คบกันไม่ดูฐานะ ไม่ดูหน้าตา ไม่ดูการศึกษา จะได้ไหม ?

กระทู้นี้เปิดมาเลยว่า ท่าจะดราม่าแน่นอน  ก็ขอเชิญแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันให้อึกทึกครึกโครมเต็มที่ไม่มียั้งกันเลยนะคะ
เพี้ยนต้มน้ำรอเพี้ยนกินมาม่า

    กระทู้ที่ท่วมห้องชานเรือน บางรัก ที่เจอกันบ่อย ๆ คือ กระทู้ประเภท
    “มีไหม คนที่มองที่หัวใจ นิสัย ไม่มองหน้าตา ไม่มองฐานะ”
    “ยังมีผู้หญิงดี ๆ ที่ไม่จ้องจะหาแต่แฟนรวย ๆ ไหมครับ”
    “เราจบแค่ ม.6 แต่เค้าจบ ... จะคบกันได้ไหม”

    ก็ถามกันมาในโทน dark บ้าง  โทน bright บ้าง ก็ว่ากันไปตามสถานการณ์และประสบการณ์ที่แต่ละคนเจอมา


    โดยปกติ เรามีพื้นนิสัย มองโลกในแง่ดี และโลกสวยเป็นทุนเดิมนะคะ ถ้าถามเราว่า คนที่ต่างกันมากทั้งฐานะ การศึกษา และพื้นหลังสามารถลงเอยกันได้ไหม    อมยิ้ม19

        เราสามารถตอบออกมาจากก้นบึ้งหัวใจได้อย่างมั่นใจเลยค่ะว่า   “ได้ค่ะคุณน้อง ... เชื่อมั่นในศักยภาพของตัวเอง”

อมยิ้ม36เพี้ยนสู้สู้

    และเราก็เชื่อแบบนั้นจริง ๆ นะคะ   แต่ ... ขอเขียนคำว่า "แต่" ตัวโต ๆ
แต่คุณน้องคะ  

      พี่ขอบอกว่า มันท้าทาย มันยาก  และมีขวากหนามอะไรหลายอย่างให้ต้องก้าวข้าม... ซึ่งแต่ละคนที่มีปัญหาประเด็นพวกนี้ มักเหนื่อยใจ ท้อใจ เกินกว่าที่จะก้าวข้ามและได้แต่หวังในใจเงียบ ๆ ว่า จะมีโลกสวยงามของเราสองคน ที่คนนอกจะไม่เข้ามา และไม่มีสิทธิมายุ่งเกี่ยวหรือมีอิทธิพลอะไรเลย

    ขอเล่าตัวอย่างของความเหนื่อยยาก และกำแพงอุปสรรคที่ต้องฝ่ากันไปให้พ้นให้ฟังนะคะ ถือเป็นเช็คลิสต์เล่น ๆ ไว้ให้ลองพิจารณาว่า คุณพร้อมจะก้าวข้ามความท้าทายเหล่านี้หรือไม่

       -    ฐานะต่างกันมาก ทำให้บางครั้งเกิดการ “ไม่สนิทใจ” กันในหลาย ๆ เรื่อง บางครั้ง ฝ่ายคนที่ฐานะดีกว่า ก็อาจระแวงคิดมากว่า อีกฝ่ายจะมาปอกลอก หรือ บางครั้ง คนที่ฐานด้อยกว่า ก็เกิดปมด้อยว่าอีกฝ่ายอาจจะดูถูก บางครั้ง คุณอาจไม่คิด แต่คุณจะมีญาติพี่น้องมาช่วยคิดแทนให้ และนินทา หรือ ออกความเห็นบนเหตุผลของความ “หวังดี”


       -    พื้นหลังต่างกันมาก ทำให้ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตต่างกัน บางที อาจจะไม่ใช่เรื่องเงิน แต่เป็นเรื่องการใช้ชีวิต และการ “ยอมจ่าย” กับค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง

                รุ่นน้องเราซึ่งเป็นลูกข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่เกษียณไปแล้ว แต่งงานไปกับรุ่นพี่หนุ่มที่พื้นเพทางบ้านธรรมดามาก ๆ เป็นห้องแถวขายยาในตลาด น้องบอกว่า บ้านรุ่นพี่น่าจะมีเงินสดมากกว่าบ้านตัวเองเยอะนัก แต่ไลฟ์สไตล์ไม่เหมือนกันเลย คือ ที่บ้านเค้าก็ยังอยู่ห้องแถวในตลาด ในขณะที่น้องไม่คุ้นชินกับสภาพความเป็นอยู่แบบนั้น คือ ไม่ได้รังเกียจหรือดูถูกนะคะ  แต่ถ้าเลือกได้ ขอไม่อยู่ เพราะคงอยู่ไม่ได้  โชคดีที่ทั้งคู่ได้ทำงานแบบต้องประจำต่างประเทศ ปัญหาเรื่องนี้จึงเบาบางไป


           บ้านคนจีนที่เราเห็นบางบ้าน   เงินเก็บสมบัติน่าจะมีสักเก้าหลักกว่า  แต่ก็ยังประหยัดสุดขีดในบางเรื่อง เช่น ใส่เสื้อแถม  เสื้อผ้าซ่อมแล้วซ่อมอีก  เม่าตกอับ เวลาไปไหน ไม่ยอมนั่งเครื่องบิน ขับรถกันไปเองตลอด  ไม่ปรับปรุงบ้านให้สะดวก สะอาดและน่าอยู่ขึ้นเลย   แต่เรื่องกินเหลา กินโต๊ะแชร์ พักโรงแรมดี ๆ ถึงไหนถึงกันทริปในประเทศจ่ายกันเป็นแสนก็ไม่เกี่ยง


    บางบ้าน ให้ความสำคัญกับหน้าตา เพราะพื้นเพของการเป็นคน มี หรือ เคยมี “ตำแหน่ง” ทำให้ต้องใช้จ่ายเงินไปในอีกแบบ เพราะมีภาษีสังคมของการรักษาหน้าตาสูง   และมาเขียมสุดฤทธิ์กับการกินอยู่บางอย่างภายในบ้าน เม่าเหม่อเม่าออม

    ความต่างกันมากแบบนี้ ทำให้ต้องใจกว้าง และใช้ความเข้าใจในการปรับตัวเข้าหากันอย่างสูง


       -    พื้นฐานความรู้ต่างกันมาก พื้นเพด้านการศึกษาต่างกันมาก บางครั้ง อาจทำให้มีปัญหาในการใช้ชีวิตและการสื่อสาร เราเคยเห็นเด็กอินเตอร์หรือเด็กนอกจำนวนมาก บางที ก็พูดจากันเองหรือส่งข้อความถึงกันเป็นภาษาอังกฤษ  ไม่ใช่เพราะอยาก show off หรือ กระแดะ แต่บางครั้งอาจเป็นความเคยชิน  ก็อารมณ์เดียวกับที่บางที เราก็อยากพูดภาษาถิ่นบ้างนั่นแหละ

    ยังดีที่ยี่สิบปีหลังมานี้ อินเตอร์เน็ตมีบทบาทในชีวิตคนเรามากขึ้น ทำให้การซึมซับเรียนรู้ต่าง ๆ สามารถทำได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น และสามารถลดช่องว่างตรงนี้ลง  แต่เราเองก็ยังเห็นว่า พื้นฐานความรู้ที่ต่างกันจนเกินไป บางทีจะทำให้พูดจากันได้ไม่ค่อยรู้เรื่อง


    ทั้งหมดที่เขียนมานี้ ไม่มีเจตนาหรือตั้งใจที่จะหมิ่นหยาม  ไม่ได้จะตั้งกำแพง หรือ ไม่ได้จะมาชีดเส้นแบ่งอะไรเลย  เพียงแต่อยากชี้ให้เห็นและให้กระจ่างว่า ทำไมความแตกต่างถึงอาจก่อให้เกิดปัญหาได้  

