กระทู้นี้เปิดมาเลยว่า ท่าจะดราม่าแน่นอน ก็ขอเชิญแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันให้อึกทึกครึกโครมเต็มที่ไม่มียั้งกันเลยนะคะ

กระทู้ที่ท่วมห้องชานเรือน บางรัก ที่เจอกันบ่อย ๆ คือ กระทู้ประเภท
“มีไหม คนที่มองที่หัวใจ นิสัย ไม่มองหน้าตา ไม่มองฐานะ”
“ยังมีผู้หญิงดี ๆ ที่ไม่จ้องจะหาแต่แฟนรวย ๆ ไหมครับ”
“เราจบแค่ ม.6 แต่เค้าจบ ... จะคบกันได้ไหม”
ก็ถามกันมาในโทน dark บ้าง โทน bright บ้าง ก็ว่ากันไปตามสถานการณ์และประสบการณ์ที่แต่ละคนเจอมา
โดยปกติ เรามีพื้นนิสัย มองโลกในแง่ดี และโลกสวยเป็นทุนเดิมนะคะ ถ้าถามเราว่า คนที่ต่างกันมากทั้งฐานะ การศึกษา และพื้นหลังสามารถลงเอยกันได้ไหม
เราสามารถตอบออกมาจากก้นบึ้งหัวใจได้อย่างมั่นใจเลยค่ะว่า “ได้ค่ะคุณน้อง ... เชื่อมั่นในศักยภาพของตัวเอง”

และเราก็เชื่อแบบนั้นจริง ๆ นะคะ แต่ ... ขอเขียนคำว่า "แต่" ตัวโต ๆ
แต่คุณน้องคะ
พี่ขอบอกว่า มันท้าทาย มันยาก และมีขวากหนามอะไรหลายอย่างให้ต้องก้าวข้าม... ซึ่งแต่ละคนที่มีปัญหาประเด็นพวกนี้ มักเหนื่อยใจ ท้อใจ เกินกว่าที่จะก้าวข้ามและได้แต่หวังในใจเงียบ ๆ ว่า จะมีโลกสวยงามของเราสองคน ที่คนนอกจะไม่เข้ามา และไม่มีสิทธิมายุ่งเกี่ยวหรือมีอิทธิพลอะไรเลย
ขอเล่าตัวอย่างของความเหนื่อยยาก และกำแพงอุปสรรคที่ต้องฝ่ากันไปให้พ้นให้ฟังนะคะ ถือเป็นเช็คลิสต์เล่น ๆ ไว้ให้ลองพิจารณาว่า คุณพร้อมจะก้าวข้ามความท้าทายเหล่านี้หรือไม่
- ฐานะต่างกันมาก ทำให้บางครั้งเกิดการ “ไม่สนิทใจ” กันในหลาย ๆ เรื่อง บางครั้ง ฝ่ายคนที่ฐานะดีกว่า ก็อาจระแวงคิดมากว่า อีกฝ่ายจะมาปอกลอก หรือ บางครั้ง คนที่ฐานด้อยกว่า ก็เกิดปมด้อยว่าอีกฝ่ายอาจจะดูถูก บางครั้ง คุณอาจไม่คิด แต่คุณจะมีญาติพี่น้องมาช่วยคิดแทนให้ และนินทา หรือ ออกความเห็นบนเหตุผลของความ “หวังดี”
- พื้นหลังต่างกันมาก ทำให้ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตต่างกัน บางที อาจจะไม่ใช่เรื่องเงิน แต่เป็นเรื่องการใช้ชีวิต และการ “ยอมจ่าย” กับค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง
