
[คำเตือน] เนื้อหามี Spoil หนังครับ
คงไม่ต้องบอกก็รู้ว่า ผมเป็นเกย์ แน่นอนครับ
ส่วนระดับความอินในหนัง เต็มสิบ ผมคงให้ร้อยเลย
ผมไปดูเรื่องนี้มาสองรอบ ร้องไห้ตาแดงออกจากโรงทั้งสองรอบเลยครับ
Love , Simon เรื่องนี้ผมยกให้เป็นหนังเกย์ในดวงใจอีกเรื่องเลยครับ
ผมชอบในความรอมคอมของมัน (Romantic Comedy)
และความฟีลกู้ดของหนัง ที่ทำออกมาแล้วอบอุ่นหัวใจมากหลังจากดูจบ
สิ่งที่ทัชผมมากที่สุดคงเป็นคอนเสปของหนัง เพราะมันช่างตรงกับชีวิตวัยรุ่นของผมบางอย่าง
แต่ชีวิตผมอาจจะเทากว่าหนังหน่อย
ขอเล่าประวัติชีวิตผมไปด้วยนะครับ เพื่อที่จะได้เชื่อมโยงกับหนัง
- ผมเป็นลูกชายคนเล็ก ในครอบครัวหกคน ผมมีพี่สาวสามคน พี่สาวแต่ละคนห่างกันไม่เยอะ แต่ผมห่างจากคนโตเป็นสิบปี จึงเป็นลูกหลง พ่อแม่ผมอยากได้ลูกชายมาก ท่านพยายามมีลูกชายมา3ครั้ง สองครั้งแรกเฟล สุดท้ายครั้งที่3 ท่านไปทำกิฟ เลือกเพศเด็ก จนออกมาเป็นผมในตอนนี้ ผมค่อยๆโตมาโดยที่รู้สึกว่าตัวเองไม่เหมือนเด็กผู้ชายคนอื่นๆ ผมไม่ชอบออกไปเตะฟุตบอล แต่ชอบที่จะวาดรูปในห้องคนเดียวมากกว่า บางอย่างผมต้องฝืนทำเช่น การออกไปเตะบอล เพื่อที่จะได้เข้าสังคมได้ ตอนเด็กๆผมเคยไปคุ้ยลังเก่าๆบนบ้าน แล้วเจอของเล่นผู้หญิงของพี่สาวสมัยเด็กๆ ผมจึงเอามาเล่นโดยไม่ได้คิดอะไร [เป็นของเล่นหวีผมตุ๊กตา] พอพ่อกับแม่เห็นเท่านั้นล่ะ เค้าตกใจกันมาก แล้วรีบเอาของเล่นอันนั้นไปซ่อน แล้วห้ามเล่นแบบนี้อีก นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเริ่มรับรู้ได้ว่า เค้ามีความคาดหวังบางอย่างในตัวเรา ซึ่งตอนนั้นผมก็ยังไม่รู้ตัวหรอก คนอื่นๆเวลาเห็นว่ามีพี่สาวเยอะๆ ก็ชอบแซวว่า ระวังลูกเป็นตุ๊ดนะ มันทำให้ผมระแวงมาตลอดว่าจะแสดงออกอะไรออกไปในทางนั้น
[วัยรุ่น]
- ช่วง ม.1 ผมรู้สึกบางอย่างในตัวผมเปลี่ยนไป ผมมีความรู้สึกแปลกๆกับเพื่อนสนิท เช่น อยากอยู่ใกล้ๆมัน อยากเจอทุกวัน อยากลองกอดมัน แอบหึงเวลามันไปสนิทกับเพื่อนคนอื่น นั่นแหละครับ ผมเริ่มไม่แน่ใจว่าตัวเองเป็นเกย์ แต่ผมเก็บความรู้สึกนี้ไว้ เพราะยังไม่มั่นใจ ผมติดเพื่อนคนนี้มาก ผมจำกลิ่นมันได้แม่น มันทำให้ผมรู้สึกว่าผมรู้สึกกับเพื่อนผู้ชายคนนี้ไม่เหมือนคนอื่น ตอนนั้น "ความเป็นเกย์" ในตัวผมพยายามเรียกร้องที่จะออกมา พร้อมๆความรู้สึกโดดเดี่ยวแบบบอกไม่ถูกมันก็เกิดขึ้นมาพร้อมๆกัน ผมไม่สามารถบอกใครได้ว่าผมชอบคนๆนี้มากๆที่สุดในโลก แบบที่เด็กม.