ชุมชนบ้านสามขา – หมู่บ้านเหนือฟ้า
"พัฒนาอย่างไรให้ยั่งยืน"
ในพื้นที่ 15,100 ไร่ บ้านสามขา หมู่ 6 ต. หัวเสือ อ.แม่ทะ จ.ลำปาง
ชุมชนสุดท้ายที่ติดกับชายป่าและภูเขา
ในอดีตที่เคยอุดมสมบูรณ์กลับต้องตกอยู่ในความแห้งแล้ง
จากที่เคยพึ่งพาอาศัยป่ากลับต้องตกอยู่ในภาวะหนี้สินล้นพ้น
152 ครัวเรือน กับ 20 ล้านบาท
เมื่อป่าต้นน้ำที่เคยอุดมสมบูรณ์กลับถูกใช้ประโยชน์จนกลายเป็นการทำลาย
เมื่อวิถีของทุนเข้ามาแทนที่วิถีดั้งเดิม ด้วยความอยากมีอยากได้ ด้วยการกู้ยืม ด้วยเคมี ด้วยต้นทุนที่สูงขึ้นในการทำเกษตร และราคาที่ผันผวนในท้องตลาด
อ่างเก็บน้ำที่ได้รับพระราชทาน ในปี 2527 เพื่อการชลประทานและการเกษตร ในปี 2544 ก็กลายเป็น "อ่างเก็บลม" เพราะปัญหาความแห้งแล้งและไฟป่าที่เกิดขึ้นเป็นประจำ
ทุกอย่างดูจะตอกย้ำซ้ำเติมให้สถานการณ์มันแย่ลงไปเรื่อยๆ จนถึงวันที่แผ่นดินแห้งแล้งจนไม่มีน้ำจะทำนา
จนถึงวันที่มีคนที่ตัดสินใจลาจากโลกนี้ไป
………………..
จุดเริ่มต้นขอการเปลี่ยนแปลง คงเป็นเวลาที่ทุกคนระลึกได้พร้อมๆ กัน
กระบวนการเรียนรู้อย่างมีส่วนร่วม หรือ Constructionism จึงเข้ามามีบทบาทในการพลิกฟื้นวิกฤติชุมชน
การตระหนักรู้ การยอมรับความจริง การพูดคุย การสืบค้นหาต้นตอของปัญหา จึงนำพาไปถึงต้นเหตุแห่งทุกข์
กระบวนการวิจัย กระบวนการการร่วมมือร่วมแรงในการแก้วิกฤติจึงเกิดขึ้น และนำพาทุกคนไปสู่หนทางแห่งความสุข ความอุดมสมบูรณ์ ให้เป็นชุมชนที่เข้มแข็ง บนฐานของเศรษฐกิจพอเพียง
………………..
"ป่ามันแล้งเพราะเราไปเอามาเยอะ เราไปจุดไฟเผา ธรรมชาติถูกรบกวนจนเสียสมดุล จนไม่เหลือ ... ป่าไม้คือที่มาของชีวิต ถ้าอยากมีชีวิตเหมือนเดิม เราก็ต้องให้ความชุมชื้นกับป่า"
"เราพบว่าการนำความรู้จากห้วยฮ่องไคร้มาใช้ในพื้นที่ตรงๆ นี้ไม่ได้ผล เพราะสภาพพื้นที่ต่างกัน การทำฝายชั้นเดียวสู้แรงน้ำในช่วงน้ำหลากไม่ได้" จสอ.ชัย วงศ์ตระกูล หนึ่งในคณะกรรมการป่าชุมชนบ้านสามขา
ชาวบ้านหาทางแก้ไข โดยเริ่มสำรวจสภาพป่า ตาน้ำ ทางน้ำ และได้ข้อสรุปร่วมกันว่าจะต้องทำ "ฝายไส้ไก่" ซึ่งเป็นฝายธรรมชาติขนาดเล็กๆ ตามเส้นทางน้ำตั้งแต่บนยอดเขา ดักทางน้ำเส้นต่างๆ ที่ไหลในป่า แล้วค่อยมาทำฝายใหญ่ที่ทางลงก่อนจะถึงอ่าง
แนวคิดดังกล่าวคือการชะลอแรงน้ำและดักตะกอนตามจุดต่างๆ แทนที่จะจากข้างล่าง ไล่ขึ้นไปข้างบน อย่างที่เคยทำแล้วไม่ได้ผล
ชาวบ้านลองผิด-ลองถูกตามแนวคิดนี้ ปรากฏว่าได้ผล ฝายใส้ไก่ที่อยู่สูงแต่ละชั้นๆ ช่วยดักตะกอนและชะลอแรงน้ำ ทำให้ฝายด้านล่างไม่พัง ฝายไส่ไก่เหล่านี้ยังช่วยทำให้ดินในป่าชุ่มชื้น ป้องกันไฟป่าได้อีกด้วย
พอป่าฟื้นตัว ก็มีน้ำใช้ได้ทั้งปี ทำนาได้หากินได้
………………..
