ตัวตน
ฝืนลืมตาตื่นทั้งๆ ที่ร่างกายยังโอดครวญตั้งแต่ฟ้ายังเป็นสีดำสนิท
เดินงัวเงียโซเซลงมาชั้นล่างเพื่อเสียบปลั๊กไฟกระติกน้ำร้อนในความมืด และพาร่างกายกะปลกกะเปลี้ยกลับไปอาบน้ำบนชั้นสอง
ส่องกระจกดูความเรียบร้อยของสภาพร่างกาย ผมเผ้า หน้าตา เสร็จธุระในห้องน้ำแล้ว น้ำในกระติกน้ำร้อนก็เดือดพอดี
นั่งดูข่าวจากหน้าจอโทรทัศน์ กระดกกาแฟหอมกรุ่นอย่างเร่งรีบและไร้ความน่าอภิรมณ์ในรสชาติ
แต่งตัวหลังจากกาแฟหมดแก้วแล้ว เดินไปตรวจสอบสภาพร่างกายอีกครั้งก่อนเริ่มต้นเดินทางไปทำงาน
ช่วงเช้าที่ทุกคนบนท้องถนนเร่งรีบเหมือนๆ กัน แต่ต่างก็ต้องมาหยุดนิ่งอยู่กับที่แบบไม่มีทางเลือก ต่อรถโดยสารหลายต่อหลายต่อ ค้างเติ่งอยู่บนท้องถนนกว่าหนึ่งชั่วโมง
...เพื่อที่จะไปทำในสิ่งซ้ำๆ ซากๆ ไปทำงานเดิมๆ ในสถานที่เดิมๆ
รอเวลา...ให้เข็มสั้นชี้ไปยังเลขห้าและเข็มยาวที่เลขสิบสอง
ก่อนจะเดินทางกลับบ้านด้วยวิธีเดิมเหมือนกับเมื่อเช้า เพียงแต่ต่างกันตรงที่ความเหนื่อยหน่ายอ่อนล้าจะร่วมเดินทางมากับเราด้วย
นั่งดูโทรทัศน์ ติดตามข่าวสาร อาบน้ำแปรงฟัน และเข้านอน
เพื่อที่จะตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่และทำอะไรแบบเดิมซ้ำๆ เช่นเดียวกับเมื่อวาน
เป็นวัฏจักรซ้ำซากที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงมาตลอดระยะเวลาหลายปี มันซ้ำซากและเนิ่นนานจนบ่อยครั้งผมอดที่จะตั้งคำถามกับตนเองไม่ได้
ผมทำอย่างนี้ทำไม นี่ผมกำลังทำอะไรอยู่กันแน่
ทำไมผมหรือใครๆ ถึงต้องใช้ชีวิตที่ยุ่งยากซับซ้อนขึ้นทุกวัน
ทำไมต้องทำอะไรซ้ำซากน่าเบื่อหน่ายขนาดนี้ด้วย
ทำไมเราต้องตั้งเงื่อนไขกฏเกณฑ์ขึ้นมามากมายในการดำเนินชีวิต
ทั้งๆ ที่เราแสวงหาความสะดวกสบายและความเรียบง่าย และนั่นก็น่าจะเพียงพอแก่การดำเนินชีวิตแล้วแท้ๆ
ทำไมต้องดิ้นรนถีบตัวเองให้สูงขึ้นไปในอากาศอันว่างเปล่า ทำไมยังยื่นมือออกไปไขว่คว้าสิ่งที่มองไม่เห็น
การค่อยๆ เดินด้วยเท้าที่ติดดินน่าจะมั่นคงและสบายกว่าการตะกายเป็นไหนๆ สิ่งที่มีในเวลานี้ก็เพียงพอแก่การดำเนินชีวิตแล้ว
แต่ทำไมเรายังทำต่อไป...
