สวัสดีครับ ฝากเนื้อฝากตัวอย่างเป็นทางการในพันทิพย์ ปกติแล้วผมจะเป็นผู้อ่านเสียมากกว่า กับคอมเม้นถามบ้างเล็กน้อย แต่วันนี้ผมขออนุญาตแชร์ประสบการณ์ที่น่ารักๆ กับแหล่งท่องเที่ยวที่หลายคนรู้จัก เคยไป หรือไม่เคยไป หรือคิดว่าจะไป โดยเฉพาะเพื่อนๆกลุ่มสุดท้าย หลังจากอ่านกระทู้ผมเสร็จแล้ว อย่ารอช้านัดเพื่อนจองวันแล้วไปลุยเลยครับ
"ภูสอยดาว" เป็นภูเขาที่ทอดยาวเป็นพรมแดนธรรมชาติระหว่างไทยกับ สปป.ลาว กินพื้นที่อำเภอบ้านโคก อำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์ และอำเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก เป็นพื้นที่ที่มีสภาพป่าค่อนข้างสมบูรณ์ปกคลุมไปด้วยป่าธรรมชาติที่สวยงาม เป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร ยอดสูงสุดของภูสอยดาวสูง จากระดับน้ำทะเล 2,102 เมตร ซึ่งสูงเป็นอันดับ 4 ของประเทศไทย จุดเด่นที่น่าสนใจและเป็นที่ดึงดูดใจของนักท่องเที่ยว คือ การได้ชมทุ่งดอกไม้สีม่วงที่เรียกว่า"ดอกหงอนนาค" และดอกไม้หลากสีสันสลับให้เห็นอยู่ทั่วลานสน ซึ่งจะบานในช่วงฤดูฝนตั้งแต่เดือน ส.ค. - ก.ย ของทุกปี ดังนั้น ช่วงที่เหมาะที่สุดที่จะขึ้นมาชมไฮไลท์ของภูสอยดาวคือช่วงนี้แหละครับ

หลายคนกลัวว่าเดินป่าหน้าฝนจะมีทาก หรืออันตราย ยาก เฉอะแฉะ ผมรับรองว่าเดินภูสอยดาวไม่เจอทากครับ แต่สำหรับอย่างอื่นมีครบครับ แต่อย่าไปกลัวครับ อ่านไปเรื่อยๆ เดี๋ยวท่านจะรู้สึกว่ามันคุ้มค่า
การเดินทางมาที่ภูสอยดาว มาได้สองทางครับ จะขึ้นทางพิษณุโลก หรืออุตรดิตถ์ ใช้เวลาพอกันครับ แต่ถ้ามาทางอุตรดิตถ์ แล้วพักค้างหรือเที่ยวที่ตัวอำเภอน้ำปาดหนึ่งคืนก่อนรุ่งขึ้นจะไปปีนภู จะดีกว่าเพราะสามารถพักเอาแรงได้ให้พร้อมสำหรับการขึ้นภูในวันรุ่งขึ้น
ก่อนขึ้นภูสอยดาว เราต้องทำการเชคอิน ลงทะเบียนกันก่อน ณ ที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูสอยดาว ซึ่งอยู่ในเขตอำเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก ลงทะเบียน จ่ายค่าทำเนียม จัดของ/ชั่งของให้ลูกหาบกันตรงนั้นเลย ซึ่งทางอุทยานฯ จะบริการให้เรา เราเพียงแค่จ่ายตังครับ

ขออนุญาตถ่ายภาพกับพี่สุวรรณ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติภูสอยดาวนิดนึงครับ
หลังจากเชคอินกันเรียบร้อย ทางอุทยานฯจะมีรถกระบะ มาส่งเราตรงทางขึ้นในเขตพื้นที่อำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์ครับ โอโห.... นั่งรถข้ามจังหวัดกันเลยทีเดียว แต่จริงๆแล้ว ระยะทางแค่ 1 กม.เศษๆครับ สำหรับกลุ่มที่มาพร้อมกับพวกเราสามคน เป็นสาวเจ้าของร้านเบเกอรี่และเพื่อนจากกรุงเทพ (อันนี้สัมภาษณ์กันทีหลังว่าเป็นใครมาจากไหน) ใช้เวลาเพียงไม่ถึง 5 นาที รถกระบะอุทยานก็พาเรามาจนถึงทางขึ้น
มาถึงทางขึ้น ทำอะไรกันก่อนดี.... ทำใจครับ หมายถึงทำใจให้พร้อม ยืนเส้นยืดสาย ถ่ายรูปกันซักแชะสองแชะ เพื่อให้ทางบ้านหรือมิตรรักแฟนเพลงของเราเห็นว่าเรามาเที่ยวที่นี่นะ ต่อจากนี้ 1 วัน จะติดต่อเราไม่ได้แล้วนะ เพราะต่อจากนี้เราจะตัดขาดจากโลกปัจุบันของเราไปชั่วขณะ