รุ่นน้องเราซึ่งเป็นลูกข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่เกษียณไปแล้ว แต่งงานไปกับรุ่นพี่หนุ่มที่พื้นเพทางบ้านธรรมดามาก ๆ เป็นห้องแถวขายยาในตลาด น้องบอกว่า บ้านรุ่นพี่น่าจะมีเงินสดมากกว่าบ้านตัวเองเยอะนัก แต่ไลฟ์สไตล์ไม่เหมือนกันเลย คือ ที่บ้านเค้าก็ยังอยู่ห้องแถวในตลาด ในขณะที่น้องไม่คุ้นชินกับสภาพความเป็นอยู่แบบนั้น คือ ไม่ได้รังเกียจหรือดูถูกนะคะ แต่ถ้าเลือกได้ ขอไม่อยู่ เพราะคงอยู่ไม่ได้ โชคดีที่ทั้งคู่ได้ทำงานแบบต้องประจำต่างประเทศ ปัญหาเรื่องนี้จึงเบาบางไป
บ้านคนจีนที่เราเห็นบางบ้าน เงินเก็บสมบัติน่าจะมีสักเก้าหลักกว่า แต่ก็ยังประหยัดสุดขีดในบางเรื่อง เช่น ใส่เสื้อแถม เสื้อผ้าซ่อมแล้วซ่อมอีก

เวลาไปไหน ไม่ยอมนั่งเครื่องบิน ขับรถกันไปเองตลอด ไม่ปรับปรุงบ้านให้สะดวก สะอาดและน่าอยู่ขึ้นเลย แต่เรื่องกินเหลา กินโต๊ะแชร์ พักโรงแรมดี ๆ ถึงไหนถึงกันทริปในประเทศจ่ายกันเป็นแสนก็ไม่เกี่ยง
บางบ้าน ให้ความสำคัญกับหน้าตา เพราะพื้นเพของการเป็นคน มี หรือ เคยมี “ตำแหน่ง” ทำให้ต้องใช้จ่ายเงินไปในอีกแบบ เพราะมีภาษีสังคมของการรักษาหน้าตาสูง และมาเขียมสุดฤทธิ์กับการกินอยู่บางอย่างภายในบ้าน

ความต่างกันมากแบบนี้ ทำให้ต้องใจกว้าง และใช้ความเข้าใจในการปรับตัวเข้าหากันอย่างสูง
- พื้นฐานความรู้ต่างกันมาก พื้นเพด้านการศึกษาต่างกันมาก บางครั้ง อาจทำให้มีปัญหาในการใช้ชีวิตและการสื่อสาร เราเคยเห็นเด็กอินเตอร์หรือเด็กนอกจำนวนมาก บางที ก็พูดจากันเองหรือส่งข้อความถึงกันเป็นภาษาอังกฤษ ไม่ใช่เพราะอยาก show off หรือ กระแดะ แต่บางครั้งอาจเป็นความเคยชิน ก็อารมณ์เดียวกับที่บางที เราก็อยากพูดภาษาถิ่นบ้างนั่นแหละ
ยังดีที่ยี่สิบปีหลังมานี้ อินเตอร์เน็ตมีบทบาทในชีวิตคนเรามากขึ้น ทำให้การซึมซับเรียนรู้ต่าง ๆ สามารถทำได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น และสามารถลดช่องว่างตรงนี้ลง แต่เราเองก็ยังเห็นว่า พื้นฐานความรู้ที่ต่างกันจนเกินไป บางทีจะทำให้พูดจากันได้ไม่ค่อยรู้เรื่อง
ทั้งหมดที่เขียนมานี้ ไม่มีเจตนาหรือตั้งใจที่จะหมิ่นหยาม ไม่ได้จะตั้งกำแพง หรือ ไม่ได้จะมาชีดเส้นแบ่งอะไรเลย เพียงแต่อยากชี้ให้เห็นและให้กระจ่างว่า ทำไมความแตกต่างถึงอาจก่อให้เกิดปัญหาได้
