VUCA แรกเริ่มเดิมทีคำนี้มาจากการใช้เรียกสถานการณ์ในสงครามที่ทหารจะต้องเจอ (ไม่ใช่เสียงคำรามของชาวเผ่าแต่อย่างใด)โดยในเวลาต่อมาหลักการนี้ได้ถูกนำมาประยุกต์ใช้ในโลกของการจัดการธุรกิจ (ที่คล้ายกับสงคราม) ซึ่งเต็มไปด้วยสถานการณ์ที่มี
ความผันผวน (Volatility) ความไม่แน่นอน(Uncertainty) ความซับซ้อนของปัญหา(Complexity) และ
ความคลุมเครือจากปัจจัยต่างๆ (ambiguity) มาถึงตรงนี้เพื่อนๆ เริ่มคุ้นแล้วใช่ไหมครับว่าแอบเหมือนกับสถานการณ์ในปัจจุบันของโลกการลงทุน ที่ขึ้นๆ ลงๆ คาดการณ์ได้ยาก
ดังนั้นวันนี้ทาง K-Expert อยากให้เราลองมาดูตัวอย่างกันดีกว่าครับว่าหลักการ
"วูก้า VUCA" เนี่ยมีหลักการอย่างไร ซึ่งน่าจะช่วยเป็นไอเดียใหม่ๆ ให้เราเข้าใจโลกการลงทุนในปัจจุบัน ช่วยให้เพื่อนๆ ได้เห็นมุมมองที่กว้างขึ้นครับ
1) ความผันผวน Volatility
คือ การที่ราคาหรือผลตอบแทนจากการลงทุนนั้น ขึ้นๆ ลงๆ เปลี่ยนแปลงเฉียบพลัน จนคาดเดายากว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ทำให้หาจังหวะเหมาะๆ ในการลงทุนได้ยาก เพราะว่าคนที่อยากขายตอนราคาขึ้น ราคาก็ดันลง แต่คนที่จะซื้อตอนที่ตลาดลง ราคาก็ดันขึ้น สลับกันไป เลยไม่ได้
”ซื้อถูกขายแพง” อย่างที่ตั้งใจไว้ครับ
2) ความไม่แน่นอนสูง Uncertainty
ความไม่แน่นอน คือ สภาวะที่ขาดความชัดเจน คาดเดายาก เต็มไปด้วยเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงครับ (Surprise) ตัวอย่างของความไม่แน่นอนที่อาจส่งผลกระทบกับการลงทุนเช่น เหตุการณ์ทางการเมือง สงครามการค้า หรือ นโยบายทางการเงินรูปแบบใหม่ เป็นต้นครับ
3) ความซับซ้อน Complexity
ความซับซ้อนซ่อนเงื่อนในโลกของการลงทุนเกิดขึ้นมาจากการที่ทุกวันนี้ มีความหลากหลายของผลิตภัณฑ์การลงทุนเยอะขึ้น พอนานวันไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งมีความซับซ้อนมากขึ้น เช่น กองทุนเฮดจ์ฟันด์ Credit Default Swap (CDS) Block Trade พวกชื่อแปลกๆ กลุ่มนี้ ถือว่าเป็นตัวป่วนในโลกการเงินการลงทุนเลยล่ะครับ เพราะมีผลกับทั้งเศรษฐกิจและราคาหุ้นต่างๆ ทำให้นักลงทุนอย่างเราๆ คาดเดาทิศทางการลงทุนได้ยากขึ้น
4) ความคลุมเครือ Ambiguity
ความคลุมเครือนี้มาจากข้อมูลที่มีไม่สามารถตีความออกมาตรงๆ ได้ ตัวอย่างเช่น ถึงแม้ว่าตัวเลขเศรษฐกิจบ้านเราแสดงให้เห็นว่าเติบโตดีขึ้น แต่คนที่ทำมาค้าขายเองกลับบอกว่า ขายของไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ซึ่งความไม่ชัดเจนนี้ทำให้ยากที่เราจะทำความเข้าใจ เพราะไม่รู้ว่าจริงๆ แล้ว เศรษฐกิจช่วงนี้อยู่ในช่วง “ขาขึ้น” หรือ “ขาลง” กันแน่ จนสุดท้าย เพื่อนๆ นักลงทุน เลยไม่กล้าฟันธงว่า ควรจะลงทุนดีหรือเปล่า
รู้ VUCA แล้วช่วยอะไร ???
