๐ ซู่อู่รักสัตย์ไม่จำนน ๐

กระทู้คำถาม


100 ปีก่อนคริสต์ศักราช พระเจ้าฮั่นอู่ตี้ได้ทรงส่งซู อู่ ผู้บังคับการทหารรักษาพระองค์นำธงแสดงตนพร้อมกับ
ผู้ติดตามหนึ่งร้อยกว่าคน และสมบัติจำนวนมากไปเป็นทูตเจริญสัมพันธไมตรีกับเผ่าซงหนู  แต่คิดไม่ถึงว่า
หลังจากที่ซู อู่ปฏิบัติภารกิจแล้วเสร็จ และเตรียมตัวจะเดินทางกลับ ปรากฏว่าเผ่าซงหนูเกิดเหตุการณ์จลาจล
ขึ้นภายในประเทศของตน ทำให้คณะของซู อู่ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องจึงถูกคุมขังเอาไว้ เผ่าซงหนูเกลี้ย
กล่อมให้ซู อู่และคณะหักหลังราชวงศ์ฮั่น ไปอยู่ใต้บัญชาการของฉาน ยวี๋ (ใช้เรียกผู้นำเผ่าซงหนู)

ตอนแรก ฉาน ยวี๋เกลี้ยกล่อมซู อู่ด้วยการให้ตำแหน่งขุนนางในระดับสูง แต่ถูกซู อู่ปฏิเสธอย่างแข็งกร้าว การบังคับ
และการล่อลวงด้วยการให้ทรัพย์สินเงินทองของซงหนู ไม่สามารถทำให้ซู อู่ยอมจำนนแม้ตัวต้องตายก็ตาม  
ไม่เพียงเท่านี้ เขายังได้ตอบโต้นายพลหลี่ หลิงที่มาเกลี้ยกล่อมเขาด้วยคำพูดที่เด็ดขาดว่า “บัดนี้ ข้าได้โอกาส
สละตัวเองเพื่อแสดงความจงรักภัคดีต่อประเทศชาติแล้ว แม้จะถูกลงโทษประหารชีวิต ข้าก็เต็มใจ”  ซงหนูเห็น
ว่าการเกลี้ยกล่อมไม่เป็นผล จึงตัดสินใจลงโทษเขาด้วยการทรมาน  เวลานั้นเป็นยามฤดูหนาว หิมะกำลังตกหนัก
ฉาน ยวี๋ให้คนนำตัวเขาไปขังไว้ในห้องใต้ดินกลางแจ้งขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ไม่ให้ทั้งน้ำและอาหาร  ผ่านไปวันแล้ว
วันเล่า ซู อู่ได้แต่อดทนกับความหนาวเหน็บและความหิวในห้องใต้ดิน ทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส แต่ทว่า
กำลังใจที่จงรักภักดีต่อประเทศช่วยค้ำจุนชีวิตเขาไว้ เขาทนอยู่ต่อไปได้ด้วยการ “ดื่มน้ำหิมะเมื่อกระหาย กลืนพรมขนสัตว์ยามหิวโหย”

ไม่ว่าฉาน ยวี๋จะใช้ไม้แข็งหรือไม้อ่อนอย่างไร ก็ไม่สามารถทำให้ซู อู่ยอมจำนนได้ ในเมื่อหมดหนทางที่จะเกลี้ยกล่อมแล้ว
ก็ยิ่งเกิดความเคารพในความซื่อสัตย์ของซู อู่ มิอาจประหารชีวิตเขาได้ลงคอ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ต้องการให้เขากลับประเทศ
จึงตัดสินใจเนรเทศให้เขาไปเลี้ยงแพะในแถบเป่ยไห่ (ปัจจุบันคือแถบทะเลสาบไบคาลในไซบีเรีย ประเทศรัสเซีย)  
ก่อนเดินทาง ฉาน ยวี๋ให้ซู อู่มาเข้าเฝ้า กล่าวว่า “ในเมื่อเจ้าไม่ยอมจำนน ข้าจะให้เจ้าไปเลี้ยงแพะ เมื่อไรแพะตัวผู้ออกลูก
ข้าก็จะปล่อยเจ้ากลับไปยังจงหยวน (ดินแดนลุ่มแม่น้ำฮวงโหตอนกลางและตอนล่างอันเป็นศูนย์กลางอารยธรรมจีน)”
แต่ความจริงแล้ว ฉาน ยวี๋ต้องการเนรเทศซู อู่ไปอยู่เป่ยไห่โดยไม่มีวันหวนคืนนั่นเอง

