ราชาสิบสองนักษัตร ศึกรวมสุโขทัย - บทที่ ๓๒ พระเจ้านครอินทร์

.
                                                  

บทที่ ๓๒ พระเจ้านครอินทร์

“เขาตายหรือยัง ท่านวรา” เสียงหนึ่งดังขึ้น

“ร่างกายยังอุ่นอยู่ แต่ทำไมเหมือนไร้ลมหายใจ” อีกเสียงทุ้มห้าวกล่าวตอบคำ
“ท่านรีบกรอกยาล้างพิษให้เขาเถอะ ป่านนี้พิษงูคงแผ่จากช่องท้องกระจายไปสู่อวัยวะภายในต่างๆ หมดแล้ว”

“ไม่มีประโยชน์ ร่างกายเขาหยุดทำงานหมดแล้ว แม้กรอกยาเข้าไปก็คงไปขังอยู่ในช่องท้อง ไม่แผ่กระจายไปตามกระแสเลือด”
“โธ่...เขาอุตส่าห์ช่วยชีวิตนายข้าไว้แท้ๆ”

“เอ๊ะ...เจ้าหยุดฟูมฟายก่อน... เหมือนเขาหายใจแล้ว... ใช่จริงๆ ด้วย เจ้าอ้าปากเขาออก ข้าจะลองกดท้องเขา... ท้องไม่แข็งแล้ว มีลมไล่ออก... เจ้ารีบช้อนตัวเขาขึ้น ข้าจะกรอกยาให้เขา...”
เหล่านั้นคือเสียงสุดท้ายในภวังค์...



ดวงตะวันอ่อนแสง สู่ยามโพล้เพล้ ที่หมู่บ้านปฏัก... หลังจากผ่านเหตุระทึกไป ๑ คืนกับ ๑ วัน ทุกอย่างก็กลับคืนสู่ความสงบ
เจ้าทิพรู้สึกร้อนผ่าวในช่องปาก ลำคอ ตลอดถึงช่องท้อง จนเพ้อออกมา
“น้ำ... ขอน้ำข้าหน่อย”

“รู้สึกตัวแล้วรึ” เสียงทุ้มห้าวดังเข้ามากระทบโสตจนปลุกเจ้าทิพให้คืนสติ ลืมตาขึ้น
ภาพที่เห็นคือ วราที่ชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ ถัดไปคือพานอิน

วราประคองศีรษะเจ้าทิพให้สูงขึ้น อีกมือก็ยื่นขันน้ำมาจ่อปากให้เจ้าทิพได้ดื่มกิน
“คงแสบร้อนในลำคอละสิ... ไม่ต้องกังวล มันเป็นปกติของคนที่ดื่มพิษงูลงคอ พิษที่ซึมเกาะอยู่ตามจุดต่างๆ ตอนนี้ได้ถูกยาล้างพิษของข้าทำลายไปหมดแล้ว ไม่เช่นนั้นเจ้าคงไม่ฟื้นขึ้นมาได้หรอก” วราอธิบาย น้ำเสียงฟังดูเป็นมิตร

เจ้าทิพดื่มน้ำจนหมดขัน หันไปมองพานอิน แม้หน้าตาจะซูบซีดแต่ดูมีรอยยิ้มดังปกติแล้ว
“ขอบคุณท่านมาก ที่ช่วยชีวิตพานอินเพื่อนของข้าไว้ พระคุณของท่านครั้งนี้ข้าพเจ้าจะต้องทดแทนให้ได้”

“หึ...แทนที่จะขอบคุณข้าที่ช่วยชีวิตเจ้า กลับขอบคุณที่ข้าช่วยชีวิตพานอิน... ส่วนพานอินพอฟื้นตื่นมา รู้ว่าข้าได้ช่วยรักษาเจ้าไว้ ก็ขอบคุณข้าที่ช่วยชีวิตเจ้าเหมือนกัน... เฮ้อ ข้าว่าเจ้าสองคนนี้ชาติก่อนๆ คงเกิดเป็นพี่น้องกันแน่ จึงรักกันขนาดนี้”