ผู้ชายจนหรืออาจไม่ถึงกับจน แต่บังเอิญแต่งไปได้ผู้หญิงรวย บางทีก็อึดอัดกับสายตาของเครือญาติผู้หญิง ทำตัวเหลวไหลไปบ้าง ก็จะโดนดูถูกซ้ำในทำนองว่า “ได้ดอกฟ้าแล้วยังไม่รู้จักรักษา” ไปโน่นอีก ... ทำให้ผู้ชายบางคนก็เครียดและรู้สึกถูกหมิ่นศักดิ์ศรีจนบางทีอยากจะวางดอกฟ้าลงเสียให้รู้แล้วรู้รอด
หรือ ผู้หญิงบางคน แต่งไปอยู่กับผู้ชายรวย บางทีก็อึดอัดเพราะกลัวโดนหาว่ามาเกาะ หรือบางที ครอบครัวฝ่ายที่รวยกว่า ก็ไม่ได้จะอะไรเล้ย ... แต่ฝ่ายจนกว่า กลับรู้สึกอึดอัดและเหมือนจะมี “ปมด้อยในใจ” ไปเอง ก็ทำให้ครอบครัวไม่ราบรื่นอีก
บางครั้งฝ่ายรวยก็ไม่มีเจตนาที่จะดูถูกหรืออะไรหรอก แต่มันเป็นความเคยชินและไลฟ์สไตล์ของเค้าที่จะใช้ชีวิตแบบนั้น

เช่น ที่บ้านมีแต่รถตราดาว ใส่นาฬิกาตรามงกุฎ เข็มขัดเป็นรูปตัว H ตัวโต ๆ หรือชินที่จะถือกระเป๋าใบละห้าหกหลัก เค้าก็อาจจะพูดถึงของพวกนี้เหมือนของสามัญที่ใช้ปกติทั่วไป แต่ฝ่ายที่จนกว่า อาจจะรู้สึกอึดอัด หรือบางครั้งอาจจะพูดออกไป (ซื่อ ๆ ) ตามที่ใจคิดโดยที่สมองยังไม่ทันคิดให้รอบด้านว่า “โห... เอาไปทำบุญดีกว่า เอาไปซื้อหุ้นดีกว่า เอาไป นู่น นี่ นั่น ดีกว่า “ ถามว่าฝ่ายไหนผิดคะ
ไม่มีฝ่ายไหนผิดเลยค่ะ แค่พื้นเพ ภูมิหลังต่างกัน การใชัชีวิต การเลือกของ การตั้งคำถาม ก็ต่างกันไปด้วย นี่แหละค่ะ คือความท้าทายของการต้องมาใช้ชีวิตร่วมกัน
ต้องพยายามเปิดใจ ใจกว้าง และเข้าใจให้มาก มาก มาก มันเหนื่อยก็ตรงนี้ล่ะค่ะ
สมัยเรายังอายุน้อย ๆ เราเคยนึกหงุดหงิดเพื่อนคนหนึ่งมาก พื้นหลังของเรา คือ เราเป็นคนที่ฐานะด้อยที่สุดในกลุ่มนะคะ
เพื่อนเราบางคนมีกิจการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซื้อขายลงทุนกันทีคิดเป็นเลข 9 หลัก 10 หลัก บางคนที่บ้านจ่ายดอกเบี้ยปีละ 60 ล้าน บางคนมีที่ทางอยู่ต่างจังหวัดมีโฉนดชนิดที่เรียกได้ว่าเป็นหีบ
พวกเราคบกันโดยไม่เคยมองกันถึงฐานะเลย เราเรียนดี เขียนรายงานเก่ง เราก็ช่วยเพื่อนทำรายงานเกือบทุกวิชา (แม้จะเป็นวิชาที่เราไม่ได้เรียน) เพื่อนก็ขับรถมารับเราที่หอหญิง ซึ่งไม่มีแอร์
ปกติ เราไปไหนมาไหนโดยรถเมล์และสองแถว
แต่ก็ยังมีบางสิ่งที่เราอดหงุดหงิดกับเพื่อนมหาเศรษฐีบางคนไม่ได้คือ คอมเมนต์ประเภท