การไม่มีหนี้เป็นลาภอันประเสริฐ แต่การเป็นหนี้แล้วไม่พูดความจริงแก่กัน การขับเคลื่อนสู่การปลดหนี้ก็ไม่เกิดผล
การปลดหนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่ทุกคนในครอบครัว ในชุมชนต้องกล้าที่จะเปิดเผยความจริงแก่กัน
ในการกระบวนการวิจัย ชาวบ้านใช้ “บัญชีครัวเรือน” มาเป็นระบบตรวจสอบพฤติกรรมของตนเอง ด้วยการจด และบันทึกที่มาที่ไปของเงินทุกบาททุกสตางค์
หลังเห็นตัวเองในบัญชีครัวเรือน ก็เกิดการปรับตัวครั้งใหญ่ของคนบ้านสามขา ...เกิดการหันกลับไปมองวิถีแบบเก่า วิถีที่พอเพียง พึ่งพาธรรมชาติรอบบ้าน ขุดบ่อเพื่อเลี้ยงปลา เอาเฉพาะแค่กิน หากเหลือก็แบ่งปันหรือขาย
เกิดการรวมกลุ่มกันผลิตของใช้ประจำวันจำพวกแชมพู น้ำยาล้างจาน ยาสระผม เกิดกลุ่มผลิตปุ๋ยชีวภาพ สำหรับใช้และซื้อขายกันเองภายในหมู่บ้าน
หนี้ก้อนโต ก็มีการปรับเปลี่ยนกติกา และรูปแบบการผ่อนชำระเพื่อเปิดโอกาสให้สมาชิกในกลุ่มมีอิสระในการชำระหนี้มากขึ้น
เกิดกลุ่มออมทรัพย์ที่เปิดโอกาสให้ชาวบ้านนำเงินมาออม เพราะเมื่อถึงวันชำระหนี้จะได้ไม่ต้องวิ่งไปกู้เงินจากคนอื่น
ส่วนพฤติกรรมสิ้นเปลือง เช่น การบริโภคเหล้า บุหรี่ และหวย ก็ค่อยๆ ลดลงไป
………………..
วันนี้เราเห็นชุมชนบ้านสามขาเป็นแหล่งปลูกข้าวชั้นดี มีป่าเขาต้นน้ำที่มีแหล่งน้ำตลอดทั้งปี มีประปาภูเขา มีการจัดระเบียบชุมชน มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชน
มีการจัดการต้นทุนทรัพยากรและปลูกฝังทุนทางวัฒนธรรมแก่เยาวชน
มีการจัดการและขยายความองค์ความรู้อันเป็นทรัพย์สินและมรดกของชุมชน
เมื่อทุกคนมีความพอดี ในรูปแบบของชีวิตที่พอเพียง ชุมชนก็มีความสุข ปัญหาต่างๆ ก็ลดน้อยลง
………………..