พานอินยิ้มให้กับคำพูดของวรา แล้วกล่าวขึ้นว่า
“เจ้าทิพ เราขอบคุณท่านมากที่ช่วยดูดพิษออกไปจากร่างของเรา ไม่เช่นนั้นชีวิตนี้คงจบสิ้นไปแล้ว”
“ไม่ต้องกล่าวหรอก ที่ท่านถูกพิษก็เพราะหวังเข้ามาช่วยเหลือพวกเราไม่ให้ฆ่าฟันกัน ท่านเกรงว่าข้าพเจ้าจะเป็นอันตรายจนตัวท่านต้องรับเคราะห์เสียเอง น้ำใจของท่านครั้งนี้ข้าพเจ้าจะไม่ลืมเลือนเลย”

เจ้าทิพยื่นมืออันอ่อนแรงไปหมายจับมือของพานอิน แต่เจ้าตัวเอื้อมมือมาเกาะกุมเสียก่อน น้ำใจอุ่นระอุของสองชายชาตรีพิสูจน์แล้วด้วยชีวิตของกันและกัน

“เจ้ารู้ไหม ที่ข้าช่วยเจ้าทั้งสองคนก็เพราะน้ำใจที่พวกเจ้ามีให้ต่อกัน หาใช่เพราะข้าเชื่อหรือไม่เชื่อเรื่องหนังสือลับปลอมของพระเจ้าปตานีแต่อย่างใดไม่”
“ท่านไม่เชื่อวาจาของพานอินหรือ”

“ข้าไม่รู้สิ่งใดหรอก แต่ความจริงก็คือบันทึกการต่อสู้ของพระมหาเถรศรีศรัทธาได้สูญหายไปและพราหมณ์กุณฑกัญจก็เอาไปสอนเจ้า จนได้เป็นขุนพลฉลูนักษัตร... หรือเจ้าไม่คิดว่าพระเจ้าปตานีอาจทรงอยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมด”
“พระองค์จะทรงทำเช่นนั้นทำไม”
“แล้วเจ้าเป็นอะไรกับพระองค์ล่ะ”

วราย้อนคำถาม... เป็นคำถามที่ทำให้เจ้าทิพต้องหวั่นไหวและฉุกคิดเรื่องราวขึ้นมา พระองค์เป็นพระบิดาของเรา พระองค์จะทรงปรารถนาและหวังดีต่อเราจริงหรือ... พระองค์ทรงให้พราหมณ์กุณฑกัญจแอบมาสั่งสอนวิชาต่อเราหรือ... ถ้าอย่างนั้นสิ่งที่พระองค์ทรงปรารถนา แท้จริงแล้วคือสิ่งใด
แล้วเสียงของวราก็แทรกเข้ามาในห้วงคำนึง

“ว่าแต่ข้าแปลกใจ เจ้าไม่น่าทนพิษร้ายได้เกินครึ่งชั่วยามโดยเฉพาะพิษที่กลืนลงลำคอ ตอนที่ข้าเริ่มรักษาเหมือนร่างกายของเจ้าหยุดทำงานจนพิษร้ายเองก็พลอยหยุดแทรกซึมไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกายด้วย”

“ท่านกล่าวถูกต้องแล้ว ตอนที่ข้ากลืนพิษงู ก่อนจะสิ้นสติไปข้าพเจ้าได้ทดลองผนึกวิชาสลายธาตุของพระมหาเถรศรีศรัทธา วิชานี้หากฝึกสำเร็จสามารถควบคุมบังคับให้ธาตุทั้งสี่ภายในร่างกายหยุดการทำงานได้”
“ถ้าอย่างนั้น ท่านก็สำเร็จวิชานี้แล้วสิ” พานอินพลอยยินดีไปด้วย
“ข้าพเจ้าไม่แน่ใจ รู้แต่ว่ายังมีอีกหลายระดับขั้นที่ข้ายังต้องเรียนรู้”

“อืม.. ข้าเคยได้ยินมาว่าวิชาของพระมหาเถระมักจะสำเร็จได้ในยามคับขันของชีวิต...” วราทบทวนสิ่งที่ตนรับรู้มา “ว่ากันว่าเมื่อเรือของพระองค์ท่านอับปางลงยังท้องทะเล ในกระแสคลื่นแห่งความเป็นความตายของพระชนม์ชีพ พระองค์ทรงบรรลุจุดสูงสุดของวิชาฝีมือ บางทีนั่นอาจเป็นสาเหตุที่ช่วยไม่ให้สิ้นพระชนม์ลงในท้องทะเลและถูกคลื่นซัดมายังชายฝั่งปตานี จนพระเจ้าปตานีได้ทรงอุปถัมภ์... สุดท้ายพระมหาเถระทรงได้บันทึกหลักวิชาที่ท่านทรงค้นพบเก็บไว้ในหอคัมภีร์”