“โห...ตอนนี้ แกก็มีรถแล้ว มีมือถือแล้ว ชีวิตแกก็ครบสมบูรณ์แล้ว” (อิชั้นเลยตอบไปว่า ชีวิตอิชั้นสมบูรณ์ตั้งแต่โหนรถเมล์ ไม่มีมือถือ แล้วก็ไม่มีอะไรเลยแล้ว)
นี่คือ เหตุการณ์เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ตอนพวกเราจบออกมาทำงานใหม่ ๆ แล้วเราได้รถบริษัทมาใช้ และเริ่มซื้อมือถือ
หรือคำถามประเภท
“เฮ้ย...นาฬิกานี่ของจริงหรือก๊อปวะ” (เราตอบไปว่า ไม่รู้ เพราะได้เป็นของขวัญ และโดยนิสัย เราไม่ชอบใช้ของปลอม ไม่มีเงินคือไม่ใช้ ไม่ถือ หรือใช้ของไม่มียี่ห้อ)
“อันนั่นเท่าไร นี่เท่าไร”
คือ อะไร ๆ มันก็ถามราคาจนเรารำคาญ และปวดหัวกับมันว่า จะอะไรกันนักกันหนาวะ
ถ้าไม่ได้เห็นว่าคบกันมานานจนรู้ว่าเพื่อนนิสัยดีและไม่ใช่คนดูถูกคนแล้วล่ะก็ เราคงว้ากเพ้ยไปแล้ว รำคาญมาก ถามอยู่ได้นั่นเท่าไร นี่เท่าไร อ้าว... ชั้นจบมาแล้ว ก็ทำมาหากิน เก็บตังค์ซื้อมั่งไม่ได้รึไง
จนเราบ่นเรื่องนี้ให้สามีเราฟัง สามีเรากลับหัวเราะและสอนเราว่า
“ต้องเข้าใจว่าบ้าน xxx (เพื่อนเราคนนั้น) เค้าทำธุรกิจใหญ่ เพราะงั้น ใจเค้าก็ผูกกับเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ตลอดเวลา ก็ไม่แปลกหรอกว่า เค้าจะสนใจมูลค่าเป็นหลัก ก็เหมือนกับพี่ XXX (พี่ชายสามี) ขานั้น เค้าชอบเข้าวัด เวลาเค้าอธิบายทางให้ใครว่าจะไปไหน เค้าก็จะเอาวัดเป็น landmark ว่า จะไปนี่ ต้องมาทางนี้ ผ่านวัดนี้ เลี้ยวซ้ายจะเจอวัด *** แล้วถึงจะถึงที่นะ”
พอฟังแบบนี้แล้ว เราคิดตาม และนึกถึงแววตาแป๋วแหววของเพื่อนที่ถามธรรมดา ๆ เรียบ ๆ เราก็เห็นด้วยกับที่สามีพูด เออ... ก็จริงแฮะ ...
ยกตัวอย่างมายืดยาวก็เพื่อจะบอกว่า บางทีความแตกต่างที่พูดถึง ทั้งด้านฐานะ พื้นเพ ความรู้ อาจจะด้านหน้าตาด้วยอีกอย่างเอ้า มันทำให้เกิดปัญหาอย่างไรบ้าง นี่ขนาดเป็นเพื่อนนะ ถ้าเป็นแฟนมันจะอ่อนไหวกว่านี้อีกกี่เท่าตัวก็ไม่รู้
เป็นเพียงตัวอย่างจิ๊บ ๆ ที่อยากยกมาชี้ให้เห็นและตอบคำถามที่มักมีคนขอความเห็นกันบ่อย ๆ ว่า ดีหรือไม่ดี ที่จะแต่งกับคนที่รวยกว่ามาก ๆ พื้นเพต่างกันมาก ๆ ความรู้ต่างกันมาก ๆ หรือ กระทั่งหน้าตาต่างกันมาก ๆ ด้วย
รอท่านอื่นมาแชร์ คงต่อยอดไปได้อีกหลายตัวอย่าง และหลายสถานการณ์
คบกันไม่ดูฐานะ ไม่ดูหน้าตา ไม่ดูการศึกษา จะได้ไหม ?