ทางเดินช่วงแรกๆ ก็ขึ้นๆลงๆราบๆ เป็นทางเดินไปตามลำห้วย น้ำใสไหลเย็น เห็นตัวปลา ช่วงนี้สบายๆครับ เดินทำเวลาได้ แต่จะทำเวลาทำไม เราไม่ได้แข่งกับใครนี่นา เราเดินชิลๆ เก็บบรรยากาศกันดีกว่าครับ สองคนนั้นเพิ่งเคยมา ส่วนผมครั้งที่สามแล้ว



แต่หลังจากจุดพักนี้แหละ จะเป็นของจริง หลายทีมนั่งพักกันก่อนเพื่อทำใจ (ให้พร้อม) เพราะหลังจากนี้เดินขึ้นอย่างเดียวแล้วครับ ว่ากันว่าใครไม่พร้อมก็ให้เปลี่ยนใจหันหลังกลับตั้งแต่เนินนี้ แต่จะมีสักกี่คนที่หันหลังกลับ ทิ้งเป้าหมายไว้ตั้งแต่ถูกขู่ว่าต่อไปจะยาก ใช่มั้ยครับ

(พวกนางแต่งตัวกันเหมือนไปเดินจตุจักรอะครับ เดี๋ยวก็รู้ อิอิ)
เส้นทางอีก 4 กิโลเมตร จะผ่านเนินต่างๆและภูมิประเทศที่ต่างกัน เนินส่งญาติ (ส่งแค่ตีนบันไดครับ) ทางตรงนี้ทางอุทยานอำนวยความสะดวกโดยการทำบันไดเหล็กเพื่อให้เดินขึ้นง่ายๆ แต่มันไม่ง่ายนะครับ การปีนบันไดในแนวดิ่งเป็นกิโลๆเนี่ย เนินปราบเซียน สมชื่อครับอันนี้ ไม่มีบันไดแล้วเหลือแต่ทางขึ้นชันๆยาวไปเกือบ 2 กิโล เนินป่าก่อ คนส่วนใหญ่จะใช้จุดนี้เป็นจุดพักกินข้าวกลางวันกัน (ถ้าขึ้นเวลาประมาณ 09.00 น.) เป็นทางไม่ชันมาก ทางราบมีบ้าง เนินเสือโคร่ง อันนี้ไม่ใช่มีเสือนะครับ แต่เป็นชื่อของต้นไม้ เป็นทางชันสลับราบ เดินบนสันเขา


หลุดจากเนินเสื้อโคร่งเราก็จะมาพบกับเนินสุดท้ายที่เรียกว่า เนินมรณะ มรณะจริงๆครับบอกเลย แต่ชื่อนี้ไม่ได้มาเพราะว่านักท่องเที่ยวเดินเหนื่อยแทบตายนะครับ เป็นชื่อที่ตั้งตอนประวัติศาสตร์สงครามนะครับ ถ้าใครสนใจลองไปศึกษาดู
มาถึงตรงนี้พวกเราพักกันนานมาก น้ำก็หมด ยังดีที่มีกลุ่มชายหนุ่มผู้เมตตาแด่น้องผู้หิวโหย ผมส่งเพื่อนผู้หญิงไปขอน้ำเขามาครับ โดยสัญญาว่าถึงข้างบนแล้วจะคืนให้ (ปั้นเพื่อนครับ 55+) ก่อนขึ้นเนินมรณะ สิ่งแรกที่ควรทำคือ เหมือนเดิมครับ ทำใจ(ให้พร้อม) ถ่ายรูปนิดหน่อย ตรงนี้วิวสวยมาก แต่จะไม่สวยเพราะเราเหนื่อย จับกล้องยังมือสั่นผับๆๆ