เราเห็นรูปแบบในการเรียนรู้และการจัดการตนเอย่างเป็นระบบของบ้านสามขา
เปรียบเสมือนว่าที่ชุมชนแห่งนี้ มีกระทรวงต่างๆ ทั้ง กระทรวงนาข้าว กระทรวงป่าชุมชน กระทรวงฝายต้นน้ำ กระทรวงขยะ การทรวงการศึกษา กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงการค้า กระทรวงการคลังหมูบ้าน และธนาคาร ฯลฯ ที่ออกแบบให้สอดคล้องต่อบริบทของชุมชน ด้วยการมีส่วนร่วมของชุมชน เพื่อทุกคนในชุมชน
กระบวนการเรียนรู้อย่างมีส่วนร่วมในรูปแบบของชุมชนบ้านสามขา จึงเป็นสมบัติอันล้ำค่า และเป็นต้นแบบในการสร้างพลเมือง ด้วยความเท่าเทียม ความเสมอภาค เพื่อสร้างพื้นที่ในการร่วมแรงร่วมใจ
………………..
จากแกนนำชุมชนที่ร่วมพลิกฟื้นวิกฤติชุมชน ไม่ว่าจะเป็น
จสอ.ชัย และ ครูศรีนวล วงศ์ตระกูล , หนานชาญ อุทธิยา และอีกหลายๆ ท่าน
ในวันนี้ “นก หรือนางสาว พรนับพัน วงศ์ตระกูล” บุตรสาวของ จสอ.ชัย และ ครูศรีนวล
ได้เข้ามารับช่วงการต่อยอดการสร้างความยั่งยืนและขยายบทเรียนจากบ้านสามขาสังคมไทย ด้วยโครงการการเรียนรู้ที่บ้านสามขา และ บ้านสามขา โฮมสเตย์ โดยมี จสอ.ชัย ครูศรีนวล และแกนนำชุมชน ร่วมเป็นผู้ถ่ายทอด
และโครงการอบรมมัคคุเทศก์น้อยประจำหมู่บ้าน เพราะการส่งต่อให้กับเยาวชนรุ่นถัดไป จะเป็นหลักประกันได้ถึงความยั่งยืน
“สิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้เกิดความยั่งยืนขึ้นได้ ก็คือ การส่งต่อ เราเคยได้รับโอกาสที่ดีจากผู้ใหญ่ให้ได้รับการเรียนรู้ มาวันนี้เราก็ถ่ายทอดสิ่งเหล่านั้นออกไป ให้กับเยาวชน ให้เขาได้มีข้อมูล มีความคิดและกระบวนการ และวิธีการทำงานให้เข้าได้มีเวลาเตรียมตัว ยิ่งมีเวลาเรียนรู้ได้มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งพัฒนาได้มากขึ้น เพราะเขาเหล่านี้จะเติบโตขึ้นและจะเป็นแกนนำในวันข้างหน้า”
………………..
ในวันนี้ “บ้านสามขา” เป็นแหล่งความรู้ที่หน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ เอกชน หรือหมู่บ้านต่าง ๆ เดินทางเข้ามาศึกษาดูงาน ก่อให้เกิดรายได้ ทั้งค่าอาหาร ที่พักแบบโฮมสเตย์ ที่คิดแค่ 100 บาทต่อคน ค่าอาหารหัวละ 50 บาท และมีจำนวนผู้มาเยือนมากถึงเกือบ 70,000 คน ในช่วง 2-3 ปีนี้
เพราะการมีส่วนร่วมที่ดีจากทุกคน ทุกฝ่าย จะเป็นพื้นฐานที่ดีในการเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับองค์กร ชุมชน และสังคม
เพราะความยั่งยืนของชุมชนเป็นส่วนหนึ่งของความมั่นคงของสังคมไทย
https://www.facebook.com/GreatReform/videos/1850992171859827/
………………..
