั้น มาเป็น
อารมณ์ของเวทนานุปัสสนา หมวดที่ 2 ก็แปลว่า เราได้เวทนาอันสูงสุด ประเสริฐ
ที่สุด คือเป็นสุขที่สุด มาใช้เป็นบทเรียน
- ถ้าเอาชนะเวทนาอันสูงสุดนี้ได้ แล้วก็เอาชนะเวทนาที่ต่ำต้อยกว่านั้นได้ โดยไม่
ต้องสงสัย เอาเวทนาชั้นที่สูงสุดมาเป็นบทเรียนสำหรับศึกษา สำหรับประพฤติ
กระทำ มันก็ดีกว่า นี่ความเป็นเทคนิคมันซ่อนอยู่อย่างนี้ แล้วมันสัมพันธ์กันกับ
หมวดที่ 1 อย่างนี้
- ทีนี้หมวดที่ 3 รู้จักจิต ว่าเป็นอย่างไร รู้จักจิตทุกชนิดทุกรูปแบบว่าเป็นอย่างไร
จนกระทั่งว่าบังคับจิตได้ตามต้องการ มันสังเกตเอาจากที่ว่าในระยะไหนของ
อานาปานสติ จิตเป็นอย่างไร ในระยะไหน จิตเป็นอย่างไร อย่างนี้ก็ได้ หรือจะ
สังเกตเอาทั่วๆ ไปตามความรู้สึกของเราที่มีอยู่ว่า จิตเป็นอย่างไร จิตเคยเป็น
อย่างไรบ้าง อย่าต้องคำนวณว่า ถ้าจิตฟุ้งซ่านคือเป็นอย่างนี้ ถ้าจิตไม่ฟุ้งซ่าน
จะเป็นอย่างไร ก็พอจะคำนวณเอาได้ จนสามารถรู้จักจิตทุกแบบ รายละเอียด
ข้อนี้ก็จะไปพูดถึงเมื่อบรรยายไปถึงตอนนั้น
- ทีนี้ หมวดที่ 4 บังคับจิตได้แล้ว ก็ใช้จิตนั้นให้ทำงาน พูดอย่างเป็นภาษาอุปมา
ภาษาบุคคลาธิษฐานว่า ใช้จิตให้ทำงาน ข้อนี้ก็ไม่มีอะไรมาก จิตที่อยู่ในอำนาจ
ควบคุมได้แล้ว ก็สามารถจะใช้ทำอะไรก็ได้ ในที่นี้ก็ บังคับจิตให้ทำหน้าที่อย่าง
เหมาะสมถูกต้อง จนกระทั่งเห็นอนิจจัง ซึ่งรวมทั้ง ทุกขัง อนัตตา แล้วก็บังคับจิต
ให้หน่ายคลายกำหนัด ให้คลายกำหนัด คือ ให้คลายความยืดมั่นถือมั่น แล้ว
จนกระทั่งดับความยืดมั่นถือมั่นเสียได้ แล้วกระทั่งรู้สึกว่าเดี๋ยวนี้ว่าทำได้แล้ว
ทำได้อย่างนี้แล้ว ทำได้ถึงที่สุดแล้ว เรื่องที่ต้องทำเพื่อดับทุกข์นั้นไม่มีเหลือ
อีกแล้ว ทำหมดแล้ว
- นี่อานาปานสติหมวดที่ 4 เป็นอย่างนี้ เห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มากเพียงพอ
จนกระทั่งเบื่อหน่ายคลายกำหนัดจนมีวิราคะ เมื่อคลายไปคลายไปก็ดับหมด
เป็นนิโรธ จึงหมดปัญหาดับกิเลสและดับทุกข์ได้ ก็รู้เป็นครั้งสุดท้ายว่า โอ้
มันดับแล้ว ดับสิ้นสุดแล้ว ใช้คำที่เป็นโวหารอุปมาอีกเหมือนกัน ใช้คำว่า
สลัดคืน คือโยนทิ้งออกไปได้หมดแล้ว ไม่เอามายึดถือไว้อีกต่อไปแล้ว
จบอย่างนี้
- นี่แหละรูปโครงของอานาปานสติ 4 หมวด มีลักษณะอย่างนี้ สัมพันธ์กันอย่างนี้
มีเทคนิคอย่างนี้ มีจำนวนเท่านี้ เพิ่มไม่ได้ลดไม่ได้ ต้องเรียงลำดับแห่งการปฏิบัติ
อย่างนี้ๆ สลับกันอย่างอื่นไม่ได้หรือไม่ดี นี่ขอให้รู้จักไว้อย่างนี้
คู่มือปฏิบัติ อานาปานสติ การหายใจที่ดับทุกข์ได้ (พุทธทาสภิกขุ)
คู่มือปฏิบัติ อานาปานสติ การหายใจที่ดับทุกข์ได้ (พุทธทาสภิกขุ)
สวนโมกขพลาราม (วัดธารน้ำไหล) อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี
https://buddhadasa.info/files/pdf/B_new/new021.pdf
หมวดที่ 1 กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน
- ความเห็นแก่ตัวเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์...