กระทู้ที่ท่วมห้องชานเรือน บางรัก ที่เจอกันบ่อย ๆ คือ กระทู้ประเภท
“มีไหม คนที่มองที่หัวใจ นิสัย ไม่มองหน้าตา ไม่มองฐานะ”
“ยังมีผู้หญิงดี ๆ ที่ไม่จ้องจะหาแต่แฟนรวย ๆ ไหมครับ”
“เราจบแค่ ม.6 แต่เค้าจบ ... จะคบกันได้ไหม”
ก็ถามกันมาในโทน dark บ้าง โทน bright บ้าง ก็ว่ากันไปตามสถานการณ์และประสบการณ์ที่แต่ละคนเจอมา
โดยปกติ เรามีพื้นนิสัย มองโลกในแง่ดี และโลกสวยเป็นทุนเดิมนะคะ ถ้าถามเราว่า คนที่ต่างกันมากทั้งฐานะ การศึกษา และพื้นหลังสามารถลงเอยกันได้ไหม
เราสามารถตอบออกมาจากก้นบึ้งหัวใจได้อย่างมั่นใจเลยค่ะว่า “ได้ค่ะคุณน้อง ... เชื่อมั่นในศักยภาพของตัวเอง”
และเราก็เชื่อแบบนั้นจริง ๆ นะคะ แต่ ... ขอเขียนคำว่า "แต่" ตัวโต ๆ
แต่คุณน้องคะ
พี่ขอบอกว่า มันท้าทาย มันยาก และมีขวากหนามอะไรหลายอย่างให้ต้องก้าวข้าม... ซึ่งแต่ละคนที่มีปัญหาประเด็นพวกนี้ มักเหนื่อยใจ ท้อใจ เกินกว่าที่จะก้าวข้ามและได้แต่หวังในใจเงียบ ๆ ว่า จะมีโลกสวยงามของเราสองคน ที่คนนอกจะไม่เข้ามา และไม่มีสิทธิมายุ่งเกี่ยวหรือมีอิทธิพลอะไรเลย
ขอเล่าตัวอย่างของความเหนื่อยยาก และกำแพงอุปสรรคที่ต้องฝ่ากันไปให้พ้นให้ฟังนะคะ ถือเป็นเช็คลิสต์เล่น ๆ ไว้ให้ลองพิจารณาว่า คุณพร้อมจะก้าวข้ามความท้าทายเหล่านี้หรือไม่
- ฐานะต่างกันมาก ทำให้บางครั้งเกิดการ “ไม่สนิทใจ” กันในหลาย ๆ เรื่อง บางครั้ง ฝ่ายคนที่ฐานะดีกว่า ก็อาจระแวงคิดมากว่า อีกฝ่ายจะมาปอกลอก หรือ บางครั้ง คนที่ฐานด้อยกว่า ก็เกิดปมด้อยว่าอีกฝ่ายอาจจะดูถูก บางครั้ง คุณอาจไม่คิด แต่คุณจะมีญาติพี่น้องมาช่วยคิดแทนให้ และนินทา หรือ ออกความเห็นบนเหตุผลของความ “หวังดี”
- พื้นหลังต่างกันมาก ทำให้ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตต่างกัน บางที อาจจะไม่ใช่เรื่องเงิน แต่เป็นเรื่องการใช้ชีวิต และการ “ยอมจ่าย” กับค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง
รุ่นน้องเราซึ่งเป็นลูกข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่เกษียณไปแล้ว แต่งงานไปกับรุ่นพี่หนุ่มที่พื้นเพทางบ้านธรรมดามาก ๆ เป็นห้องแถวขายยาในตลาด น้องบอกว่า บ้านรุ่นพี่น่าจะมีเงินสดมากกว่าบ้านตัวเองเยอะนัก แต่ไลฟ์สไตล์ไม่เหมือนกันเลย คือ ที่บ้านเค้าก็ยังอยู่ห้องแถวในตลาด ในขณะที่น้องไม่คุ้นชินกับสภาพความเป็นอยู่แบบนั้น คือ ไม่ได้รังเกียจหรือดูถูกนะคะ แต่ถ้าเลือกได้ ขอไม่อยู่ เพราะคงอยู่ไม่ได้ โชคดีที่ทั้งคู่ได้ทำงานแบบต้องประจำต่างประเทศ ปัญหาเรื่องนี้จึงเบาบางไป
บ้านคนจีนที่เราเห็นบางบ้าน เงินเก็บสมบัติน่าจะมีสักเก้าหลักกว่า แต่ก็ยังประหยัดสุดขีดในบางเรื่อง เช่น ใส่เสื้อแถม เสื้อผ้าซ่อมแล้วซ่อมอีก
บางบ้าน ให้ความสำคัญกับหน้าตา เพราะพื้นเพของการเป็นคน มี หรือ เคยมี “ตำแหน่ง” ทำให้ต้องใช้จ่ายเงินไปในอีกแบบ เพราะมีภาษีสังคมของการรักษาหน้าตาสูง และมาเขียมสุดฤทธิ์กับการกินอยู่บางอย่างภายในบ้าน
ความต่างกันมากแบบนี้ ทำให้ต้องใจกว้าง และใช้ความเข้าใจในการปรับตัวเข้าหากันอย่างสูง
- พื้นฐานความรู้ต่างกันมาก พื้นเพด้านการศึกษาต่างกันมาก บางครั้ง อาจทำให้มีปัญหาในการใช้ชีวิตและการสื่อสาร เราเคยเห็นเด็กอินเตอร์หรือเด็กนอกจำนวนมาก บางที ก็พูดจากันเองหรือส่งข้อความถึงกันเป็นภาษาอังกฤษ ไม่ใช่เพราะอยาก show off หรือ กระแดะ แต่บางครั้งอาจเป็นความเคยชิน ก็อารมณ์เดียวกับที่บางที เราก็อยากพูดภาษาถิ่นบ้างนั่นแหละ
ยังดีที่ยี่สิบปีหลังมานี้ อินเตอร์เน็ตมีบทบาทในชีวิตคนเรามากขึ้น ทำให้การซึมซับเรียนรู้ต่าง ๆ สามารถทำได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น และสามารถลดช่องว่างตรงนี้ลง แต่เราเองก็ยังเห็นว่า พื้นฐานความรู้ที่ต่างกันจนเกินไป บางทีจะทำให้พูดจากันได้ไม่ค่อยรู้เรื่อง
ทั้งหมดที่เขียนมานี้ ไม่มีเจตนาหรือตั้งใจที่จะหมิ่นหยาม ไม่ได้จะตั้งกำแพง หรือ ไม่ได้จะมาชีดเส้นแบ่งอะไรเลย เพียงแต่อยากชี้ให้เห็นและให้กระจ่างว่า ทำไมความแตกต่างถึงอาจก่อให้เกิดปัญหาได้
ผู้ชายจนหรืออาจไม่ถึงกับจน แต่บังเอิญแต่งไปได้ผู้หญิงรวย บางทีก็อึดอัดกับสายตาของเครือญาติผู้หญิง ทำตัวเหลวไหลไปบ้าง ก็จะโดนดูถูกซ้ำในทำนองว่า “ได้ดอกฟ้าแล้วยังไม่รู้จักรักษา” ไปโน่นอีก ... ทำให้ผู้ชายบางคนก็เครียดและรู้สึกถูกหมิ่นศักดิ์ศรีจนบางทีอยากจะวางดอกฟ้าลงเสียให้รู้แล้วรู้รอด