“ความเสี่ยงมักมาพร้อมกับการที่ไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่” แต่แนวคิด VUCA นี้จะช่วยเพื่อนๆ ได้รู้มากขึ้นเกี่ยวกับสถานการณ์ในโลกการลงทุน ทำให้ต้องเตรียมพร้อมและทำการบ้านทุกครั้งก่อนลงทุน แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่ควรพลาดนั้นคือ
การจัดสรรเงินลงทุน (Asset Allocation) เพื่อกระจายความเสี่ยงและลดการเหวี่ยงของพอร์ตการลงทุน วิธีการก็คือให้กระจายเงินลงทุนของเพื่อนๆ ไปยังสินทรัพย์ที่หลากหลาย ตามแนวคิดเท่ห์ๆ ที่ว่า “อย่าใส่ไข่ทุกฟองไว้ในตะกร้าใบเดียวกัน” เพราะถ้าไข่ตก จะได้มีไข่เหลือไว้ในอีกหลายตระกร้า (ตระกร้าแต่ละใบคือสินทรัพย์แต่ละประเภท) ยกตัวอย่างเช่น ควรลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภท ทั้งหุ้น ตราสารหนี้ หรือ แม้กระทั่งเงินฝาก เพียงเท่านี้แม้ตลาดหุ้นจะแดงติดต่อกันหลายวัน แต่พอร์ตเราก็จะไม่ตกตามไปทั้ง 100% เพราะเราได้จำกัดความเสี่ยงไว้เรียบร้อยแล้ว ยังไงก็ตามหากเพื่อนๆ มีปัญหาเกี่ยวกับการจัดสรรเงินลงทุน อย่าลืมนึกถึง K-Expert ให้ช่วยวางแผนการเงินการลงทุนนะครับ


VUCA หลักการทางทหาร กับการประยุกต์ใช้ในการลงทุน
VUCA แรกเริ่มเดิมทีคำนี้มาจากการใช้เรียกสถานการณ์ในสงครามที่ทหารจะต้องเจอ (ไม่ใช่เสียงคำรามของชาวเผ่าแต่อย่างใด)โดยในเวลาต่อมาหลักการนี้ได้ถูกนำมาประยุกต์ใช้ในโลกของการจัดการธุรกิจ (ที่คล้ายกับสงคราม) ซึ่งเต็มไปด้วยสถานการณ์ที่มี ความผันผวน (Volatility) ความไม่แน่นอน(Uncertainty) ความซับซ้อนของปัญหา(Complexity) และ ความคลุมเครือจากปัจจัยต่างๆ (ambiguity) มาถึงตรงนี้เพื่อนๆ เริ่มคุ้นแล้วใช่ไหมครับว่าแอบเหมือนกับสถานการณ์ในปัจจุบันของโลกการลงทุน ที่ขึ้นๆ ลงๆ คาดการณ์ได้ยาก
ดังนั้นวันนี้ทาง K-Expert อยากให้เราลองมาดูตัวอย่างกันดีกว่าครับว่าหลักการ "วูก้า VUCA" เนี่ยมีหลักการอย่างไร ซึ่งน่าจะช่วยเป็นไอเดียใหม่ๆ ให้เราเข้าใจโลกการลงทุนในปัจจุบัน ช่วยให้เพื่อนๆ ได้เห็นมุมมองที่กว้างขึ้นครับ
1) ความผันผวน Volatility
คือ การที่ราคาหรือผลตอบแทนจากการลงทุนนั้น ขึ้นๆ ลงๆ เปลี่ยนแปลงเฉียบพลัน จนคาดเดายากว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ทำให้หาจังหวะเหมาะๆ ในการลงทุนได้ยาก เพราะว่าคนที่อยากขายตอนราคาขึ้น ราคาก็ดันลง แต่คนที่จะซื้อตอนที่ตลาดลง ราคาก็ดันขึ้น สลับกันไป เลยไม่ได้ ”ซื้อถูกขายแพง” อย่างที่ตั้งใจไว้ครับ
2) ความไม่แน่นอนสูง Uncertainty