ซู อู่ถูกส่งไปยังแถบทะเลสาบไบคาลที่ไร้ผู้คนอาศัย การไปอยู่ที่นั่นแต่เพียงลำพัง ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจหนีรอดไปไหน  
ซู อู่ได้แต่กำธงจิงเจี๋ยที่ติดตัวมาในมือแล้วเลี้ยงแพะไปวันๆ และคิดว่าคงมีสักวันที่เขาจะสามารถนำธงนี้กลับยังประเทศของตน  
จากนั้น ผ่านไปวันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า เครื่องประดับบนธงก็หลุดร่วง และหนวดเคราเผ้าผมของซู อู่ก็ขาวโพลนไปหมด

“จิตใจอยู่กับฮั่น ธงจิงเจี๋ยร่วงไม่ได้กลับ พบแต่ความลำบาก ใจเข้มแข็งดุจศิลา ฟังเสียงขลุ่ยยามราตรี เสียดแทงแก้วหู
เจ็บปวดที่หัวใจ”  เมื่อฮัมถึงตรงนี้ ฉันก็อดที่จะคิดถึงท่านเจี่ยง อินถางที่เป็นผู้แต่งบทเพลงดังกล่าวซึ่งเป็นทั้งนักเขียนพู่กัน
และนักการศึกษาผู้รักชาติยุคใกล้ (คศ.1912-1949) ของประเทศจีนไม่ได้ ระหว่างทศวรรษที่ 20-30 ในศตวรรษที่ผ่านมา
ท่านเจี่ยงรู้สึกเจ็บปวดหัวใจอย่างยิ่งที่เห็นประเทศชาติตกอยู่ในภาวะวิกฤต บ้านแตกสาแหรกขาด เต็มไปด้วยความโกรธแค้น
จึงได้แต่งบทเพลงนี้ขึ้นเพื่อปลุกระดมความศรัทธาของลูกหลานชาวจีนให้รักษาไว้ซึ่งความสามัคคี ร่วมกันกู้ชาติ ด้วยเป็น
เพลงซาบซึ้งใจคนอย่างมากจึงเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวาง  กล่าวกันว่า เมื่อเรื่อง “ซู อู่เลี้ยงแพะ” ได้เผยแพร่ออกไป ภายใน
เวลาเพียงไม่กี่ปี ก็มีผู้คนขับร้องกันทั่วแผ่นดินทั้งเหนือใต้ของแม่น้ำแยงซีเกียง อีกทั้งยังเป็นเพลงทหารที่ร้องกันใน
“กองทัพพันธมิตรต่อต้านญี่ปุ่นฉาสุย” (กองทัพพันธมิตรต่อต้านญี่ปุ่นของประชาชนฉาฮาเอ๋อ)  ทั้งเช้าและเย็นด้วย