#GreatReform #GreatReformS004
#MiniReform #การพัฒนาชุมชน #เศรษฐกิจฐานราก #ระเบียบสังคม #ป่าต้นน้ำ #น้ำ #ความเสมอภาค
#MicroReform #บ้านสามขา #บ้านสามขาโฮมสเตย์ #กระบวนการเรียนรู้อย่างมีส่วนร่วม #Constructionism
" พัฒนาอย่างไรให้ยั่งยืน"
"พัฒนาอย่างไรให้ยั่งยืน"
ในพื้นที่ 15,100 ไร่ บ้านสามขา หมู่ 6 ต. หัวเสือ อ.แม่ทะ จ.ลำปาง
ชุมชนสุดท้ายที่ติดกับชายป่าและภูเขา
ในอดีตที่เคยอุดมสมบูรณ์กลับต้องตกอยู่ในความแห้งแล้ง
จากที่เคยพึ่งพาอาศัยป่ากลับต้องตกอยู่ในภาวะหนี้สินล้นพ้น
152 ครัวเรือน กับ 20 ล้านบาท
เมื่อป่าต้นน้ำที่เคยอุดมสมบูรณ์กลับถูกใช้ประโยชน์จนกลายเป็นการทำลาย
เมื่อวิถีของทุนเข้ามาแทนที่วิถีดั้งเดิม ด้วยความอยากมีอยากได้ ด้วยการกู้ยืม ด้วยเคมี ด้วยต้นทุนที่สูงขึ้นในการทำเกษตร และราคาที่ผันผวนในท้องตลาด
อ่างเก็บน้ำที่ได้รับพระราชทาน ในปี 2527 เพื่อการชลประทานและการเกษตร ในปี 2544 ก็กลายเป็น "อ่างเก็บลม" เพราะปัญหาความแห้งแล้งและไฟป่าที่เกิดขึ้นเป็นประจำ
ทุกอย่างดูจะตอกย้ำซ้ำเติมให้สถานการณ์มันแย่ลงไปเรื่อยๆ จนถึงวันที่แผ่นดินแห้งแล้งจนไม่มีน้ำจะทำนา
จนถึงวันที่มีคนที่ตัดสินใจลาจากโลกนี้ไป
………………..
จุดเริ่มต้นขอการเปลี่ยนแปลง คงเป็นเวลาที่ทุกคนระลึกได้พร้อมๆ กัน
กระบวนการเรียนรู้อย่างมีส่วนร่วม หรือ Constructionism จึงเข้ามามีบทบาทในการพลิกฟื้นวิกฤติชุมชน
การตระหนักรู้ การยอมรับความจริง การพูดคุย การสืบค้นหาต้นตอของปัญหา จึงนำพาไปถึงต้นเหตุแห่งทุกข์
กระบวนการวิจัย กระบวนการการร่วมมือร่วมแรงในการแก้วิกฤติจึงเกิดขึ้น และนำพาทุกคนไปสู่หนทางแห่งความสุข ความอุดมสมบูรณ์ ให้เป็นชุมชนที่เข้มแข็ง บนฐานของเศรษฐกิจพอเพียง
………………..
"ป่ามันแล้งเพราะเราไปเอามาเยอะ เราไปจุดไฟเผา ธรรมชาติถูกรบกวนจนเสียสมดุล จนไม่เหลือ ... ป่าไม้คือที่มาของชีวิต ถ้าอยากมีชีวิตเหมือนเดิม เราก็ต้องให้ความชุมชื้นกับป่า"
"เราพบว่าการนำความรู้จากห้วยฮ่องไคร้มาใช้ในพื้นที่ตรงๆ นี้ไม่ได้ผล เพราะสภาพพื้นที่ต่างกัน การทำฝายชั้นเดียวสู้แรงน้ำในช่วงน้ำหลากไม่ได้" จสอ.ชัย วงศ์ตระกูล หนึ่งในคณะกรรมการป่าชุมชนบ้านสามขา
ชาวบ้านหาทางแก้ไข โดยเริ่มสำรวจสภาพป่า ตาน้ำ ทางน้ำ และได้ข้อสรุปร่วมกันว่าจะต้องทำ "ฝายไส้ไก่" ซึ่งเป็นฝายธรรมชาติขนาดเล็กๆ ตามเส้นทางน้ำตั้งแต่บนยอดเขา ดักทางน้ำเส้นต่างๆ ที่ไหลในป่า แล้วค่อยมาทำฝายใหญ่ที่ทางลงก่อนจะถึงอ่าง
แนวคิดดังกล่าวคือการชะลอแรงน้ำและดักตะกอนตามจุดต่างๆ แทนที่จะจากข้างล่าง ไล่ขึ้นไปข้างบน อย่างที่เคยทำแล้วไม่ได้ผล
ชาวบ้านลองผิด-ลองถูกตามแนวคิดนี้ ปรากฏว่าได้ผล ฝายใส้ไก่ที่อยู่สูงแต่ละชั้นๆ ช่วยดักตะกอนและชะลอแรงน้ำ ทำให้ฝายด้านล่างไม่พัง ฝายไส่ไก่เหล่านี้ยังช่วยทำให้ดินในป่าชุ่มชื้น ป้องกันไฟป่าได้อีกด้วย
พอป่าฟื้นตัว ก็มีน้ำใช้ได้ทั้งปี ทำนาได้หากินได้
………………..
