แชร์ปสก.ทำงานโปรเจคการรื้อถอนแท่นขุดเจาะน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลก ตอน 2: Pioneering Spirit เรือก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ต่อเนื่องจากกระทู้ ตอน 1 ซึ่งพูดถึงภาพรวมของโปรเจคการรื้อถอนกลุ่มแท่นขุดเจาะและผลิตน้ำมัน Brent
https://pantip.com/topic/37906557

ในกระทู้ตอน 2 นี้ผมจะเจาะลงรายละเอียดถึงเรื่องของเรือก่อสร้าง Pioneering Spirit (แปลไทยก็คงจะแปลว่า “จิตวิญญาณแห่งการบุกเบิก”) ซึ่งเป็นเรือที่ทำการรื้อถอนแท่น Brent Delta ด้วยการยกในชิ้นเดียว รวมไปถึงประวัติบางอย่างที่น่าสนใจของบริษัท Allseas ผู้เป็นผู้ออกแบบและเป็นเจ้าของเรือครับ


เรือ Pioneering Spirit มีโครงสร้างแบบลำเรือคู่ (twin-hull)


เรือ Pioneering Spirit

ก่อนอื่นนั้น อยากให้ดูคลิปการทำงานของเรือ Pioneering Spirit ตอนยกแท่นน้ำมัน Brent Delta ข้างล่างนี้

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
เรือ Pioneering Spirit นั้นเป็นเรือก่อสร้างที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ณ ปัจจุบัน โดยเป็นเรือแบบที่มีตัวลำเรือคู่ (twin-hull) คือเหมือนเอาเรือสองลำมาต่อขนานเข้าด้วยกันอย่างที่เห็นในรูปครับ เรือลำนี้สามารถทำงานได้ทั้งงานรื้อถอนแท่น งานติดตั้งแท่นน้ำมันใหม่ รวมไปถึงงานวางท่อน้ำมันและก๊าซธรรมชาติขนาดใหญ่ ตัวเรือมีความยาวถึงเกือบ 400 เมตร (ประมาณเครื่องบินเจ็ตขนาดใหญ่ 6 ลำต่อกัน) และกว้างน่าจะสักสองสนามฟุตบอลได้ เรียกได้ว่าถ้าหากขึ้นไปเดินบนเรือโดยไม่ได้คุ้นเคยกับเรือแล้วหละก็ อาจสามารถหลงทางได้ง่ายๆเลย

เรือลำนี้สามารถยกน้ำหนักเต็มที่ได้ถึง 48,000 ตันในการยกครั้งเดียว (สำหรับการรื้อถอน topside ของแท่นผลิตน้ำมัน) โดยมีแขนยกที่ทำงานด้วยระบบไฮดรอลิคทั้งหมด 16 แขน แต่ละแขนรับน้ำหนักยกได้ถึง 3,000 ตัน และมีจำนวนลูกเรือเต็มที่ได้ถึง 571 คน

นอกจากนี้ตัวเรือก็มีระบบควบคุมตำแหน่ง (Dynamic Positioning หรือ DP) จัดอยู่ในระดับที่สาม (DP3) ซึ่งเป็นระดับความสามารถในการควบคุมความความเสถียรของเรือในระดับที่มีความแน่นอนสูงที่สุด หรือพูดง่ายๆก็คือ กัปตันสามารถกำหนดให้เรืออยู่กับที่ โดยไม่ขยับไปตามคลื่นลมทะเล ซึ่งทำให้เรือสามารถทำงานก่อสร้างหรือรื้อถอนในทะเลได้แม้ในสภาพอากาศค่อนข้างแปรปรวน โดยไม่ต้องกลัวว่าจะเรือเจอคลื่นซัดไปชนแท่นน้ำมันหรือโครงสร้างในทะเลอื่นๆ


                              
เรือ P.S. เข้าสู่บริเวณแท่น Brent Delta


ก่อนทำการยกแท่นน้ำมัน เรือจะรับน้ำทะเลเข้ามาแทนที่อากาศในห้องเก็บน้ำใต้ท้องเรือ (กระบวนการนี้เรียกว่า ballasting) ซึ่งจะทำให้เรือหนักขึ้นและจมลงเล็กน้อย จากนั้นเรือก็จะทำการเลื่อนเข้าสู่ด้านล่างของแท่น และทำการยึดเข้ากับโครงสร้างแท่นด้วยแขนยกไฮดรอลิค ซึ่งแขนยกนี้มีระบบชดเชยการเคลื่อนไหว (motion compensation) ทำให้สามารถควบคุมการยกให้เป็นไปอย่างแม่นยำ โดยจำนวนแขนยกที่ใช้ก็ขึ้นกับน้ำหนักของแท่นที่จะยกนะครับ