- ขันธ์ 5 เป็นที่ตั้งแห่งความเห็นแก่ตัว...
- หัวใจของพระพุทธศาสนา...
- อุปาทานขันธ์เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ไม่มีอุปาทานขันธ์ก็ไม่มีทุกข์
- พระพุทธเจ้าท่านตรัสยืนยันอย่างนี้
- ความว่า สงฺขิตเตนปญฺจุปาทานขนฺธาทุกฺขา ว่า เมื่อกล่าวโดยสรุปแล้ว
ปัญจุปาทานขันธ์เป็นตัวทุกข์ หมายความว่าขันธ์ที่มีอุปาทาน 5 อย่าง
นั้นแหละเป็นตัวทุกข์ ตรงกันข้ามก็คือ ถ้าไม่มีอุปาทานขันธ์ หรือไม่เกิด
อุปาทานขันธ์ ก็ไม่เกิดทุกข์หรือไม่มีทุกข์
- นี้จงจำให้เป็นหลักแล้วก็จะสามารถอธิบายเชื่อมถึงโยงกันไปหมด จนเข้า
หลักเกณฑ์อันนี้ โดยเฉพาะว่า มีอุปาทานขันธ์เมื่อใดก็มีทุกข์เมื่อนั้น ไม่เกิด
อุปาทานขันธ์ก็ไม่เกิดทุกข์เลย
- ทีนี้ก็มาทราบว่า อานาปานสติภาวนา เป็นเรื่องสำคัญที่สุด หรือเป็นวิธีที่จะให้
รู้แจ้ง ให้เข้าใจทุกเรื่องที่เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ เรื่องอานาปานสติ จะบอกให้ทราบ
ทุกเรื่อง เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ คือ เรื่องความทุกข์ และ เรื่องที่จะควบคุมความทุกข์
ไว้ได้
- เหตุที่เลือกใช้อานาปานสติสูตร...
- อานาปานสติภาวนา เป็นกรรมฐาน หรือเป็นสมาธิภาวนาแบบที่พระพุทธองค์
ได้ปฏิบัติและตรัสรู้ มีคำตรัสยืนยันว่า ตรัสรู้ด้วยอานาปานสติภาวมาโดยเฉพาะ
นี้ก็เป็นเรื่องพิเศษเรื่องหนึ่ง ว่าทำไมจึงระบุอย่างนี้ กรรมฐานภาวนามีตั้งมากมาย
- เรามีสิทธิ์ที่จะเรียกระบบอานาปานสติภาวนานี้ ว่าเป็นสมาธิแบบของพระพุทธองค์
โดยตรง เพราะมีที่อ้างอยู่ในพระบาลีโดยตรง ว่าพระองค์ทรงใช้แบบนี้ และไม่ได้
เอ่ยถึงแบบอื่น เป็นแบบที่ควรจะเรียกกันทั่วไปว่า แบบของพระพุทธองค์ คือ แบบ
อานาปานสติภาวนา
- ที่ไม่ต้องวุ่นวาย แบบนี้จึงเรียกว่า แบบอานาปานสติ คือสติกำหนดลมหายใจเข้าออก
วิธีการโดยละเอียดมีอยู่ใน อานาปานสติสูตร ในมหาสติปัฏฐานสูตรมีนิดเดียว ทั้งที่
ชื่อว่ามหาๆ
- มันมีของดีหลายอย่างหลายประการสำหรับแบบนี้ ตัวอย่างเช่น แบบนี้เมื่อทำแล้ว
จะเป็นทั้งสมถะ และวิปัสสนา พร้อมกันไปในตัว ไม่ต้องแยกทำคนละที และยังแถม
กล่าวได้ว่า มีศีลพร้อมกันไปในตัวในการกระทำ ไม่ต้องทำพิธีรับศีลก่อนแล้วจึงมาทำ
ขอให้ลงมือทำเกิดตามระบบนี้ ก็จะมีศีล สมาธิ ปัญญา พร้อมกันไปในตัว