ทำไมเราจึงทำอะไรตามใจตัวเองไม่ได้ หลายอย่างหลายเรื่องที่ต้องทำกลับเป็นสิ่งที่เราไม่เคยต้องการและไม่อยากทำ
บ่อยครั้ง...ในขณะที่ผมนั่งอยู่บนรถโดยสาร เพื่อไปทำงานในช่วงเช้า สายตาเหม่อมองผู้คนขวักไขว่รอบกายที่ไม่มีใครสนใจจะมองใคร
เขาเหล่านั้นจะมีความคิดเหมือนเราไหมนะ
คนที่เดินสวนทางผ่านเราไป คนที่กำลังยืนรอรถประจำทางที่ป้ายเดิมทุกเช้า คนที่นั่งอยู่ในรถสองแถวฝั่งตรงข้ามกับเรา
ทั้งๆ ที่ได้เห็นหน้า ได้สบตา ได้พบเจอกันแทบทุกวัน แต่ทำไมเราถึงไม่รู้จักกัน อะไรทำให้เราไม่เคยได้พูดคุยกัน
บางทีการที่ใครเข้าไปทักทายใครก่อนทั้งๆ ที่ไม่รู้จักโดยไม่มีสาเหตุอาจจะเป็นเรื่องแปลก และไม่มีใครเขาทำกัน
ด้วยความคิดเหล่านั้น เราต่างคนถึงยังต่างหลบอยู่หลังกำแพงอากาศบางๆ ของตัวเอง ทำได้เพียงแค่มองหน้า สบตา และต่างคนต่างหลบสายตาออกจากกัน ทำเหมือนกับอีกคนไม่มีตัวตนอยู่ที่ตรงนั้น
เขาจะคิดเหมือนผมไหมนะ...
เขารู้สึกอย่างไรเวลาที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม และบังเอิญมองมาสบตากับผมหรือใครต่อใครบนรถคันเดียวกัน
ในขณะที่ผมนั่งอยู่และมีความรู้สึกอย่างหนึ่ง คนอื่นๆ จะมีความรู้สึกอย่างไรกันแน่
ผมอยากมองเห็นโลกในแบบที่คนอื่นมองเห็น โลกที่อาจจะเหมือนหรือแตกต่างไปจากที่ผมมองอยู่
บ่อยครั้งที่ผมมองตัวเองในกระจกเงา คำถามผุดขึ้นมาในใจ
คนแปลกหน้าที่อยู่ตรงหน้าเราเป็นใคร
คนที่จ้องมองกลับมาด้วยแววตาหม่นหมอง สีหน้าอมทุกข์คนนั้นเป็นใคร...
กาลเวลาพัดพาความสุข ความร่าเริง ให้ปลิวหายไปจากใบหน้าและแววตาของเขา
คนในกระจกคนนั้น ใช่ผมจริงหรือ ตัวตนของผมสะท้อนอยู่ในกระจกเงาบานนั้นอย่างนั้นหรือ
การดำเนินชีวิตเดิมๆ ด้วยวิธีการเดิมๆ งานแบบเดิมในสถานที่ทำงานเดิม พบปะพูดคุยกับคนเดิมๆ ด้วยถ้อยคำเดิมๆ
บางทีที่ผมเป็นผมอยู่อย่างทุกวันนี้ ทำทุกอย่างที่ทำอย่างทุกวันนี้ อาจจะเพียงแค่เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้ผมรู้สึกว่ายังคงมีตัวตนอยู่ มันอาจเป็นสิ่งยืนยันได้ถึงการมีตัวตนของผม
อย่างน้อยก็กับคนคุ้นเคยเหล่านั้น
ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายในสังคมปัจจุบัน ต่างคนต่างมองตรงไปเบื้องหน้า เร่งรีบ แย่งชิงไขว่คว้าทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามา
กระแสลมแห่งกาลเวลาพัดผ่านไปเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนไม่เหลือใครที่คิดแม้แต่จะเหลียวมองใครอื่น
ผมอาจจะเพียงแค่กลัว...กลัวว่าจะถูกทิ้งให้อยู่ด้านหลังเพียงลำพังผู้เดียว กลัวว่าจะถูกกระแสลมแรงแห่งกาลเวลาพัดพาตัวตนจนหายลับไปจากความทรงจำของใครต่อใคร
ใครบางคนเคยกล่าวไว้...