ตรงนี้อย่าคิดอะไรมากครับ เดินอย่างมีสติ เดินขึ้นๆๆๆ ซึ่งตรงนี้แหละ เราต้องมีมารยาทในการใช้รถใช้ถนนกันนิดนึง หากมีคนจะแซงต้องหลบให้แซงครับ โดยเฉพาะลูกหาบ เพราะถ้าเราขวางอันตรายครับ เพราะจะทำให้จังหวะเขาเสีย ค่อยๆครับ เดี๋ยวก็ถึง

ก้มหน้าก้มตาเดินขึ้นมาเลยครับ รู้ตัวอีกทีเงยหน้ามาแล้วเจอป้ายแบบนี้ โอ้โหหหหหห ที่นี่ที่ไหน ถึงตรงนี้ อย่าลืมเก็บภาพความประทับใจ เก็บไว้ให้เยอะที่สุด กลับไปบอกคนทางบ้านและมิตรรักแฟนเพลงว่า เรามาถึงแล้วที่ความสูง 1,633 เมตรจากระดับน้ำทะเล ใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง

จากนี้จะเป็นเวลาพักผ่อนอิริยาบท เข้าเต้นท์ อาบน้ำล้างเนื้อล้างตัว แล้วทำกับข้าวกินกัน สำหรับกลุ่มผม ด้วยความที่ไม่อยากจะแบกอะไรเยอะเลยพกมานิดหน่อย อาหารหลักคือมาม่าปลากระป๋อง แต่มาม่าของเราชามนี้ จะเป็นมื้อที่อร่อยที่สุดในโลก

ยกซดไม่ให้เหลือติดชามเลยทีเดียว
ทริปนี้ของเราอากาศไม่ค่อยเป็นใจ คืนนี้ฝนตกทั้งคืน ไม่เป็นไร มองโลกในแง่ดีเข้าไว้ พรุ่งนี้เช้าเราจะไปจิบกาแฟที่ต่างประเทศกัน

กาแฟสำเร็จรูปพร้อมถ้วย ซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อในปั๊มน้ำมัน ราคาไม่กี่บาท แต่พอมาจิบกันตรงนี้แล้วดูแพงมาก และรสชาติก็อร่อยมาก
เช้านี้เราเดินถ่ายภาพกันบนสันเขาที่เป็นสันปันน้ำแบ่งเขตระหว่างประเทศไทยกับ สปป.ลาว ซึ่งมีทั้งหลักเขตแดน หลุมหลบภัย และจุดชมวิวหลายๆจุด เก็บภาพกันก่อนกลับ

สายๆ เราก็เริ่มเก็บของแพคของยัดกระเป๋า โดยขาลงเราไม่ได้จ้างลูกหาบครับ เพราะฉะนันแบกกันเอง ช่วยๆกันตามความสามารถและความเหมาะสม แล้วอย่าลืมนะครับ ขยะ เก็บใส่ถุงดำลงไปด้วย
พอถึงเวลากลับ เราแทบไม่อยากจะกลับ มันหมดเวลาของความสุขแล้วจริงๆเหรอ


ขากลับหมอกลงหนามาก โดยเฉพาะก่อนลงเนินมรณะ หมอกคลุมตลอดทาง ทัศนวิสัยอยู่แค่บันไดห้าขั้น ขาขึ้นว่ายากแล้ว ขาลงเสียวกว่า ประกอบกับมีฝนตกตลอดเวลา ลื่นมากกกกกกกกก เราลื่นล้มกันนับครั้งไม่ถ้วน บางทีก็สไลด์เดอร์กันลงมาเลย (บางทีมันไวกว่า) เสื้อผ้าเละเทะกันหมด