“ในห้วงความเป็นความตายหรือ”
เจ้าทิพนึกทบทวนเหตุการณ์ในตอนนั้น ขณะตนดูดกลืนพิษร้ายและตัดใจยอมตายเพื่อช่วยชีวิตพานอิน ในห้วงเวลานั้นได้ยินวราสั่งคนให้พาพานอินไปรีบรักษาจึงหมดห่วงหมดผูกพันในสิ่งใด แล้วจึงผนึกวิชาสลายธาตุขึ้น...

“ข้าพเจ้ารู้แล้ว.. ข้าพเจ้าหยุดอารมณ์ธาตุได้ก่อน จึงหยุดธาตุทั้งสี่ได้สำเร็จ”
วราและพานอินจ้องดูเจ้าทิพที่ตะโกนโพล่งขึ้นมาพร้อมสีหน้าแววตาที่ตื่นเต้นลิงโลด
“ข้าไม่รู้ความนัยของเจ้า แต่เข้าใจว่าเจ้าคงตีความสิ่งใดออกแล้ว ขอแสดงความยินดีด้วย” วรากล่าวขึ้น

“ใช่ ข้าพเจ้าตีความได้แล้ว วิชาสลายธาตุไล่เลียงจากกายธาตุ อารมณ์ธาตุ จิตธาตุ ไปจนถึงธรรมธาตุ... การจะบรรลุสมบูรณ์ในแต่ละระดับนั้นยากมาก มีแต่อาศัยสภาวะของระดับสูงขึ้นไปช่วยเหนี่ยวนำ...” ขณะดีใจ ฉับพลันก็เกิดอาการลังเลสงสัยจนรำพึงขึ้น “แต่ธรรมธาตุเป็นระดับสูงสุด จะต้องใช้สิ่งใดเหนี่ยวนำเล่า”

“ท่านค่อยๆ คิด ค่อยๆ ทบทวน ไม่ช้าคงมีความสำเร็จแน่นอน” พานอินกล่าวพร้อมตบไหล่เบาๆ
สัมผัสแห่งน้ำมิตรดึงเจ้าทิพออกมาจากภวังค์แห่งความครุ่นคิด จ้องตาพานอิน กล่าวขึ้น
“ขอบใจท่าน”
เป็นคำกล่าวที่สั้น..แต่ครอบคลุมทุกอย่าง

“ในเมื่อเจ้าหายดีแล้ว ก็นอนพักเอาแรงอีกสักครู่ แล้วค่ำคืนนี้ข้าจะพาเจ้าไปฝึกต่ออย่างจริงจัง” วรากำหนดการสอนขึ้นใหม่อย่างขึงขัง
“แต่เขาเพิ่งทุเลาจากพิษงูเอง” พานอินแย้ง
“ที่ข้าจะฝึกคืนนี้คือเรื่องจิตใจและอารมณ์ ขอเพียงประคองสติไว้ได้ก็พอแล้ว... เอาละ ข้าจะไปเตรียมการสอนของข้าละ เจ้าจะพักหรือทำอะไรก็เรื่องของเจ้า”
กล่าวจบ คนพูดก็ลุกออกไปจากเรือน ทิ้งให้สองหนุ่มอยู่กันลำพัง

“ท่านหายดีแล้วหรือ” เจ้าทิพถามไถ่อาการของพานอิน
“เราเป็นปกติดีแล้ว วราบอกว่าพิษในกายเราหลงเหลืออยู่ไม่มากจึงรักษาไม่นาน ไม่เหมือนของท่านที่กลืนพิษมากมายลงไปในลำคอ... ท่านนี่ช่างบ้าบิ่นจริงๆ” พูดแล้วพานอินก็หัวเราะขึ้น

เสียงหัวเราะหนึ่งเหนี่ยวนำให้อีกคนหนึ่งต้องหัวเราะตาม... จนประสานดังก้องอยู่บนเรือนของวรา
เมื่อเสียงหัวเราะสงบลง มีเพียงรอยแย้มยิ้มตรงมุมปากของสองชายหนุ่ม

“ชีวิตของเราผ่านความเป็นความตายมามากมาย แต่ไม่เคยพบคนดั่งท่าน คนที่ยอมสละชีวิตเพื่อมิตรสหาย... บางทีวราอาจกล่าวถูกต้อง เรากับท่านอาจเคยเป็นพี่น้องกันมาในชาติภพก่อน”
คำพูดของพานอิน ตรงกับใจของเจ้าทิพ...
“นอกจากพระมารดาและท่านตาแล้ว ก็มีเพียง ๓ คนที่ดีกับข้าพเจ้าด้วยน้ำใจจริง หนึ่งในนั้นก็คือท่าน...”