- เมื่อมาพิจารณาดูถึงแบบฝ่ายเถรวาท ก็เห็นว่า แบบอานาปานสตินี่แหละ มีสมถะและ
วิปัสสนา พร้อมกันไปในตัว แล้วก็อย่างรัดกุมที่สุด เลยเป็นเหตุให้ต้องนึกถึงข้อเท็จจริง
อีกอย่างหนึ่งว่า เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสถึงทางออกจากความทุกข์ คือวิถีทางดับทุกข์นั้น
โดยทั่วไปก็ตรัสเป็นอัฏฐังคิกมรรค หรือมัชฌิมาปฏิปทา
- แต่ก็มีมากแห่งเหลือเกิน แทนที่จะตรัสว่า มัชฌิมาปฏิปทา ก็ตรัสแต่เพียงว่า
สมโถ จ วิปัสฺสนา จ เท่านี้ก็มี คือสมถะและวิปัสสนา เป็นนิโรธคามนีปฏิปทา
คือตรัสแทนคำว่า มัชฌิมาปฏิปทา ข้อนี้ถ้าไม่คุ้นเคยกับพระไตรปิฎกก็ไม่
สังเกตเห็น แต่ผู้ที่คุ้นเคยกับพระไตรปิฎก ก็เกินกว่าที่สังเกตเห็น เพราะมีมาก
เหลือเกิน
- ทำไมมันแทนกันได้ เพราะว่าในสมถะนั้น มันมีศีลรวมอยู่ด้วย เมื่อพูดว่า สมถะ และ
วิปัสสนา ก็มี ทั้งศีล ทั้งสมาธิ และทั้งปัญญา ในอริยมรรคมีองค์ 8 นั้น ถ้าสงเคราะห์
ย่นย่อแล้วก็มีเพียง ศีล สมาธิ ปัญญา ดังนั้น มันจึงมีค่าเท่ากัน พระองค์จึงนำมาตรัส
แทนกันได้ ระหว่างคำว่า มัชฌิมาปฏิปทา กับคำว่า สมโถ จ วิปสฺสนา จ ขอให้เป็นที่
เข้าใจในข้อนี้
- ทำสมาธิภาวนาโดยวิธีอานาปานสติภาวนาแล้ว จะเป็นการปฏิบัติอย่างถึงที่สุด
ทั้งในศีล ทั้งในสมาธิ และทั้งในปัญญา เรียกว่ามันสมบูรณ์แบบอยู่ในตัว ถ้าจะพูด
อย่างธรรมดาสามัญ ก็ว่าเป็นวิธีที่ได้เปรียบที่สุด ควรจะสนใจ
- ฉะนั้นขอให้สนใจว่า อานาปานสติภาวนานี้ ประหลาดที่ว่า ทำที่ไหนก็ได้ ทำที่บ้าน
ก็ได้ ทำในป่าก็ได้ ทำที่บ้านก็ทำบ้านให้เป็นป่าไปในตัวนั่นเอง นี้เรียกว่าเป็นข้อดี
ทำได้ในทุกอิริยาบถ จะนั่ง จะยืน จะเดิน ก็ทำได้ แต่ว่าสะดวกที่สุดนั้นในอิริยาบถนั่ง
เมื่อทำสำเร็จประโยชน์จนมีคุณประโยชน์ อานิสงส์อย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้นแล้ว
ก็อาจจะรักษาอานิสงส์ คือ ความสงบนั้นไว้ได้ในทุกอิริยาบถ
- อานาปานสติ เป็นสติปัฏฐานที่แท้จริง เรียกว่า สติปัฏฐาน 4 เป็นที่นิยมยกย่องหรือ
สำคัญ สำหรับสติปัฏฐาน 4 มันมีร่วมอยู่ในโพธิปักขิยธรรม แต่ว่าคำว่า สติปัฏฐาน
สติปัฏฐานที่สมบูรณ์แบบแท้ๆ นั้น กลับมามีอยู่ใน อานาปานสติสูตร ในสูตรชื่อ
มหาสติปัฏฐานเองกลับไม่สมบูรณ์