การที่เรามองเห็นสิ่งต่างๆ ได้ เกิดจากแสงที่ตกกระทบลงบนสิ่งๆ นั้น และสะท้อนกลับเข้ามายังตาของเรา
เราเห็นร่างกายของเรา ใบหน้าของเรา ในกระจกเงาด้วยหลักการเดียวกันนั้น
แต่ทว่าทำไม...ในบางเวลาที่ผมหลับใหล ผมกลับยังคงมองเห็นภาพต่างๆ ได้อยู่
ในโลกที่ไม่ต้องอาศัยแสงในการมองเห็น
ในนั้น ผมจะอายุเท่าไหร่ก็ได้ จะไปที่ไหนก็ได้ จะเป็นอะไร ทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น
ที่นั่นมีแต่รอยยิ้ม ความสนุกสนาน ช่วงเวลาแห่งความสุข ความน่ายินดี ยังรออยู่ที่ตรงนั้น
ผมยังคงเห็นหน้า พูดคุย โอบกอด คนที่ผมรักสุดหัวใจได้ที่นั่น สถานี่นั้นเป็นที่ซึ่งกาลเวลาหยุดนิ่งเนิ่นนานตราบเท่าที่เราอยากให้มันเป็น
บ่อยครั้งที่ผมถามตัวเอง ตัวตนที่แท้จริงของผมอยู่ไหน
โลกที่ใช้แสงในการมองเห็น หรือโลกไร้แสงซึ่งอยู่ลึกลงไปกันแน่
ตัวตน
ฝืนลืมตาตื่นทั้งๆ ที่ร่างกายยังโอดครวญตั้งแต่ฟ้ายังเป็นสีดำสนิท
เดินงัวเงียโซเซลงมาชั้นล่างเพื่อเสียบปลั๊กไฟกระติกน้ำร้อนในความมืด และพาร่างกายกะปลกกะเปลี้ยกลับไปอาบน้ำบนชั้นสอง
ส่องกระจกดูความเรียบร้อยของสภาพร่างกาย ผมเผ้า หน้าตา เสร็จธุระในห้องน้ำแล้ว น้ำในกระติกน้ำร้อนก็เดือดพอดี
นั่งดูข่าวจากหน้าจอโทรทัศน์ กระดกกาแฟหอมกรุ่นอย่างเร่งรีบและไร้ความน่าอภิรมณ์ในรสชาติ
แต่งตัวหลังจากกาแฟหมดแก้วแล้ว เดินไปตรวจสอบสภาพร่างกายอีกครั้งก่อนเริ่มต้นเดินทางไปทำงาน
ช่วงเช้าที่ทุกคนบนท้องถนนเร่งรีบเหมือนๆ กัน แต่ต่างก็ต้องมาหยุดนิ่งอยู่กับที่แบบไม่มีทางเลือก ต่อรถโดยสารหลายต่อหลายต่อ ค้างเติ่งอยู่บนท้องถนนกว่าหนึ่งชั่วโมง
...เพื่อที่จะไปทำในสิ่งซ้ำๆ ซากๆ ไปทำงานเดิมๆ ในสถานที่เดิมๆ
รอเวลา...ให้เข็มสั้นชี้ไปยังเลขห้าและเข็มยาวที่เลขสิบสอง
ก่อนจะเดินทางกลับบ้านด้วยวิธีเดิมเหมือนกับเมื่อเช้า เพียงแต่ต่างกันตรงที่ความเหนื่อยหน่ายอ่อนล้าจะร่วมเดินทางมากับเราด้วย
นั่งดูโทรทัศน์ ติดตามข่าวสาร อาบน้ำแปรงฟัน และเข้านอน
