ตำนานท้าวเวสสุวรรณ กำเนิดยักเทพแห่งทรัพย์ ผู้ยึดมั่นในศิลธรรม

ณ ดินแดนอันไกลโพ้น ซึ่งซ่อนอยู่เบื้องหลังม่านหมอกของกาลเวลา มีเรื่องเล่าขานกันมานานนับพันปีเกี่ยวกับเทพเจ้าองค์หนึ่งผู้เป็นที่เคารพบูชาของทั้งมนุษย์ เทวดา และแม้แต่ภูตผีปีศาจ เขามิใช่เทพเจ้าผู้อ่อนโยนดั่งพระอินทร์ มิใช่พระพรหมผู้สร้างสรรพสิ่ง แต่กลับเป็นเทพในคราบของยักษา ทรงพลัง ยิ่งใหญ่ และเปี่ยมด้วยเมตตา เขาคือ “ท้าวเวสสุวรรณ” เจ้าแห่งทรัพย์ เจ้าแห่งยักษ์ และผู้พิทักษ์แห่งทิศเหนือ
ต้นตอแห่งเรื่องราวเริ่มต้นจากฤาษีนามว่า “วิศรวาสุ” ฤๅษีผู้เคร่งครัดในธรรมและเป็นผู้มีบุญญาบารมี ท่านเฝ้าสวดมนต์ บำเพ็ญพรต และถวายทานอยู่เป็นนิจ ครั้งหนึ่งท่านอยากมีบุตร จึงได้หมั่นสวดภวนาขอให้ได้บุตรชายผู้มีวาสนา
ท่ามกลางเสียงลมบนเขาไกรลาส และเปลวไฟแห่งพิธีกรรม เทพเจ้าแห่งฟากฟ้ารับรู้ถึงแรงอธิษฐานบวกกับบุญบารมีที่ฤาษีตนนี้ได้สร้างมา จึงได้ประทานบุตรให้กับฤๅษีผู้นั้น
เด็กชายผู้ถือกำเนิดมาจากคำขอพรนั้น ถูกตั้งชื่อว่า “กุเวร” เขาเติบโตมาท่ามกลางธรรมชาติและวิถีแห่งความเพียร ทว่านิสัยต่างจากเด็กทั่วไป กุเวรมีความเฉลียวฉลาด มีเมตตา และมีใจเป็นธรรมโดยกำเนิด
เมื่อกุเวรเติบใหญ่ เขาได้บำเพ็ญบารมีอย่างต่อเนื่อง ช่วยเหลือผู้ยากไร้ แบ่งปันทรัพย์สินแม้ตัวเองจะมีเพียงน้อยนิด และรักษาศีลอย่างเคร่งครัด ความดีของกุเวรกระจายไปทั่วแดนเทพ จนถึงหูของพระศิวะ เทพผู้สูงสุดแห่งการทำลายและการเปลี่ยนแปลง
พระศิวะจึงได้ประทานพรแก่กุเวร ให้กลายเป็นเทพเจ้าแห่งทรัพย์สมบัติ ผู้ดูแลขุมทรัพย์ของเหล่าเทวา และยังแต่งตั้งให้เป็นเจ้าแห่งยักษา ปกครองเหล่าภูติผีทั้งหลายให้สงบสุข ไม่ให้ออกนอกลู่นอกทาง
กุเวรได้รับราชสมบัติเหนือกรุงลงกา เมืองแห่งทองคำและความอุดมสมบูรณ์ และครองเมืองอย่างยุติธรรม มีเมตตา
แต่ทุกอย่างไม่มีอะไรง่ายเลย
บทที่ 3: พี่น้องต่างสายเลือด และชะตาแห่งการพลัดพราก
กุเวรมีน้องชายต่างมารดานามว่า “ราวณะ” ซึ่งเกิดจากสายเลือดแห่งยักษ์ ราวณะเป็นผู้มีฤทธิ์มาก ทว่าหลงใหลในอำนาจและมักใหญ่ใฝ่สูง เขาริษยากุเวรอยู่ในใจมาตลอด จนในวันหนึ่ง ราวณะก็ได้ยกกองทัพบุกกรุงลงกาและยึดเมืองไว้เป็นของตน
ส่วนท้าวกุเวรถูกเนรเทศออกจากแผ่นดินเกิด แต่หาได้โกรธแค้นน้องชายไม่ กลับถือว่าเป็นผลแห่งกรรมที่สร้างมา แต่ทว่าความดียังคงอยู่ กุเวรได้รับความเมตตาจากพระศิวะประทาน “อลกนคร” เมืองลับแล บนยอดเขา เป็นเมืองแห่งทองคำ งดงาม และเต็มไปด้วยขุมทรัพย์ ซึ่งจะปรากฏให้เฉพาะผู้มีบุญญาธิการเท่านั้น
ในกาลแห่งพระพุทธเจ้า ท้าวเวสสุวรรณได้รับแต่งตั้งให้เป็นหนึ่งใน “จาตุมหาราชิกา” หรือจตุโลกบาล ผู้ปกป้องทิศทั้งสี่ ท่านครองทิศเหนือ และมีหน้าที่คุ้มครองโลกมนุษย์ เทวดา และดูแลเหล่าภูตผี
เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้ ท้าวเวสสุวรรณได้นำเหล่ายักษ์ เทวดา และภูติผีไปเข้าเฝ้าและฟังธรรม ท่านประทับใจในธรรมะอย่างยิ่ง และขอปวารณาตนเป็นผู้พิทักษ์พระพุทธและได้ถวายพระคาถาให้พระพุทธเจ้า คือ “อาฏานาฏิยสูตร” ให้แก่ท่าน และให้เผยแพร่แก่มนุษย์เพื่อใช้ป้องกันภัยจากภูตผีปีศาจ