สุดท้ายเราก็มาถึง ใช้เวลาประมาณ 3 ชัวโมง กับสภาพแบบว่าลูกหมาตกน้ำ

"ครั้งหนึ่งในชีวิต ข้าคือผู้พิชิต..." นี่คือข้อความต้อนรับกลับบ้าน กลับสู่โลกความจริงของเรา ผมว่าผมมาภูสอยดาวแต่ละครั้ง ผมมาเจออะไรที่ไม่เคยซ้ำกันเลย ครั้งแรกผมมาเจออุณหภูมิเกือบๆ 0 องศา ครั้งที่สอง ผมมาเจอทางช้างเผือกและดาวเต็มฟ้า ส่วนครั้งนี้ผมมาเจอสิ่งที่ได้เล่าไปในข้างต้น ถึงผมจะบอกต่อเพื่อนๆได้ในกระทู้นี้ แต่ผมเชื่อว่า ใครก็ตามที่มาก็จะเจออะไรที่ไม่เหมือนกัน ประสบการณ์ใครประสบการณ์มัน บอกต่อซื้อต่อกันไม่ได้
ลองมาเที่ยวสักครั้งครับ
[CR] ~*~*~*~ ~*~ภูสอยดาว กับเรื่องราวที่ต้องบอกต่อ~*~*~*~ ~*~
"ภูสอยดาว" เป็นภูเขาที่ทอดยาวเป็นพรมแดนธรรมชาติระหว่างไทยกับ สปป.ลาว กินพื้นที่อำเภอบ้านโคก อำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์ และอำเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก เป็นพื้นที่ที่มีสภาพป่าค่อนข้างสมบูรณ์ปกคลุมไปด้วยป่าธรรมชาติที่สวยงาม เป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร ยอดสูงสุดของภูสอยดาวสูง จากระดับน้ำทะเล 2,102 เมตร ซึ่งสูงเป็นอันดับ 4 ของประเทศไทย จุดเด่นที่น่าสนใจและเป็นที่ดึงดูดใจของนักท่องเที่ยว คือ การได้ชมทุ่งดอกไม้สีม่วงที่เรียกว่า"ดอกหงอนนาค" และดอกไม้หลากสีสันสลับให้เห็นอยู่ทั่วลานสน ซึ่งจะบานในช่วงฤดูฝนตั้งแต่เดือน ส.ค. - ก.ย ของทุกปี ดังนั้น ช่วงที่เหมาะที่สุดที่จะขึ้นมาชมไฮไลท์ของภูสอยดาวคือช่วงนี้แหละครับ
หลายคนกลัวว่าเดินป่าหน้าฝนจะมีทาก หรืออันตราย ยาก เฉอะแฉะ ผมรับรองว่าเดินภูสอยดาวไม่เจอทากครับ แต่สำหรับอย่างอื่นมีครบครับ แต่อย่าไปกลัวครับ อ่านไปเรื่อยๆ เดี๋ยวท่านจะรู้สึกว่ามันคุ้มค่า
การเดินทางมาที่ภูสอยดาว มาได้สองทางครับ จะขึ้นทางพิษณุโลก หรืออุตรดิตถ์ ใช้เวลาพอกันครับ แต่ถ้ามาทางอุตรดิตถ์ แล้วพักค้างหรือเที่ยวที่ตัวอำเภอน้ำปาดหนึ่งคืนก่อนรุ่งขึ้นจะไปปีนภู จะดีกว่าเพราะสามารถพักเอาแรงได้ให้พร้อมสำหรับการขึ้นภูในวันรุ่งขึ้น
ก่อนขึ้นภูสอยดาว เราต้องทำการเชคอิน ลงทะเบียนกันก่อน ณ ที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูสอยดาว ซึ่งอยู่ในเขตอำเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก ลงทะเบียน จ่ายค่าทำเนียม จัดของ/ชั่งของให้ลูกหาบกันตรงนั้นเลย ซึ่งทางอุทยานฯ จะบริการให้เรา เราเพียงแค่จ่ายตังครับ