เพื่อที่จะตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่และทำอะไรแบบเดิมซ้ำๆ เช่นเดียวกับเมื่อวาน
เป็นวัฏจักรซ้ำซากที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงมาตลอดระยะเวลาหลายปี มันซ้ำซากและเนิ่นนานจนบ่อยครั้งผมอดที่จะตั้งคำถามกับตนเองไม่ได้
ผมทำอย่างนี้ทำไม นี่ผมกำลังทำอะไรอยู่กันแน่
ทำไมผมหรือใครๆ ถึงต้องใช้ชีวิตที่ยุ่งยากซับซ้อนขึ้นทุกวัน
ทำไมต้องทำอะไรซ้ำซากน่าเบื่อหน่ายขนาดนี้ด้วย
ทำไมเราต้องตั้งเงื่อนไขกฏเกณฑ์ขึ้นมามากมายในการดำเนินชีวิต
ทั้งๆ ที่เราแสวงหาความสะดวกสบายและความเรียบง่าย และนั่นก็น่าจะเพียงพอแก่การดำเนินชีวิตแล้วแท้ๆ
ทำไมต้องดิ้นรนถีบตัวเองให้สูงขึ้นไปในอากาศอันว่างเปล่า ทำไมยังยื่นมือออกไปไขว่คว้าสิ่งที่มองไม่เห็น
การค่อยๆ เดินด้วยเท้าที่ติดดินน่าจะมั่นคงและสบายกว่าการตะกายเป็นไหนๆ สิ่งที่มีในเวลานี้ก็เพียงพอแก่การดำเนินชีวิตแล้ว
แต่ทำไมเรายังทำต่อไป...
ทำไมเราจึงทำอะไรตามใจตัวเองไม่ได้ หลายอย่างหลายเรื่องที่ต้องทำกลับเป็นสิ่งที่เราไม่เคยต้องการและไม่อยากทำ
บ่อยครั้ง...ในขณะที่ผมนั่งอยู่บนรถโดยสาร เพื่อไปทำงานในช่วงเช้า สายตาเหม่อมองผู้คนขวักไขว่รอบกายที่ไม่มีใครสนใจจะมองใคร
เขาเหล่านั้นจะมีความคิดเหมือนเราไหมนะ
คนที่เดินสวนทางผ่านเราไป คนที่กำลังยืนรอรถประจำทางที่ป้ายเดิมทุกเช้า คนที่นั่งอยู่ในรถสองแถวฝั่งตรงข้ามกับเรา
ทั้งๆ ที่ได้เห็นหน้า ได้สบตา ได้พบเจอกันแทบทุกวัน แต่ทำไมเราถึงไม่รู้จักกัน อะไรทำให้เราไม่เคยได้พูดคุยกัน
บางทีการที่ใครเข้าไปทักทายใครก่อนทั้งๆ ที่ไม่รู้จักโดยไม่มีสาเหตุอาจจะเป็นเรื่องแปลก และไม่มีใครเขาทำกัน
ด้วยความคิดเหล่านั้น เราต่างคนถึงยังต่างหลบอยู่หลังกำแพงอากาศบางๆ ของตัวเอง ทำได้เพียงแค่มองหน้า สบตา และต่างคนต่างหลบสายตาออกจากกัน ทำเหมือนกับอีกคนไม่มีตัวตนอยู่ที่ตรงนั้น
เขาจะคิดเหมือนผมไหมนะ...