หรือ ผู้หญิงบางคน แต่งไปอยู่กับผู้ชายรวย บางทีก็อึดอัดเพราะกลัวโดนหาว่ามาเกาะ หรือบางที ครอบครัวฝ่ายที่รวยกว่า ก็ไม่ได้จะอะไรเล้ย ... แต่ฝ่ายจนกว่า กลับรู้สึกอึดอัดและเหมือนจะมี “ปมด้อยในใจ” ไปเอง ก็ทำให้ครอบครัวไม่ราบรื่นอีก
บางครั้งฝ่ายรวยก็ไม่มีเจตนาที่จะดูถูกหรืออะไรหรอก แต่มันเป็นความเคยชินและไลฟ์สไตล์ของเค้าที่จะใช้ชีวิตแบบนั้น
เช่น ที่บ้านมีแต่รถตราดาว ใส่นาฬิกาตรามงกุฎ เข็มขัดเป็นรูปตัว H ตัวโต ๆ หรือชินที่จะถือกระเป๋าใบละห้าหกหลัก เค้าก็อาจจะพูดถึงของพวกนี้เหมือนของสามัญที่ใช้ปกติทั่วไป แต่ฝ่ายที่จนกว่า อาจจะรู้สึกอึดอัด หรือบางครั้งอาจจะพูดออกไป (ซื่อ ๆ ) ตามที่ใจคิดโดยที่สมองยังไม่ทันคิดให้รอบด้านว่า “โห... เอาไปทำบุญดีกว่า เอาไปซื้อหุ้นดีกว่า เอาไป นู่น นี่ นั่น ดีกว่า “ ถามว่าฝ่ายไหนผิดคะ
ไม่มีฝ่ายไหนผิดเลยค่ะ แค่พื้นเพ ภูมิหลังต่างกัน การใชัชีวิต การเลือกของ การตั้งคำถาม ก็ต่างกันไปด้วย นี่แหละค่ะ คือความท้าทายของการต้องมาใช้ชีวิตร่วมกัน
ต้องพยายามเปิดใจ ใจกว้าง และเข้าใจให้มาก มาก มาก มันเหนื่อยก็ตรงนี้ล่ะค่ะ
สมัยเรายังอายุน้อย ๆ เราเคยนึกหงุดหงิดเพื่อนคนหนึ่งมาก พื้นหลังของเรา คือ เราเป็นคนที่ฐานะด้อยที่สุดในกลุ่มนะคะ
เพื่อนเราบางคนมีกิจการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซื้อขายลงทุนกันทีคิดเป็นเลข 9 หลัก 10 หลัก บางคนที่บ้านจ่ายดอกเบี้ยปีละ 60 ล้าน บางคนมีที่ทางอยู่ต่างจังหวัดมีโฉนดชนิดที่เรียกได้ว่าเป็นหีบ
พวกเราคบกันโดยไม่เคยมองกันถึงฐานะเลย เราเรียนดี เขียนรายงานเก่ง เราก็ช่วยเพื่อนทำรายงานเกือบทุกวิชา (แม้จะเป็นวิชาที่เราไม่ได้เรียน) เพื่อนก็ขับรถมารับเราที่หอหญิง ซึ่งไม่มีแอร์
ปกติ เราไปไหนมาไหนโดยรถเมล์และสองแถว
แต่ก็ยังมีบางสิ่งที่เราอดหงุดหงิดกับเพื่อนมหาเศรษฐีบางคนไม่ได้คือ คอมเมนต์ประเภท
“โห...ตอนนี้ แกก็มีรถแล้ว มีมือถือแล้ว ชีวิตแกก็ครบสมบูรณ์แล้ว” (อิชั้นเลยตอบไปว่า ชีวิตอิชั้นสมบูรณ์ตั้งแต่โหนรถเมล์ ไม่มีมือถือ แล้วก็ไม่มีอะไรเลยแล้ว)