- นี่ขอบอกกล่าวให้ทราบกันว่า อานาปานสติที่สมบูรณ์นั้นมีอยู่ สูตรสั้นๆ ชื่อว่า
อานาปานสติสูตร ในมหาสติปัฏฐานสูตรอันยาวเฟื้อยนั้นกลับไม่สมบูรณ์ในเรื่อง
อานาปานสติ ฉะนั้นเราจึงสนใจเรื่องในอานาปานสติแทนมหาสติปัฏฐานสูตร
จะได้ผลคุ้มค่า คุ้มค่าเวลา เป็นเรื่องกะทัดรัด เป็นเรื่องทำได้ทันอกทันใจ
- เมื่อทำอานาปานสติครบ 16 ขั้นแล้ว พระพุทธองค์ตรัสว่า เมื่อทำอานาปานสติ
ครบ 16 ขั้นแล้ว สติปัฏฐาน 4 ก็สมบูรณ์ สติปัฏฐาน 4 สมบูรณ์แล้ว โพชฌงค์
ก็สมบูรณ์ โพชฌงค์สมบูรณ์ วิชชาและวิมุตติก็สมบูรณ์ ตรงกันอย่างนี้เลย
- สติปัฏฐาน 4 สมบูรณ์ เมื่อทำอานาปานสติสมบูรณ์ อานาปานสติ มีอยู่ 4 หมวด
หมวดละ 4 ขั้น เป็น 16 ขั้น ถ้าทำครบทั้ง 16 ขั้นนี้แล้ว สติปัฏฐานทั้ง 4 จะสมบูรณ์
ไม่มีอะไรจะสมบูรณ์ไปยิ่งกว่านี้
- ทั้ง 4 หมวด เรียกว่า จตุกกะ จตุกกะก็แปลว่า หมวดละ 4 ทั้ง 4 จตุกกะนี้ มัน
สัมพันธ์กันอย่างมีเทคนิคที่สุด คือมันต้องทำเป็นลำดับ ลำดับไปอย่างนั้น
ให้ครบถ้วนอย่างนั้น แล้วเกี่ยวข้องกันอย่างนั้นๆ แล้วมันก็กะทัดรัดที่สุด
ไม่ฟุ่มเฟือยฟุ้งซ่าน
- เอ้าดูว่า หมวดที่ 1 จตุกกะที่ 1 ทำให้รู้จักลมหายใจ รู้จักธรรมชาติของลมหายใจ
จนกระทั่งรู้จักว่า ร่างกายเนื้อนี้ก็มีอยู่หมวดหนึ่ง เนื่องกันอยู่กับลมหายใจ เตรียม
กายนี้ให้พร้อม ให้รู้จัก คือปรับปรุงให้ดี ให้ถูกให้ต้องทั้งสองกาย คือทั้งกายลม
และกายเนื้อ ก็จะเกิดการสงบรำงับได้ นี่หมวดที่ 1 ก็มีเทคนิคอยู่อย่างนี้
- หมวดที่ 2 ก็รู้จักเวทนา คือความรู้สึก เป็นสุข เป็นทุกข์ ไม่ทุกข์ไม่สุข ว่าเวทนานี้
เป็นเรื่องสำคัญในหมู่มนุษย์ มนุษย์เป็นไปตามอำนาจของเวทนา เวทนานี้มันจูง
จมูกไปให้ทำอะไรก็ได้ สุขก็จูงไปอย่าง ทุกข์ก็จูงไปอย่าง อทุกขมสุขก็จูงไปอย่าง
เราต้องรู้จักเวทนา และควบคุมเวทนาให้ได้ และจะเสวยเวทนาตามที่ควรจะเสวย
บังคับเวทนาได้ก็คือ การบังคับจิตได้
- มันสัมพันธ์กับหมวดที่ 1 ก็คือว่าเมื่อทำหมวดที่ 1 สำเร็จ มันก็จะมีสุขเวทนาที่เกิด
มาจากสมาธิ แล้วก็เอาสุขเวทนาที่เกิดมาจากสมาธิของหมวดที่ 1 นั้น มาเป็น
อารมณ์ของเวทนานุปัสสนา หมวดที่ 2 ก็แปลว่า เราได้เวทนาอันสูงสุด ประเสริฐ
ที่สุด คือเป็นสุขที่สุด มาใช้เป็นบทเรียน