เขารู้สึกอย่างไรเวลาที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม และบังเอิญมองมาสบตากับผมหรือใครต่อใครบนรถคันเดียวกัน
ในขณะที่ผมนั่งอยู่และมีความรู้สึกอย่างหนึ่ง คนอื่นๆ จะมีความรู้สึกอย่างไรกันแน่
ผมอยากมองเห็นโลกในแบบที่คนอื่นมองเห็น โลกที่อาจจะเหมือนหรือแตกต่างไปจากที่ผมมองอยู่
บ่อยครั้งที่ผมมองตัวเองในกระจกเงา คำถามผุดขึ้นมาในใจ
คนแปลกหน้าที่อยู่ตรงหน้าเราเป็นใคร
คนที่จ้องมองกลับมาด้วยแววตาหม่นหมอง สีหน้าอมทุกข์คนนั้นเป็นใคร...
กาลเวลาพัดพาความสุข ความร่าเริง ให้ปลิวหายไปจากใบหน้าและแววตาของเขา
คนในกระจกคนนั้น ใช่ผมจริงหรือ ตัวตนของผมสะท้อนอยู่ในกระจกเงาบานนั้นอย่างนั้นหรือ
การดำเนินชีวิตเดิมๆ ด้วยวิธีการเดิมๆ งานแบบเดิมในสถานที่ทำงานเดิม พบปะพูดคุยกับคนเดิมๆ ด้วยถ้อยคำเดิมๆ
บางทีที่ผมเป็นผมอยู่อย่างทุกวันนี้ ทำทุกอย่างที่ทำอย่างทุกวันนี้ อาจจะเพียงแค่เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้ผมรู้สึกว่ายังคงมีตัวตนอยู่ มันอาจเป็นสิ่งยืนยันได้ถึงการมีตัวตนของผม
อย่างน้อยก็กับคนคุ้นเคยเหล่านั้น
ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายในสังคมปัจจุบัน ต่างคนต่างมองตรงไปเบื้องหน้า เร่งรีบ แย่งชิงไขว่คว้าทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามา
กระแสลมแห่งกาลเวลาพัดผ่านไปเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนไม่เหลือใครที่คิดแม้แต่จะเหลียวมองใครอื่น
ผมอาจจะเพียงแค่กลัว...กลัวว่าจะถูกทิ้งให้อยู่ด้านหลังเพียงลำพังผู้เดียว กลัวว่าจะถูกกระแสลมแรงแห่งกาลเวลาพัดพาตัวตนจนหายลับไปจากความทรงจำของใครต่อใคร
ใครบางคนเคยกล่าวไว้...
การที่เรามองเห็นสิ่งต่างๆ ได้ เกิดจากแสงที่ตกกระทบลงบนสิ่งๆ นั้น และสะท้อนกลับเข้ามายังตาของเรา
เราเห็นร่างกายของเรา ใบหน้าของเรา ในกระจกเงาด้วยหลักการเดียวกันนั้น
แต่ทว่าทำไม...ในบางเวลาที่ผมหลับใหล ผมกลับยังคงมองเห็นภาพต่างๆ ได้อยู่
ในโลกที่ไม่ต้องอาศัยแสงในการมองเห็น
ในนั้น ผมจะอายุเท่าไหร่ก็ได้ จะไปที่ไหนก็ได้ จะเป็นอะไร ทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น
ที่นั่นมีแต่รอยยิ้ม ความสนุกสนาน ช่วงเวลาแห่งความสุข ความน่ายินดี ยังรออยู่ที่ตรงนั้น
ผมยังคงเห็นหน้า พูดคุย โอบกอด คนที่ผมรักสุดหัวใจได้ที่นั่น สถานี่นั้นเป็นที่ซึ่งกาลเวลาหยุดนิ่งเนิ่นนานตราบเท่าที่เราอยากให้มันเป็น
บ่อยครั้งที่ผมถามตัวเอง ตัวตนที่แท้จริงของผมอยู่ไหน
โลกที่ใช้แสงในการมองเห็น หรือโลกไร้แสงซึ่งอยู่ลึกลงไปกันแน่