“ดี ถ้าอย่างนั้นทำไมเราไม่มาสาบานเป็นพี่น้องกัน...”
เจ้าทิพถึงกับตะลึงในคำเสนอของพานอิน... พี่น้องร่วมสาบานย่อมผูกพันไปจนวันตาย แม้ชีวิตก็สละเพื่ออีกฝ่ายหนึ่งได้
“เป็นอย่างไร ท่านรังเกียจเราหรือ”
“ข้าพเจ้าไม่เคยมีพี่มีน้อง...” เจ้าทิพกล่าวเสียงเครือ น้ำตาคลอ “ญาติวงศ์ต่างก็รังเกียจ เป็นบุคคลในคำสาป ท่านไม่เกรงว่าข้าพเจ้าจะพลอยนำเภทภัยมาสู่ตัวท่านหรอกหรือ”

“เราเพียงรู้ว่าท่านเป็นบุคคลที่มีจิตใจดีงาม มีคุณธรรมน้ำมิตร เสียสละได้แม้กระทั่งชีวิตเพื่อตัวเรา...เท่านี้ก็เป็นสิ่งล้ำค่าที่หาได้ยากยิ่งแล้ว”
“ถ้าเช่นนั้นข้าพเจ้าขอรักนับถือท่านเป็นพี่ชายของข้าพเจ้าตลอดไป” กล่าวแล้วสองมือยึดเกาะกุมมือของพานอินผู้สูงวัยกว่าไว้มั่น...

-----------------------------------

เปลวไฟลุกโชนปะทุด้วยเชื้อไม้ กวัดไกวด้วยสายลมที่กรรโชก
กลางลานหน้าเพิงที่พักของเจ้าทิพและพานอิน บัดนี้นอกจากกองไฟที่สุมเชื้ออยู่ ยังมีขอนไม้ใหญ่และแผ่นกระดานที่วางทับด้านบนจัดตั้งเป็นโต๊ะชั่วคราว บนโต๊ะจัดวางไว้ด้วยพระพุทธรูปหน้าตัก ๕ นิ้ว พร้อมดอกไม้เครื่องบูชา

“ท่านนำพระพุทธรูปติดตัวเสมอเลยหรือ”
เจ้าทิพที่ยืนอยู่ปลายด้านหนึ่งของโต๊ะถามขึ้น
“ใช่ ทุกครั้งที่เราเดินทางท่องทะเล เราจะอาราธนาพระพุทธรูปอู่ทององค์นี้ประจำขบวนเดินทางเสมอ” พานอินกล่าว สายตาก็จับอยู่กับองค์พระพุทธรูปสำริด

นายเรืองเดินเข้ามาพร้อมนายราบ จัดวางธูปเทียนและกระถางใส่ดินใบเล็กสำหรับปักธูปบูชา เมื่อเดินผ่านออกไปต่างก้มตัวลงต่ำให้พานอินด้วยความนอบน้อมอย่างยิ่ง ร่างพานอินที่ยืนผึ่งผายอยู่ระหว่างกองไฟและโต๊ะจัดวางพระพุทธรูปดูมีสง่าน่าเลื่อมใส ยามแสงโชติช่วงของกองไฟสะบัดทาบทอบนใบหน้าและร่างกายยิ่งฉายประกายแห่งอำนาจน่ายำเกรง...