- ถ้าเอาชนะเวทนาอันสูงสุดนี้ได้ แล้วก็เอาชนะเวทนาที่ต่ำต้อยกว่านั้นได้ โดยไม่
ต้องสงสัย เอาเวทนาชั้นที่สูงสุดมาเป็นบทเรียนสำหรับศึกษา สำหรับประพฤติ
กระทำ มันก็ดีกว่า นี่ความเป็นเทคนิคมันซ่อนอยู่อย่างนี้ แล้วมันสัมพันธ์กันกับ
หมวดที่ 1 อย่างนี้
- ทีนี้หมวดที่ 3 รู้จักจิต ว่าเป็นอย่างไร รู้จักจิตทุกชนิดทุกรูปแบบว่าเป็นอย่างไร
จนกระทั่งว่าบังคับจิตได้ตามต้องการ มันสังเกตเอาจากที่ว่าในระยะไหนของ
อานาปานสติ จิตเป็นอย่างไร ในระยะไหน จิตเป็นอย่างไร อย่างนี้ก็ได้ หรือจะ
สังเกตเอาทั่วๆ ไปตามความรู้สึกของเราที่มีอยู่ว่า จิตเป็นอย่างไร จิตเคยเป็น
อย่างไรบ้าง อย่าต้องคำนวณว่า ถ้าจิตฟุ้งซ่านคือเป็นอย่างนี้ ถ้าจิตไม่ฟุ้งซ่าน
จะเป็นอย่างไร ก็พอจะคำนวณเอาได้ จนสามารถรู้จักจิตทุกแบบ รายละเอียด
ข้อนี้ก็จะไปพูดถึงเมื่อบรรยายไปถึงตอนนั้น
- ทีนี้ หมวดที่ 4 บังคับจิตได้แล้ว ก็ใช้จิตนั้นให้ทำงาน พูดอย่างเป็นภาษาอุปมา
ภาษาบุคคลาธิษฐานว่า ใช้จิตให้ทำงาน ข้อนี้ก็ไม่มีอะไรมาก จิตที่อยู่ในอำนาจ
ควบคุมได้แล้ว ก็สามารถจะใช้ทำอะไรก็ได้ ในที่นี้ก็ บังคับจิตให้ทำหน้าที่อย่าง
เหมาะสมถูกต้อง จนกระทั่งเห็นอนิจจัง ซึ่งรวมทั้ง ทุกขัง อนัตตา แล้วก็บังคับจิต
ให้หน่ายคลายกำหนัด ให้คลายกำหนัด คือ ให้คลายความยืดมั่นถือมั่น แล้ว
จนกระทั่งดับความยืดมั่นถือมั่นเสียได้ แล้วกระทั่งรู้สึกว่าเดี๋ยวนี้ว่าทำได้แล้ว
ทำได้อย่างนี้แล้ว ทำได้ถึงที่สุดแล้ว เรื่องที่ต้องทำเพื่อดับทุกข์นั้นไม่มีเหลือ
อีกแล้ว ทำหมดแล้ว
- นี่อานาปานสติหมวดที่ 4 เป็นอย่างนี้ เห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มากเพียงพอ
จนกระทั่งเบื่อหน่ายคลายกำหนัดจนมีวิราคะ เมื่อคลายไปคลายไปก็ดับหมด
เป็นนิโรธ จึงหมดปัญหาดับกิเลสและดับทุกข์ได้ ก็รู้เป็นครั้งสุดท้ายว่า โอ้
มันดับแล้ว ดับสิ้นสุดแล้ว ใช้คำที่เป็นโวหารอุปมาอีกเหมือนกัน ใช้คำว่า
สลัดคืน คือโยนทิ้งออกไปได้หมดแล้ว ไม่เอามายึดถือไว้อีกต่อไปแล้ว
จบอย่างนี้
- นี่แหละรูปโครงของอานาปานสติ 4 หมวด มีลักษณะอย่างนี้ สัมพันธ์กันอย่างนี้
มีเทคนิคอย่างนี้ มีจำนวนเท่านี้ เพิ่มไม่ได้ลดไม่ได้ ต้องเรียงลำดับแห่งการปฏิบัติ
อย่างนี้ๆ สลับกันอย่างอื่นไม่ได้หรือไม่ดี นี่ขอให้รู้จักไว้อย่างนี้