การไม่มีหนี้เป็นลาภอันประเสริฐ แต่การเป็นหนี้แล้วไม่พูดความจริงแก่กัน การขับเคลื่อนสู่การปลดหนี้ก็ไม่เกิดผล
การปลดหนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่ทุกคนในครอบครัว ในชุมชนต้องกล้าที่จะเปิดเผยความจริงแก่กัน
ในการกระบวนการวิจัย ชาวบ้านใช้ “บัญชีครัวเรือน” มาเป็นระบบตรวจสอบพฤติกรรมของตนเอง ด้วยการจด และบันทึกที่มาที่ไปของเงินทุกบาททุกสตางค์
หลังเห็นตัวเองในบัญชีครัวเรือน ก็เกิดการปรับตัวครั้งใหญ่ของคนบ้านสามขา ...เกิดการหันกลับไปมองวิถีแบบเก่า วิถีที่พอเพียง พึ่งพาธรรมชาติรอบบ้าน ขุดบ่อเพื่อเลี้ยงปลา เอาเฉพาะแค่กิน หากเหลือก็แบ่งปันหรือขาย
เกิดการรวมกลุ่มกันผลิตของใช้ประจำวันจำพวกแชมพู น้ำยาล้างจาน ยาสระผม เกิดกลุ่มผลิตปุ๋ยชีวภาพ สำหรับใช้และซื้อขายกันเองภายในหมู่บ้าน
หนี้ก้อนโต ก็มีการปรับเปลี่ยนกติกา และรูปแบบการผ่อนชำระเพื่อเปิดโอกาสให้สมาชิกในกลุ่มมีอิสระในการชำระหนี้มากขึ้น
เกิดกลุ่มออมทรัพย์ที่เปิดโอกาสให้ชาวบ้านนำเงินมาออม เพราะเมื่อถึงวันชำระหนี้จะได้ไม่ต้องวิ่งไปกู้เงินจากคนอื่น
ส่วนพฤติกรรมสิ้นเปลือง เช่น การบริโภคเหล้า บุหรี่ และหวย ก็ค่อยๆ ลดลงไป
………………..
วันนี้เราเห็นชุมชนบ้านสามขาเป็นแหล่งปลูกข้าวชั้นดี มีป่าเขาต้นน้ำที่มีแหล่งน้ำตลอดทั้งปี มีประปาภูเขา มีการจัดระเบียบชุมชน มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชน
มีการจัดการต้นทุนทรัพยากรและปลูกฝังทุนทางวัฒนธรรมแก่เยาวชน
มีการจัดการและขยายความองค์ความรู้อันเป็นทรัพย์สินและมรดกของชุมชน
เมื่อทุกคนมีความพอดี ในรูปแบบของชีวิตที่พอเพียง ชุมชนก็มีความสุข ปัญหาต่างๆ ก็ลดน้อยลง
………………..