นี่คือ เหตุการณ์เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ตอนพวกเราจบออกมาทำงานใหม่ ๆ แล้วเราได้รถบริษัทมาใช้ และเริ่มซื้อมือถือ
หรือคำถามประเภท
“เฮ้ย...นาฬิกานี่ของจริงหรือก๊อปวะ” (เราตอบไปว่า ไม่รู้ เพราะได้เป็นของขวัญ และโดยนิสัย เราไม่ชอบใช้ของปลอม ไม่มีเงินคือไม่ใช้ ไม่ถือ หรือใช้ของไม่มียี่ห้อ)
“อันนั่นเท่าไร นี่เท่าไร”
คือ อะไร ๆ มันก็ถามราคาจนเรารำคาญ และปวดหัวกับมันว่า จะอะไรกันนักกันหนาวะ
ถ้าไม่ได้เห็นว่าคบกันมานานจนรู้ว่าเพื่อนนิสัยดีและไม่ใช่คนดูถูกคนแล้วล่ะก็ เราคงว้ากเพ้ยไปแล้ว รำคาญมาก ถามอยู่ได้นั่นเท่าไร นี่เท่าไร อ้าว... ชั้นจบมาแล้ว ก็ทำมาหากิน เก็บตังค์ซื้อมั่งไม่ได้รึไง
จนเราบ่นเรื่องนี้ให้สามีเราฟัง สามีเรากลับหัวเราะและสอนเราว่า
“ต้องเข้าใจว่าบ้าน xxx (เพื่อนเราคนนั้น) เค้าทำธุรกิจใหญ่ เพราะงั้น ใจเค้าก็ผูกกับเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ตลอดเวลา ก็ไม่แปลกหรอกว่า เค้าจะสนใจมูลค่าเป็นหลัก ก็เหมือนกับพี่ XXX (พี่ชายสามี) ขานั้น เค้าชอบเข้าวัด เวลาเค้าอธิบายทางให้ใครว่าจะไปไหน เค้าก็จะเอาวัดเป็น landmark ว่า จะไปนี่ ต้องมาทางนี้ ผ่านวัดนี้ เลี้ยวซ้ายจะเจอวัด *** แล้วถึงจะถึงที่นะ”
พอฟังแบบนี้แล้ว เราคิดตาม และนึกถึงแววตาแป๋วแหววของเพื่อนที่ถามธรรมดา ๆ เรียบ ๆ เราก็เห็นด้วยกับที่สามีพูด เออ... ก็จริงแฮะ ...
ยกตัวอย่างมายืดยาวก็เพื่อจะบอกว่า บางทีความแตกต่างที่พูดถึง ทั้งด้านฐานะ พื้นเพ ความรู้ อาจจะด้านหน้าตาด้วยอีกอย่างเอ้า มันทำให้เกิดปัญหาอย่างไรบ้าง นี่ขนาดเป็นเพื่อนนะ ถ้าเป็นแฟนมันจะอ่อนไหวกว่านี้อีกกี่เท่าตัวก็ไม่รู้
เป็นเพียงตัวอย่างจิ๊บ ๆ ที่อยากยกมาชี้ให้เห็นและตอบคำถามที่มักมีคนขอความเห็นกันบ่อย ๆ ว่า ดีหรือไม่ดี ที่จะแต่งกับคนที่รวยกว่ามาก ๆ พื้นเพต่างกันมาก ๆ ความรู้ต่างกันมาก ๆ หรือ กระทั่งหน้าตาต่างกันมาก ๆ ด้วย
รอท่านอื่นมาแชร์ คงต่อยอดไปได้อีกหลายตัวอย่าง และหลายสถานการณ์