หลังจากเชคอินกันเรียบร้อย ทางอุทยานฯจะมีรถกระบะ มาส่งเราตรงทางขึ้นในเขตพื้นที่อำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์ครับ โอโห.... นั่งรถข้ามจังหวัดกันเลยทีเดียว แต่จริงๆแล้ว ระยะทางแค่ 1 กม.เศษๆครับ สำหรับกลุ่มที่มาพร้อมกับพวกเราสามคน เป็นสาวเจ้าของร้านเบเกอรี่และเพื่อนจากกรุงเทพ (อันนี้สัมภาษณ์กันทีหลังว่าเป็นใครมาจากไหน) ใช้เวลาเพียงไม่ถึง 5 นาที รถกระบะอุทยานก็พาเรามาจนถึงทางขึ้น
มาถึงทางขึ้น ทำอะไรกันก่อนดี.... ทำใจครับ หมายถึงทำใจให้พร้อม ยืนเส้นยืดสาย ถ่ายรูปกันซักแชะสองแชะ เพื่อให้ทางบ้านหรือมิตรรักแฟนเพลงของเราเห็นว่าเรามาเที่ยวที่นี่นะ ต่อจากนี้ 1 วัน จะติดต่อเราไม่ได้แล้วนะ เพราะต่อจากนี้เราจะตัดขาดจากโลกปัจุบันของเราไปชั่วขณะ
ทางเดินช่วงแรกๆ ก็ขึ้นๆลงๆราบๆ เป็นทางเดินไปตามลำห้วย น้ำใสไหลเย็น เห็นตัวปลา ช่วงนี้สบายๆครับ เดินทำเวลาได้ แต่จะทำเวลาทำไม เราไม่ได้แข่งกับใครนี่นา เราเดินชิลๆ เก็บบรรยากาศกันดีกว่าครับ สองคนนั้นเพิ่งเคยมา ส่วนผมครั้งที่สามแล้ว
แต่หลังจากจุดพักนี้แหละ จะเป็นของจริง หลายทีมนั่งพักกันก่อนเพื่อทำใจ (ให้พร้อม) เพราะหลังจากนี้เดินขึ้นอย่างเดียวแล้วครับ ว่ากันว่าใครไม่พร้อมก็ให้เปลี่ยนใจหันหลังกลับตั้งแต่เนินนี้ แต่จะมีสักกี่คนที่หันหลังกลับ ทิ้งเป้าหมายไว้ตั้งแต่ถูกขู่ว่าต่อไปจะยาก ใช่มั้ยครับ
เส้นทางอีก 4 กิโลเมตร จะผ่านเนินต่างๆและภูมิประเทศที่ต่างกัน เนินส่งญาติ (ส่งแค่ตีนบันไดครับ) ทางตรงนี้ทางอุทยานอำนวยความสะดวกโดยการทำบันไดเหล็กเพื่อให้เดินขึ้นง่ายๆ แต่มันไม่ง่ายนะครับ การปีนบันไดในแนวดิ่งเป็นกิโลๆเนี่ย เนินปราบเซียน สมชื่อครับอันนี้ ไม่มีบันไดแล้วเหลือแต่ทางขึ้นชันๆยาวไปเกือบ 2 กิโล เนินป่าก่อ คนส่วนใหญ่จะใช้จุดนี้เป็นจุดพักกินข้าวกลางวันกัน (ถ้าขึ้นเวลาประมาณ 09.00 น.) เป็นทางไม่ชันมาก ทางราบมีบ้าง เนินเสือโคร่ง อันนี้ไม่ใช่มีเสือนะครับ แต่เป็นชื่อของต้นไม้ เป็นทางชันสลับราบ เดินบนสันเขา
หลุดจากเนินเสื้อโคร่งเราก็จะมาพบกับเนินสุดท้ายที่เรียกว่า เนินมรณะ มรณะจริงๆครับบอกเลย แต่ชื่อนี้ไม่ได้มาเพราะว่านักท่องเที่ยวเดินเหนื่อยแทบตายนะครับ เป็นชื่อที่ตั้งตอนประวัติศาสตร์สงครามนะครับ ถ้าใครสนใจลองไปศึกษาดู
มาถึงตรงนี้พวกเราพักกันนานมาก น้ำก็หมด ยังดีที่มีกลุ่มชายหนุ่มผู้เมตตาแด่น้องผู้หิวโหย ผมส่งเพื่อนผู้หญิงไปขอน้ำเขามาครับ โดยสัญญาว่าถึงข้างบนแล้วจะคืนให้ (ปั้นเพื่อนครับ 55+) ก่อนขึ้นเนินมรณะ สิ่งแรกที่ควรทำคือ เหมือนเดิมครับ ทำใจ(ให้พร้อม) ถ่ายรูปนิดหน่อย ตรงนี้วิวสวยมาก แต่จะไม่สวยเพราะเราเหนื่อย จับกล้องยังมือสั่นผับๆๆ