ช่วงทำสงครามต่อต้านญี่ปุ่น แม่ทัพจี๋ หงชางเป็นผู้ต่อต้านการทำสงครามภายใน จึงนำกองทัพไปทำสงครามทั้งในและ
นอกกำแพงเมืองจีน เพื่อทำลายทหารญี่ปุ่นที่เข้ามาบุกรุก และสร้างกำลังใจให้กับชนชาติของตน  ในฐานะเป็นผู้บัญชาการทหารกองหน้า
ท่านชอบเพลงนี้มาก เมื่ออยู่ต่อหน้าศัตรู ท่านใช้ความซื่อสัตย์ของซู อู่ในการปลุกระดมทหารต่อสู้กับศัตรูอย่างกล้าหาญเพื่อ
ปกป้องประเทศ  ท่านแม่ทัพจี๋ หงชางไม่ได้เลือกเย่ เฟย ซึ่งเป็นแม่ทัพผู้ชำนาญการ สามารถนำทัพออกรบในสนามรบ หาก
แต่เลือกซู อู่ ผู้ที่ไม่เคยนำทัพปราบศัตรู และไม่เคยบุกเบิกดินแดนมาก่อน ทั้งนี้คงเป็นเพราะว่าท่านศรัทธาในตัวซู อู่ วีรชน
แห่งชนชาติที่ไม่ว่าตนจะอยู่ในสภาพยากลำบากเพียงใด ก็ไม่ละความเชื่อมั่นและความซื่อสัตย์  ยืนหยัดรักษาไว้ซึ่งความศรัทธา
ไม่ยอมจำนน พร้อมที่จะเสียสละเพื่อความยุติธรรม แบกรับภารกิจด้วยความอดทน  ตอนที่ซู อู่เดินทางไปจากราชวงศ์ฮั่นยังอยู่
ในวัยกลางคน แต่ตอนกลับมากลายเป็นผู้เฒ่าผมเผ้าหนวดเคราขาวโพลนเสียแล้ว

ที่ริมทะเลสาบไบคาล ซู อู่ไปเลี้ยงแพะอยู่ที่นั่นเป็นเวลานานถึง 19 ปี ช่วงเวลาดังกล่าว ฉาน ยวี๋ผู้ออกคำสั่งคุมขังตัวเขาได้
สวรรคตแล้ว ตอนที่เขาไปเป็นทูต เป็นรัชสมัยของพระเจ้าฮั่นอู่ตี้ พระองค์ก็สวรรคตแล้วเช่นเดียวกัน  หลังจากฮั่นเจาตี้ โอรส
ของฮั่นอู่ตี้ขึ้นครองราชย์ ทูตของราชวงศ์ฮั่นได้เดินทางไปซงหนู ฉาง ฮุ่ย ซึ่งเป็นผู้เดินทางไปเป็นทูตพร้อมกับซู อู่ในสมัยนั้น
ได้แอบเล่าสภาพชีวิตของซู อู่ให้กับทูตดังกล่าวฟัง  ด้วยเหตุนี้ ทางราชสำนักฮั่นจึงรู้ว่าซู อู่ยังมีชีวิตอยู่ โดยอ้างว่า ในขณะที่
ฮ่องเต้ราชวงศ์ฮั่นทรงยิงธนูอยู่ในอุทยานซ่างหลินหยวน ปรากฏว่าได้ยิงถูกห่านฟ้าตัวใหญ่เข้าตัวหนึ่ง บนขาห่านฟ้ามีจดหมาย
เขียนไว้บนผ้า มีข้อความบ่งบอกชัดเจนว่า ซู อู่ยังมีชีวิตอยู่แถบหนองน้ำทางทิศเหนือ จึงขอให้ฉาน ยวี๋ปล่อยตัวซู อู่  ด้วยเหตุ
นี้เอง ฉาน ยวี๋จึงจำใจต้องปล่อยตัวซู อู่พร้อมกับผู้ร่วมเดินทางรวม 9 คนกลับสู่ราชวงศ์ฮั่น  เรื่อง “ห่านฟ้าส่งข่าว” จึงแพร่กระจาย
กลายเป็นเรื่องเล่าลือชั่วนิรันดร์  และผู้คนต่างใช้ห่านฟ้าอุปมาว่าเป็นจดหมายหรือผู้ส่งข่าวนับแต่นั้นมา


................................................................................................................................................................

เรื่อง “ซู อู่เลี้ยงแพะ” ได้รับการเล่าลือสืบทอดกันตลอดมามิเสื่อมคลาย และมีคุณค่ามากยิ่งขึ้น
จนได้กลายเป็นคำที่มีความหมายเช่นเดียวกับความภาคภูมิใจของชนชาติ เตือนให้บุตรหลานพระเจ้าเหยียน-หวง
ซึ่งเป็นชาวจีนทั้งหลาย จงดำรงชีวิตเพื่อชนชาติและพัฒนาต่อสู้ด้วยความกล้าหาญตลอดไป

http://www.cim.chinesecio.com/hbcms/f/article/info?id=4eaa3fd7c722467eb5bfbd3e661b9b1c


คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่