ถ้าสังเกตดีๆในคลิป (เวลา 1:08) จะเห็นได้ว่า ก่อนที่แขนยกจะทำการยึดเข้ากับโครงสร้างด้านล่างของแท่น Brent Delta แม้ว่าตัวเรือ Pioneering Spirit จะเคลื่อนที่ขึ้นลงเล็กน้อย แต่ตัวโครงสร้างแขนยกที่เห็นเป็นสีแดงจะขยับไปมาเพื่อชดเชยการเคลื่อนไหวของตัวเรือ ทำให้ระยะห่างระหว่างหน้าสัมผัสของแขนยกและโครงสร้างด้านล่างของแท่นน้ำมันถูกควบคุมตลอดเวลา โดยไม่ได้รับผลกระทบจากการเคลื่อนที่ของเรือ




การควบคุมการยกให้เป็นไปอย่างนุ่มนวลเป็นเรื่องใหญ่ เนื่องด้วยน้ำหนักมหาศาลของเรือ การกระแทกของเรือหรือแขนยกของเรือกับตัวโครงสร้างแท่น แม้จากการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยก็สามารถทำให้เกิดความเสียหายได้ โดยเฉพาะในการยกแท่นน้ำมันขนาดเท่าสนามฟุตบอลที่หนักเป็นหมื่นๆตัน เหนือตัวเรือที่มีคนอยู่กว่า 500 ชีวิตนั้น ต้องวางแผนและมีมาตราการป้องกันเพื่อให้แน่ใจว่าปลอดภัยจริงๆเท่านั้น รวมไปถึงต้องเลือกทำการในช่วงคลื่นลมทะเลสงบ โดยมีเงื่อนไขสภาพอากาศที่เหมาะสมในการยกกำหนดไว้ชัดเจน

เมื่อแขนยกทุกแขนสัมผัสกับโครงสร้างแท่นตามจุดที่กำหนดแล้ว ขั้นตอนต่อไปเรือก็จะทำการปั้มน้ำในห้องเก็บน้ำใต้ท้องเรือออกบางส่วนแล้วให้อากาศเข้ามาแทนที่ (กระบวนการนี้เรียกว่า de-ballasting) ซึ่งก็เหมือนกับการที่เราอัดลมใส่ห่วงยางใต้น้ำแหละครับ พอมีอากาศในห้องในท้องเรือมากขึ้น เรือก็จะเบาลงและลอยตัวขึ้น การสะสมแรงลอยตัวนี้ ก็เพื่อที่จะทำให้เรือสามารถชดเชยน้ำหนักของแท่นน้ำมันที่จะถ่ายเทมายังเรือหลังทำการยกแท่นออกจากขาแท่น

จากนั้นก็ไปถึงการยก ขั้นตอนนี้ทำโดยใช้แขนยกไฮดรอลิคดันขึ้นพร้อมๆกัน การยกตรงนี้ใช้เวลาแค่ประมาณไม่กี่วินาทีเอง (fast lift) ตอนรู้ว่ายกสำเร็จนี่เฮกันทั้งออฟฟิศ แบบเห็นผลจากงานที่เตรียมมาหลายปีมันก็น่าดีใจครับ คนบนเรือก็เฮกันยกใหญ่ (ไปดูตอนจบคลิปได้)


แขนยกไฮดรอลิค ยกส่วนบน (topside) ของแท่น Brent Delta ออกจากขารองแท่น

แท่นที่ถูกยกออกมาก็จะถูกเรือพาไปยังท่าเรือ Recycle เพื่อทำการแยกชิ้นส่วนต่อไป โดยในการนำตัวแท่นเข้าสู่ท่าเรือนั้น ต้องมีการถ่ายเทตัวแท่นจากเรือ Pioneering Spirit ไปยังแพ (Barge) เพื่อนำแท่นเข้าสู่ท่าเรือ เนื่องจากความลึกของน้ำที่ท่าเรือนั้นไม่เพียงพอที่จะให้เรือ Pioneering Spirit เข้าไปได้ โดยแพที่ใช้นี้ก็มีชื่อว่า Iron Lady ครับ




เรือ Pioneering Spirit นั้นถือได้ว่าเป็นเทคโนโลยีที่เป็นจุดเปลี่ยนของงานก่อสร้างและรื้อถอนในทะเลเลยทีเดียว (game changing technology) สมัยก่อนในการรื้อถอนแท่นน้ำมันขนาดใหญ่อย่าง Brent Delta ซึ่งหนักกว่า 24,000 ตันนั้น จะต้องทำการรื้อถอนโดยการแยกเป็นชิ้นส่วนเล็กๆ (reverse installation) เท่านั้น เนื่องจากไม่มีเรือก่อสร้างที่สามารถรับน้ำหนักหรือยกโครงสร้างที่หนักขนาดนี้ได้ทั้งชิ้นในทีเดียว

การพยายามแยกสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่โตขนาดนี้เป็นชิ้นเล็กๆเพื่อทำการรื้อถอน กลางทะเลที่มีสภาพอากาศแปรปรวนอย่างทะเลเหนือ (North Sea) นั้น เป็นงานที่เสี่ยงอันตราย, ต้องใช้แรงงานเยอะ และใช้เวลานาน ดังนั้นการที่มีเรือที่สามารถทำการยกแท่นได้ในทีเดียว จึงทำให้ทางเลือกของบริษัทเจ้าของแท่นในการการรื้อถอนแท่นน้ำมันเปิดกว้างมากขึ้น


กว่าจะมาเป็น Pioneering Spirit และความเป็นมาของบริษัท Allseas

ธุรกิจงานก่อสร้าง, รื้อถอน และวางท่อน้ำมันในทะเลนั้น เป็นธุรกิจที่เฉพาะทาง โดยบริษัทที่เชี่ยวชาญก็มีอยู่ไม่กี่เจ้า แต่ที่จะขอพูดถึงในที่นี้คือบริษัท Allseas เนื่องจากเป็นบริษัทที่ทำงานในโปรเจคนี้ และขอขยายเรื่องราวบางส่วนของตระกูลเฮเรมา (Heerema) ซึ่งเป็นตระกูลของเจ้าของบริษัทนะครับ

ตระกูลเฮเรมา นั้นเป็นเจ้าของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับงานก่อสร้าง, รื้อถอน,วางท่อในทะเล รวมไปถึงงานด้านเรือผลิตและขนส่งน้ำมัน ถึงสามเจ้า ได้แก่ บริษัท Heerema Group, บริษัท Allseas และ บริษัท Bluewater Energy Services
โดยเจ้าของบริษัททั้งสามเจ้านี้เป็นพี่น้องชายล้วนตระกูลเฮเรมา ชื่อว่า เอดเวิร์ด (Edward), ปีเตอร์ (Pieter) และ ฮิวโก้ (Hugo) จริงๆแล้วตระกูลนี้ยังมีลูกชายอีกสองคน แต่พวกเค้าไม่ได้มาทำงานทางสายนี้จึงจะไม่กล่าวถึงนะครับ





คุณพ่อของพี่น้องเหล่านี้เป็นวิศวกรโยธา (civil engineer) และผู้บุกเบิกธุรกิจงานก่อสร้างในทะเลชาวฮอลแลนด์ ชื่อว่า ปีเตอร์ เชลเตอร์ เฮเรมา (Pieter Schelte Heerema) ซึ่งเสียชีวิตไปในปี 1981 โดยแรกเริ่มนั้นคุณพ่อ Pieter Schelte ได้ก่อตั้งบริษัทชื่อว่า Heerema Group ตามชื่อตระกูลนั่นเอง แต่หลังจาก Pieter Schelte เสียไปไม่นาน ลูกๆก็แยกย้ายกันไปตั้งบริษัทของตัวเอง

พี่ชายคนโต Edward ได้แยกตัวออกไปตั้งบริษัท Allseas ในปี 1985 ส่วนพี่คนรอง Pieter (ชื่อเหมือนพ่อเค้า) ก็รับหน้าที่ดูแลบริษัท Heerema Group ดั้งเดิมต่อไป ส่วนคนเล็ก Hugo ได้ไปซื้อบริษัท Bluewater Energy Services ซึ่งทำงานดูแลการผลิตและการซ่อมบำรุงและของเรือผลิตและขนส่งน้ำมัน

เป็นที่กล่าวขานกันว่าพี่น้องตระกูลเหล่านี้ไม่ค่อยลงรอยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัท Allseas และ Heerema Group นั้น เรียกได้ว่าเป็นคู่แข่งโดยตรงทางธุรกิจ เนื่องจากทั้งคู่ให้บริการการก่อสร้าง,การรื้อถอนในทะเล และการวางท่อน้ำมันและก๊าซธรรมชาติเหมือนกัน ดังนั้นสามบริษัทนี้ แม้จะมีเจ้าของเป็นพี่น้องตระกูลเดียวกัน แต่ก็ไม่มีความเกี่ยวโยงกันนะครับ เรียกได้ว่าบริษัทใครบริษัทมัน



Edward Heerema เจ้าของบริษัท Allseas ถ่ายรูปกับโมเดลเรือ P.S.