ในช่วงหนึ่งของกาลเวลา โลกเริ่มสั่นคลอนจากสิ่งอัปมงคล อสูรร้ายตนหนึ่งนามว่า “อสูรพิลึก” ได้หลบหนีจากนรกภูมิขึ้นมาสู่โลกมนุษย์ มันเร้นกายอยู่ในหุบเหวลึกซึ่งมีสายฟ้าฟาดไม่หยุด เรียกขานว่า “หุบเหวอสนี” มันแผ่พลังหลอกหลอน ทำลายศาลเทพ ไล่ล่าฤๅษี ปลุกภูตผีให้กำเริบออกอาละวาด จนโลกมนุษย์วุ่นวาย
พระอินทร์ทราบเรื่องง จึงมีบัญชาให้ท้าวเวสสุวรรณยกพลลงมาปราบ ท้าวเวสสุวรรณ บอกไม่ต้องไปเยอะ ไปนิดเดียวพอ ไม่ใช้ทัพใหญ่ ท่านถือเพียงกระบองศักดิ์สิทธิ์คู่กาย และนำบริวารยักษ์ผู้ซื่อสัตย์ไม่กี่ตนลงมายังหุบเหวนั้น
อสูรพิลึกเจอท้าวเวสสุวรรณครั้งแรก หัวเราะเย้ยหยัน พร้อมเอ่ยว่า ไอ้ยักหน้าละอ่อนอย่างทำอะไรกูไม่ได้หรอก พร้อมกับคำรามเสียงดังสนั่นขู่เท้าเวสสุวรรณ แต่ท้าวเวสสุวรรณกลับหาได้กลัวไม่ ท่านยกกระบองขึ้นเหนือศีรษะ ปลายกระบองชี้ฟ้าขึ้นทะลุเหนือเมฆ และตะโกนว่า
“ธรรมะใดที่ข้าถือไว้ จะเป็นดั่งสายฟ้าฟาดร่างเจ้า ให้มลายเป็นเถ้าธุลี”
กระบองของท่านเปล่งแสงทองคำ แผ่พลังธรรมะกลบเสียงคำรามของอสูร พร้อมกับฟาดกระบอง ลงไปที่ตัวของอสูรพิลึก ใช้เวลาเพียงอึดลมหายใจ จนอสูรพิลึกสิ้นฤทธิ์ กลายเป็นเถ้าธุลี หลังจากนั้นท้าวเวสสุวรรณจึงผนึกหุบเหวไว้ และวางยันต์คุ้มกันไม่ให้ภูติผีหลุดออกมาอาลวาดได้อีก
หลังจากนั้น ท้าวเวสสุวรรณจึงกลายเป็นที่พึ่งของเหล่าผู้ศรัทธา ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ประสบเคราะห์ร้าย ผู้ที่มีวิญญาณรบกวน หรือแม้แต่ผู้ที่แสวงหาโชคลาภและความมั่งคั่ง
ท่านมีอาวุธเป็นกระบองยักษ์ ถือไว้เพื่อปัดเป่าวิญญาณร้าย และกำราบภูตผีที่ออกนอกลู่นอกทาง กระบองนั้นไม่ใช่เพียงอาวุธทางกายภาพ แต่เป็นเครื่องหมายแห่งธรรมะ ที่แม้แต่ผีร้ายยังต้องเกรงกลัว
ในยุคปัจจุบัน แม้กาลเวลาจะเปลี่ยนผ่าน แต่ศรัทธาที่ผู้คนมีต่อท้าวเวสสุวรรณไม่เคยเสื่อมคลาย วัดหลายแห่งในประเทศไทยมีรูปเคารพของท่านตั้งตระหง่าน เช่น วัดจุฬามณี จังหวัดสมุทรสงคราม ที่มีผู้คนหลั่งไหลไปขอพรและถวายเครื่องสักการะ
ท่านไม่เพียงแต่เป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่ง หากยังเป็นสัญลักษณ์ของการคุ้มครองป้องกันภัย ช่วยขจัดเคราะห์กรรม และค้ำจุนผู้ตกทุกข์ได้ยาก
บทส่งท้าย: แสงธรรมในคราบยักษา
ท้าวเวสสุวรรณคือเทพในคราบของยักษ์ ผู้ที่แม้ภายนอกจะดูน่าเกรงขาม ทว่าจิตใจกลับเปี่ยมด้วยเมตตาและธรรมะ ท่านเป็นตัวอย่างของการใช้พลังเพื่อปกป้อง ไม่ใช่ทำลาย เป็นผู้มีอำนาจแต่ยอมรับฟังธรรม เป็นเจ้าแห่งยักษ์ แต่ยอมกราบธรรมะด้วยใจบริสุทธิ์
นี่คือเหตุผลที่ทำไม… ศรัทธาจึงไม่เคยเลือนหาย และทำไมเสียงสวดว่า “เวสสุวรรณโณ มหาเทวา อะหังวันทามิ ทูระโต…” จึงยังคงดังก้องในใจของผู้คนจวบจนปัจจุบัน
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่