เราเห็นรูปแบบในการเรียนรู้และการจัดการตนเอย่างเป็นระบบของบ้านสามขา
เปรียบเสมือนว่าที่ชุมชนแห่งนี้ มีกระทรวงต่างๆ ทั้ง กระทรวงนาข้าว กระทรวงป่าชุมชน กระทรวงฝายต้นน้ำ กระทรวงขยะ การทรวงการศึกษา กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงการค้า กระทรวงการคลังหมูบ้าน และธนาคาร ฯลฯ ที่ออกแบบให้สอดคล้องต่อบริบทของชุมชน ด้วยการมีส่วนร่วมของชุมชน เพื่อทุกคนในชุมชน
กระบวนการเรียนรู้อย่างมีส่วนร่วมในรูปแบบของชุมชนบ้านสามขา จึงเป็นสมบัติอันล้ำค่า และเป็นต้นแบบในการสร้างพลเมือง ด้วยความเท่าเทียม ความเสมอภาค เพื่อสร้างพื้นที่ในการร่วมแรงร่วมใจ
………………..
จากแกนนำชุมชนที่ร่วมพลิกฟื้นวิกฤติชุมชน ไม่ว่าจะเป็น
จสอ.ชัย และ ครูศรีนวล วงศ์ตระกูล , หนานชาญ อุทธิยา และอีกหลายๆ ท่าน
ในวันนี้ “นก หรือนางสาว พรนับพัน วงศ์ตระกูล” บุตรสาวของ จสอ.ชัย และ ครูศรีนวล
ได้เข้ามารับช่วงการต่อยอดการสร้างความยั่งยืนและขยายบทเรียนจากบ้านสามขาสังคมไทย ด้วยโครงการการเรียนรู้ที่บ้านสามขา และ บ้านสามขา โฮมสเตย์ โดยมี จสอ.ชัย ครูศรีนวล และแกนนำชุมชน ร่วมเป็นผู้ถ่ายทอด
และโครงการอบรมมัคคุเทศก์น้อยประจำหมู่บ้าน เพราะการส่งต่อให้กับเยาวชนรุ่นถัดไป จะเป็นหลักประกันได้ถึงความยั่งยืน
“สิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้เกิดความยั่งยืนขึ้นได้ ก็คือ การส่งต่อ เราเคยได้รับโอกาสที่ดีจากผู้ใหญ่ให้ได้รับการเรียนรู้ มาวันนี้เราก็ถ่ายทอดสิ่งเหล่านั้นออกไป ให้กับเยาวชน ให้เขาได้มีข้อมูล มีความคิดและกระบวนการ และวิธีการทำงานให้เข้าได้มีเวลาเตรียมตัว ยิ่งมีเวลาเรียนรู้ได้มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งพัฒนาได้มากขึ้น เพราะเขาเหล่านี้จะเติบโตขึ้นและจะเป็นแกนนำในวันข้างหน้า”
………………..
ในวันนี้ “บ้านสามขา” เป็นแหล่งความรู้ที่หน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ เอกชน หรือหมู่บ้านต่าง ๆ เดินทางเข้ามาศึกษาดูงาน ก่อให้เกิดรายได้ ทั้งค่าอาหาร ที่พักแบบโฮมสเตย์ ที่คิดแค่ 100 บาทต่อคน ค่าอาหารหัวละ 50 บาท และมีจำนวนผู้มาเยือนมากถึงเกือบ 70,000 คน ในช่วง 2-3 ปีนี้
เพราะการมีส่วนร่วมที่ดีจากทุกคน ทุกฝ่าย จะเป็นพื้นฐานที่ดีในการเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับองค์กร ชุมชน และสังคม
เพราะความยั่งยืนของชุมชนเป็นส่วนหนึ่งของความมั่นคงของสังคมไทย
https://www.facebook.com/GreatReform/videos/1850992171859827/
………………..
#GreatReform #GreatReformS004
#MiniReform #การพัฒนาชุมชน #เศรษฐกิจฐานราก #ระเบียบสังคม #ป่าต้นน้ำ #น้ำ #ความเสมอภาค
#MicroReform #บ้านสามขา #บ้านสามขาโฮมสเตย์ #กระบวนการเรียนรู้อย่างมีส่วนร่วม #Constructionism