การสร้างเรือที่สามารถทำการยกแท่นน้ำมันทั้งแท่นได้ในครั้งเดียวนั้น เป็นความฝันที่มีมายาวนานกว่า 30 ปีของ Edward โดยแต่เดิมเค้าตั้งใจจะสร้างเรือลำนี้ตอนปี 2007 แต่ก็เจอวิกฤตการเศรษฐกิจโลกตอนปี 2008 เลยต้องเลื่อนแผนมา จนกระทั่งในที่สุดจึงตัดสินใจเริ่มสร้างเรือลำนี้ในปี 2014 และเสร็จสิ้นเดือนสิงหาคม 2016 ใช้เงินลงทุนกว่า 2.6 พันล้านยูโร (ประมาณหนึ่งแสนล้านบาทกว่าๆ o_O!) โดย Allseas นั้นทำการออกแบบคอนเซปและออกแบบพื้นฐานของเรือเอง งานออกแบบในรายละเอียดทำโดยบริษัทในฟินแลนด์ และการก่อสร้างของเรือทำที่ท่าเรือที่เกาหลีใต้ครับ

โดยส่วนตัวนั้น ผมคิดว่าการสร้างเรือ Pioneering Spirit นี้ได้จนสำเร็จ ปัจจัยหลักส่วนหนึ่งที่เกิดขึ้นได้ก็เพราะ Allseas เป็นบริษัทที่ไม่ได้อยู่ในตลาดหุ้น แต่เป็นกิจการส่วนตัว ทำให้เจ้าของบริษัทมีอำนาจในการตัดสินใจสูง ซึ่งส่งผลให้ Edward สามารถผลักดันโปรเจคนี้ให้เป็นจริงขึ้นมา คือมีความฝันแล้วก็ต้องทำให้ได้นั่นเอง

แต่เดิมนั้น Edward ตั้งชื่อเรือลำนี้ว่า Pieter Schelte เพื่อเป็นการรำลึกถึงคุณพ่อของเค้า แต่ก็เกิดปัญหาขึ้นเนื่องจากมีข่าวว่า Pieter Schelte นั้นในอดีตมีความเกี่ยวพันกับกลุ่มนาซีในช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง (ความเป็นจริงเป็นอย่างไรนั้น ผมขอไม่ลงความเห็นนะครับ) ดังนั้นเมื่อมีข่าวออกไปถึงการตั้งชื่อเรือว่า Pieter Schelte ก็เกิดการประท้วงต่อต้านจากหลายๆฝ่าย รวมถึงลงข่าวหน้าหนึ่งกันอยู่พักหนึ่ง

ในที่สุดนั้น Allseas ก็ตัดสินใจเปลี่ยนชื่อเรือ จาก Pieter Schelte เป็น Pioneering Spirit ในปี 2016 โดยคนที่คิดชื่อ Pioneering Spirit นี้ขึ้นมาก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่คือภรรยาของ Edward นี่เอง (ว่ากันว่าภรรยาของ Edward เป็นคนตั้งชื่อเรือแทบทุกลำในบริษัท) โดยยังคงรักษาชื่อย่อ P.S. เหมือนเดิม ที่น่าสังเกตุคือความหมายของ Pioneering Spirit (จิตวิญญาณแห่งการบุกเบิก) นั้นสะท้อนถึงการเป็นผู้บุกเบิกธุรกิจงานก่อสร้างทางทะเลของ Pieter Schelte ผู้พ่อ และการเป็นผู้บุกเบิกเทคโนโลยีใหม่ๆของบริษัท Allseas คือเรียกว่าตั้งชื่อได้อย่างฉลาดแยบยล และโดยส่วนตัวผมคิดว่าเท่ห์มาก

แม้ว่า Pioneering Spirit จะยิ่งใหญ่อลังการขนาดนี้ แต่เทคโนโลยีการก่อสร้างทางทะเลก็ยังก้าวต่อไปไม่หยุดนึ่ง ล่าสุดนี้ Allseas ได้เริ่มทำการออกแบบเรือก่อสร้างลำต่อไป ซึ่งจะใหญ่ไปยิ่งกว่า Pioneering Spirit เสียอีก! โดยคาดว่าจะมีความสามารถในการยกน้ำหนักได้ถึง 77,000 ตันในครั้งเดียว (เทียบกับเรือ Pioneering Spirit ที่ 48,000 ตัน) และคุณภรรยาก็ได้ตั้งชื่อเรือลำนี้ให้เรียบร้อยว่า Amazing Grace โดยคาดการว่าจะสร้างเสร็จในปี 2022 ครับ เมื่อถึงตอนนั้นเรือ Pioneering Spirit ก็จะไม่ใช่เรือก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุดอีกต่อไป

ขอจบเท่านี้นะครับ กระทู้หน้าผมจะลองเขียนเรื่องราวชีวิตและความรู้สึกของคนทำงานบนแท่นผลิตน้ำมันในช่วงการรื้อถอนแท่น จากที่ผมได้สัมผัสมาโดยตรง ถ้าสนใจก็เชิญติดตามนะครับ

**ตอนสามครับ
https://pantip.com/topic/37978766
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่