ความไม่แน่นอน คือ สภาวะที่ขาดความชัดเจน คาดเดายาก เต็มไปด้วยเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงครับ (Surprise) ตัวอย่างของความไม่แน่นอนที่อาจส่งผลกระทบกับการลงทุนเช่น เหตุการณ์ทางการเมือง สงครามการค้า หรือ นโยบายทางการเงินรูปแบบใหม่ เป็นต้นครับ
3) ความซับซ้อน Complexity
ความซับซ้อนซ่อนเงื่อนในโลกของการลงทุนเกิดขึ้นมาจากการที่ทุกวันนี้ มีความหลากหลายของผลิตภัณฑ์การลงทุนเยอะขึ้น พอนานวันไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งมีความซับซ้อนมากขึ้น เช่น กองทุนเฮดจ์ฟันด์ Credit Default Swap (CDS) Block Trade พวกชื่อแปลกๆ กลุ่มนี้ ถือว่าเป็นตัวป่วนในโลกการเงินการลงทุนเลยล่ะครับ เพราะมีผลกับทั้งเศรษฐกิจและราคาหุ้นต่างๆ ทำให้นักลงทุนอย่างเราๆ คาดเดาทิศทางการลงทุนได้ยากขึ้น
4) ความคลุมเครือ Ambiguity
ความคลุมเครือนี้มาจากข้อมูลที่มีไม่สามารถตีความออกมาตรงๆ ได้ ตัวอย่างเช่น ถึงแม้ว่าตัวเลขเศรษฐกิจบ้านเราแสดงให้เห็นว่าเติบโตดีขึ้น แต่คนที่ทำมาค้าขายเองกลับบอกว่า ขายของไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ซึ่งความไม่ชัดเจนนี้ทำให้ยากที่เราจะทำความเข้าใจ เพราะไม่รู้ว่าจริงๆ แล้ว เศรษฐกิจช่วงนี้อยู่ในช่วง “ขาขึ้น” หรือ “ขาลง” กันแน่ จนสุดท้าย เพื่อนๆ นักลงทุน เลยไม่กล้าฟันธงว่า ควรจะลงทุนดีหรือเปล่า
“ความเสี่ยงมักมาพร้อมกับการที่ไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่” แต่แนวคิด VUCA นี้จะช่วยเพื่อนๆ ได้รู้มากขึ้นเกี่ยวกับสถานการณ์ในโลกการลงทุน ทำให้ต้องเตรียมพร้อมและทำการบ้านทุกครั้งก่อนลงทุน แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่ควรพลาดนั้นคือ การจัดสรรเงินลงทุน (Asset Allocation) เพื่อกระจายความเสี่ยงและลดการเหวี่ยงของพอร์ตการลงทุน วิธีการก็คือให้กระจายเงินลงทุนของเพื่อนๆ ไปยังสินทรัพย์ที่หลากหลาย ตามแนวคิดเท่ห์ๆ ที่ว่า “อย่าใส่ไข่ทุกฟองไว้ในตะกร้าใบเดียวกัน” เพราะถ้าไข่ตก จะได้มีไข่เหลือไว้ในอีกหลายตระกร้า (ตระกร้าแต่ละใบคือสินทรัพย์แต่ละประเภท) ยกตัวอย่างเช่น ควรลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภท ทั้งหุ้น ตราสารหนี้ หรือ แม้กระทั่งเงินฝาก เพียงเท่านี้แม้ตลาดหุ้นจะแดงติดต่อกันหลายวัน แต่พอร์ตเราก็จะไม่ตกตามไปทั้ง 100% เพราะเราได้จำกัดความเสี่ยงไว้เรียบร้อยแล้ว ยังไงก็ตามหากเพื่อนๆ มีปัญหาเกี่ยวกับการจัดสรรเงินลงทุน อย่าลืมนึกถึง K-Expert ให้ช่วยวางแผนการเงินการลงทุนนะครับ