ตรงนี้อย่าคิดอะไรมากครับ เดินอย่างมีสติ เดินขึ้นๆๆๆ ซึ่งตรงนี้แหละ เราต้องมีมารยาทในการใช้รถใช้ถนนกันนิดนึง หากมีคนจะแซงต้องหลบให้แซงครับ โดยเฉพาะลูกหาบ เพราะถ้าเราขวางอันตรายครับ เพราะจะทำให้จังหวะเขาเสีย ค่อยๆครับ เดี๋ยวก็ถึง
ก้มหน้าก้มตาเดินขึ้นมาเลยครับ รู้ตัวอีกทีเงยหน้ามาแล้วเจอป้ายแบบนี้ โอ้โหหหหหห ที่นี่ที่ไหน ถึงตรงนี้ อย่าลืมเก็บภาพความประทับใจ เก็บไว้ให้เยอะที่สุด กลับไปบอกคนทางบ้านและมิตรรักแฟนเพลงว่า เรามาถึงแล้วที่ความสูง 1,633 เมตรจากระดับน้ำทะเล ใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง
จากนี้จะเป็นเวลาพักผ่อนอิริยาบท เข้าเต้นท์ อาบน้ำล้างเนื้อล้างตัว แล้วทำกับข้าวกินกัน สำหรับกลุ่มผม ด้วยความที่ไม่อยากจะแบกอะไรเยอะเลยพกมานิดหน่อย อาหารหลักคือมาม่าปลากระป๋อง แต่มาม่าของเราชามนี้ จะเป็นมื้อที่อร่อยที่สุดในโลก
ยกซดไม่ให้เหลือติดชามเลยทีเดียว
ทริปนี้ของเราอากาศไม่ค่อยเป็นใจ คืนนี้ฝนตกทั้งคืน ไม่เป็นไร มองโลกในแง่ดีเข้าไว้ พรุ่งนี้เช้าเราจะไปจิบกาแฟที่ต่างประเทศกัน
กาแฟสำเร็จรูปพร้อมถ้วย ซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อในปั๊มน้ำมัน ราคาไม่กี่บาท แต่พอมาจิบกันตรงนี้แล้วดูแพงมาก และรสชาติก็อร่อยมาก
เช้านี้เราเดินถ่ายภาพกันบนสันเขาที่เป็นสันปันน้ำแบ่งเขตระหว่างประเทศไทยกับ สปป.ลาว ซึ่งมีทั้งหลักเขตแดน หลุมหลบภัย และจุดชมวิวหลายๆจุด เก็บภาพกันก่อนกลับ
สายๆ เราก็เริ่มเก็บของแพคของยัดกระเป๋า โดยขาลงเราไม่ได้จ้างลูกหาบครับ เพราะฉะนันแบกกันเอง ช่วยๆกันตามความสามารถและความเหมาะสม แล้วอย่าลืมนะครับ ขยะ เก็บใส่ถุงดำลงไปด้วย
พอถึงเวลากลับ เราแทบไม่อยากจะกลับ มันหมดเวลาของความสุขแล้วจริงๆเหรอ
ขากลับหมอกลงหนามาก โดยเฉพาะก่อนลงเนินมรณะ หมอกคลุมตลอดทาง ทัศนวิสัยอยู่แค่บันไดห้าขั้น ขาขึ้นว่ายากแล้ว ขาลงเสียวกว่า ประกอบกับมีฝนตกตลอดเวลา ลื่นมากกกกกกกกก เราลื่นล้มกันนับครั้งไม่ถ้วน บางทีก็สไลด์เดอร์กันลงมาเลย (บางทีมันไวกว่า) เสื้อผ้าเละเทะกันหมด
สุดท้ายเราก็มาถึง ใช้เวลาประมาณ 3 ชัวโมง กับสภาพแบบว่าลูกหมาตกน้ำ
"ครั้งหนึ่งในชีวิต ข้าคือผู้พิชิต..." นี่คือข้อความต้อนรับกลับบ้าน กลับสู่โลกความจริงของเรา ผมว่าผมมาภูสอยดาวแต่ละครั้ง ผมมาเจออะไรที่ไม่เคยซ้ำกันเลย ครั้งแรกผมมาเจออุณหภูมิเกือบๆ 0 องศา ครั้งที่สอง ผมมาเจอทางช้างเผือกและดาวเต็มฟ้า ส่วนครั้งนี้ผมมาเจอสิ่งที่ได้เล่าไปในข้างต้น ถึงผมจะบอกต่อเพื่อนๆได้ในกระทู้นี้ แต่ผมเชื่อว่า ใครก็ตามที่มาก็จะเจออะไรที่ไม่เหมือนกัน ประสบการณ์ใครประสบการณ์มัน บอกต่อซื้อต่อกันไม่ได้
ลองมาเที่ยวสักครั้งครับ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น