        ผู้ชายจนหรืออาจไม่ถึงกับจน  แต่บังเอิญแต่งไปได้ผู้หญิงรวย บางทีก็อึดอัดกับสายตาของเครือญาติผู้หญิง  ทำตัวเหลวไหลไปบ้าง ก็จะโดนดูถูกซ้ำในทำนองว่า “ได้ดอกฟ้าแล้วยังไม่รู้จักรักษา” ไปโน่นอีก ... ทำให้ผู้ชายบางคนก็เครียดและรู้สึกถูกหมิ่นศักดิ์ศรีจนบางทีอยากจะวางดอกฟ้าลงเสียให้รู้แล้วรู้รอด          

       หรือ ผู้หญิงบางคน แต่งไปอยู่กับผู้ชายรวย บางทีก็อึดอัดเพราะกลัวโดนหาว่ามาเกาะ  หรือบางที ครอบครัวฝ่ายที่รวยกว่า ก็ไม่ได้จะอะไรเล้ย ... แต่ฝ่ายจนกว่า กลับรู้สึกอึดอัดและเหมือนจะมี “ปมด้อยในใจ” ไปเอง  ก็ทำให้ครอบครัวไม่ราบรื่นอีก


         บางครั้งฝ่ายรวยก็ไม่มีเจตนาที่จะดูถูกหรืออะไรหรอก แต่มันเป็นความเคยชินและไลฟ์สไตล์ของเค้าที่จะใช้ชีวิตแบบนั้น
นางพญาเม่า
         เช่น ที่บ้านมีแต่รถตราดาว  ใส่นาฬิกาตรามงกุฎ   เข็มขัดเป็นรูปตัว H ตัวโต ๆ หรือชินที่จะถือกระเป๋าใบละห้าหกหลัก  เค้าก็อาจจะพูดถึงของพวกนี้เหมือนของสามัญที่ใช้ปกติทั่วไป แต่ฝ่ายที่จนกว่า อาจจะรู้สึกอึดอัด หรือบางครั้งอาจจะพูดออกไป (ซื่อ ๆ ) ตามที่ใจคิดโดยที่สมองยังไม่ทันคิดให้รอบด้านว่า “โห... เอาไปทำบุญดีกว่า  เอาไปซื้อหุ้นดีกว่า เอาไป นู่น นี่ นั่น ดีกว่า “  ถามว่าฝ่ายไหนผิดคะ  

เม่าเซย์โน

    ไม่มีฝ่ายไหนผิดเลยค่ะ  แค่พื้นเพ ภูมิหลังต่างกัน การใชัชีวิต  การเลือกของ การตั้งคำถาม ก็ต่างกันไปด้วย นี่แหละค่ะ คือความท้าทายของการต้องมาใช้ชีวิตร่วมกัน

    ต้องพยายามเปิดใจ ใจกว้าง และเข้าใจให้มาก มาก มาก  มันเหนื่อยก็ตรงนี้ล่ะค่ะ
เม่าโศก


        สมัยเรายังอายุน้อย ๆ เราเคยนึกหงุดหงิดเพื่อนคนหนึ่งมาก  พื้นหลังของเรา คือ เราเป็นคนที่ฐานะด้อยที่สุดในกลุ่มนะคะ  
เพื่อนเราบางคนมีกิจการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์  ซื้อขายลงทุนกันทีคิดเป็นเลข 9 หลัก 10 หลัก บางคนที่บ้านจ่ายดอกเบี้ยปีละ 60 ล้าน  บางคนมีที่ทางอยู่ต่างจังหวัดมีโฉนดชนิดที่เรียกได้ว่าเป็นหีบ  
        พวกเราคบกันโดยไม่เคยมองกันถึงฐานะเลย  เราเรียนดี เขียนรายงานเก่ง เราก็ช่วยเพื่อนทำรายงานเกือบทุกวิชา (แม้จะเป็นวิชาที่เราไม่ได้เรียน) เพื่อนก็ขับรถมารับเราที่หอหญิง ซึ่งไม่มีแอร์  
        ปกติ   เราไปไหนมาไหนโดยรถเมล์และสองแถว
เม่าออกรถ