“ท่านไม่เหมือนพ่อค้าทั่วไปเลย... กลับประพฤติปฏิบัติเหมือนคนในราชสำนักวังหลวง ยามไปไหนก็มักอัญเชิญพระพุทธรูปไปสักการะกราบไหว้ด้วย”
พานอินหันมาสบตาเจ้าทิพ สืบเท้าเข้ามาใกล้ มือวางลงบนไหล่ของอีกฝ่าย กล่าวเสียงจริงจัง

“ก่อนที่เราจะสาบานเป็นพี่น้องกัน เรามีเรื่องหนึ่งที่จะบอกท่าน...” สายตาจ้องมองเจ้าทิพลึกซึ้ง “ใช่แล้ว...พี่ชายของท่านคนนี้ไม่ใช่พ่อค้า”
“ท่านไม่ใช่พ่อค้า... แล้วท่านเป็นใคร” เจ้าทิพงุนงง

“นามของเราคือ นครอินทร์ โอรสพระเจ้าสุพรรณภูมิ”

สิ้นรับสั่ง นายเรืองนายราบและบริวารคนอื่นๆ ที่อยู่ในบริเวณต่างก้มลงคุกเข่า พนมมือถวายบังคม

“พระเจ้านครอินทร์ แห่งสุพรรณภูมิ”
เจ้าทิพทวนคำในลำคอ แล้วก้มกายจะคุกเข่า แต่พระหัตถ์ของพระองค์ที่อยู่เบื้องหน้าเอื้อมมาฉุดรั้งไว้

“อย่าได้ทำอย่างนี้กับเราเด็ดขาด” ทั้งยังทรงเบือนพระพักตร์ไปทางนายเรืองนายราบและบริวารคนอื่นๆ “พวกเจ้าทั้งหมดก็ลุกขึ้นมาให้เป็นปกติด้วย”
“พระเจ้าค่ะ” นายเรืองรับคำแล้วลุกขึ้นเป็นคนแรก แสดงกิริยาเป็นปกติเหมือนแต่ก่อน พวกบริวารคนอื่นๆ จึงกระทำตาม

“เรารับพระบรมราชโองการจากองค์ขุนหลวงพะงั่ว กษัตริย์ผู้ครองอโยธยาให้นำกองเรือสำเภาสินค้าไปเจริญสัมพันธไมตรีกับพระเจ้าจักรพรรดิกรุงจีน ครั้งนี้เราถือโอกาสปลอมฐานะเป็นพ่อค้านายวาณิชเพื่อจะได้รับรู้เรื่องราวต่างๆ ในหัวเมืองข้างฝ่ายใต้ ก็พอดีพบท่านจึงได้มายังสายบุรี แหล่งช้างป่าเสียก่อน”
องค์รัชทายาทแห่งสุพรรณภูมิรับสั่งถึงเนื้อความนัย

“ข้าพระองค์ต้องขอพระราชทานอภัยโทษ ที่ด่วนชักชวนพระองค์มายังหมู่บ้านปฏัก ทำให้ผิดพระประสงค์ที่ทรงตั้งไว้ พระเจ้าค่ะ”  เจ้าทิพรีบกราบทูลขึ้นทันที เมื่อสำนึกว่าเป็นตนที่เร่งรัดให้พานอิน ซึ่งปรากฏบัดนี้คือพระเจ้านครอินทร์รีบเสด็จมายังสายบุรีเพื่อนำตนมาพบวราที่หมู่บ้านปฏัก

“เจ้าทิพ จงอย่าได้ออกนามเราและใช้คำเหมือนพูดกับเจ้ากับนาย เพราะเรามาในฐานะพานอิน พ่อค้านายวาณิชจากสุพรรณภูมิ... จนกว่าเราจะเปิดเผยตน ท่านจึงค่อยกล่าวกับเราตามศักดิ์เถิด”

“พระเจ้าค่ะ...” เจ้าทิพรับคำ แต่ก็เผลอใช้คำตามศักดิ์ที่แท้จริงของอีกฝ่าย ยิ้มเก้อเกลื่อนๆ แล้วรีบกล่าวใหม่ว่า “ได้ ท่านพานอิน”
“ถูกต้อง” ผู้ที่อยู่เบื้องหน้าในนามพานอินเอ่ยปาก พร้อมเอื้อมมือมาบีบหัวไหล่เจ้าทิพ “ที่เราจำเป็นต้องแสดงตนเพราะเราจะสาบานเป็นพี่น้องกับท่าน เราจะเป็นพี่น้องกันด้วยตัวตนที่แท้จริง ด้วยความจริงใจและซื่อสัตย์ต่อกัน”

สายตาของพานอินเป็นประกายบ่งบอกถึงความจริงใจและมั่นคง

ในขณะที่ดวงตาของเจ้าทิพแวววาวเคล้าด้วยน้ำคลอหน่วย... เป็นความซาบซึ้งต่อความจริงใจที่ตนได้รับ

(มีต่อ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่