         แต่ก็ยังมีบางสิ่งที่เราอดหงุดหงิดกับเพื่อนมหาเศรษฐีบางคนไม่ได้คือ คอมเมนต์ประเภท
    “โห...ตอนนี้ แกก็มีรถแล้ว มีมือถือแล้ว ชีวิตแกก็ครบสมบูรณ์แล้ว”  (อิชั้นเลยตอบไปว่า  ชีวิตอิชั้นสมบูรณ์ตั้งแต่โหนรถเมล์ ไม่มีมือถือ แล้วก็ไม่มีอะไรเลยแล้ว)

        นี่คือ เหตุการณ์เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ตอนพวกเราจบออกมาทำงานใหม่ ๆ แล้วเราได้รถบริษัทมาใช้ และเริ่มซื้อมือถือ
    หรือคำถามประเภท
    “เฮ้ย...นาฬิกานี่ของจริงหรือก๊อปวะ” (เราตอบไปว่า ไม่รู้ เพราะได้เป็นของขวัญ และโดยนิสัย เราไม่ชอบใช้ของปลอม ไม่มีเงินคือไม่ใช้ ไม่ถือ หรือใช้ของไม่มียี่ห้อ)
    “อันนั่นเท่าไร นี่เท่าไร”
    คือ อะไร ๆ มันก็ถามราคาจนเรารำคาญ และปวดหัวกับมันว่า จะอะไรกันนักกันหนาวะ

เม่าพาล


    ถ้าไม่ได้เห็นว่าคบกันมานานจนรู้ว่าเพื่อนนิสัยดีและไม่ใช่คนดูถูกคนแล้วล่ะก็  เราคงว้ากเพ้ยไปแล้ว  รำคาญมาก ถามอยู่ได้นั่นเท่าไร นี่เท่าไร  อ้าว... ชั้นจบมาแล้ว ก็ทำมาหากิน เก็บตังค์ซื้อมั่งไม่ได้รึไง


    จนเราบ่นเรื่องนี้ให้สามีเราฟัง  สามีเรากลับหัวเราะและสอนเราว่า

    “ต้องเข้าใจว่าบ้าน xxx (เพื่อนเราคนนั้น) เค้าทำธุรกิจใหญ่ เพราะงั้น ใจเค้าก็ผูกกับเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ตลอดเวลา ก็ไม่แปลกหรอกว่า เค้าจะสนใจมูลค่าเป็นหลัก  ก็เหมือนกับพี่ XXX (พี่ชายสามี)  ขานั้น เค้าชอบเข้าวัด  เวลาเค้าอธิบายทางให้ใครว่าจะไปไหน เค้าก็จะเอาวัดเป็น landmark ว่า จะไปนี่ ต้องมาทางนี้ ผ่านวัดนี้  เลี้ยวซ้ายจะเจอวัด *** แล้วถึงจะถึงที่นะ”

    พอฟังแบบนี้แล้ว เราคิดตาม และนึกถึงแววตาแป๋วแหววของเพื่อนที่ถามธรรมดา ๆ เรียบ ๆ เราก็เห็นด้วยกับที่สามีพูด  เออ... ก็จริงแฮะ ...

    ยกตัวอย่างมายืดยาวก็เพื่อจะบอกว่า บางทีความแตกต่างที่พูดถึง ทั้งด้านฐานะ พื้นเพ ความรู้ อาจจะด้านหน้าตาด้วยอีกอย่างเอ้า มันทำให้เกิดปัญหาอย่างไรบ้าง   นี่ขนาดเป็นเพื่อนนะ  ถ้าเป็นแฟนมันจะอ่อนไหวกว่านี้อีกกี่เท่าตัวก็ไม่รู้

    เป็นเพียงตัวอย่างจิ๊บ ๆ ที่อยากยกมาชี้ให้เห็นและตอบคำถามที่มักมีคนขอความเห็นกันบ่อย ๆ ว่า ดีหรือไม่ดี  ที่จะแต่งกับคนที่รวยกว่ามาก ๆ พื้นเพต่างกันมาก ๆ ความรู้ต่างกันมาก ๆ หรือ กระทั่งหน้าตาต่างกันมาก ๆ ด้วย
    รอท่านอื่นมาแชร์ คงต่อยอดไปได้อีกหลายตัวอย่าง และหลายสถานการณ์
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่