ต้นคนอื่นทำได้ ผมพยายามเข้าข้างตัวเองว่า เพื่อนผมมันก็อาจจะเป็นเหมือนกัน ทั้งสายตา ทั้งการสัมผัสต้องตัว ทุกอย่างในตอนนั้น ผมคิดเข้าข้างตัวเองไปก่อนแล้ว เพราะมันมีความสุขเวลาที่ได้คิดแบบนั้น จนวันที่มันมีแฟน ผญ. ในห้องเดียวกัน ในขณะที่เพื่อนๆแซวคู่เพื่อนผมกัน ผมยิ้มแล้วร่วมแซวไปด้วย แต่ในใจผมอยากหายไปจากตรงนั้นมากๆ น้ำตาผมจะไหลตลอดเวลา แต่ผมสั่งให้ตัวเองยิ้ม ชีวิตตอนนั้นผมกลัวมากๆ กลัวผิดหวังจนแสดงออกดราม่าแล้วทำให้คู่นี้ไม่แฮ้ปปี้ กลัวเพื่อนจะรู้ว่าเป็นเกย์แถมแอบรักเพื่อนตัวเอง ผมพยายามกลืน 'ความรู้สึกรักครั้งนี้' ลงไป พยายามหลอกตัวเองว่าไม่รู้สึกอะไรกับมัน เวลาเจอหน้ามัน ผมไม่แม้แต่จะมองหน้ามัน ไม่ใช่ว่าเกลียดแต่ผมกลัวตัวเองร้องไห้มากๆ ผมหวั่นไหวมาก แค่มันโผล่เข้ามาในระยะสายตาผมก็รู้สึกแล้ว การเปลี่ยนไปของผมทำให้ความสัมพันธ์การเพื่อนสนิทของผมกับมันจบลง โดยที่มันก็ไม่ได้ถามอะไร ผมก็ไม่อยากบอกใคร ชีวิตผมใน รร หลังจากนั้น คือ การใช้ชีวิตคนเดียว หลังจากนั้นผมลองคบแฟน ผญ ดู เพราะชีวิตตอนนั้นมันโดดเดี่ยวมาก เค้าเป็นสีสันให้ชีวิตผม แต่ถึงจุดหนึ่ง ความรู้สึกเป็นเกย์ในตัวผมที่บอกใครไม่ได้ มันทำให้ผมเริ่มรู้สึกผิด เริ่มรู้สึกว่าเรากำลังหลอกเค้าอยู่รึเปล่า บวกกับความรู้สึกรักของเค้า ที่มากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายผมเลยบอกเลิกเค้า ไปโดยให้เหตุผลไปว่าไม่ได้รักเค้าแล้ว เพราะผมทนฝืนคบต่อไปไม่ไหว ซึ่งเค้าเสียใจมากทั้งๆที่ไม่ได้ทำอะไรผิด
+ ความอินจากในหนัง
ฉากที่ Simon เริ่มรู้ตัวว่าตัวเองเป็นเกย์จากการฝันถึงดาราที่ชอบ ทำให้นึกถึงตัวเองตอนเด็กที่ฝันถึงเพื่อนสนิทบ่อยมาก
ฉากต่างๆที่ Simon พยายามจินตนาการว่าผู้ชายที่ตัวเองเจอคือ Blue โดยจิ้นไปเองจากสายตา รอยยิ้มที่ได้รับ

[ความไม่เป็นตัวเอง]
- ขึ้น ม ปลายมา ผมเริ่มมีกลุ่มเพื่อนใหม่ ผมเริ่มรู้สึกว่าผมกำลังสร้างเปลือกบางอย่างขึ้นมา เพื่อให้คนมองผม ในแบบที่ผมต้องการอยากให้เห็น ผมกลัวความโดดเดี่ยว ผมเริ่มขุดหลุมฝัง ตัวตนเดิมๆของตัวเอง ลงไปลึกเรื่อยๆ ผมตั้งใจจะเก็บความลับนี้ไปจนตาย ส่วนหนึ่งผมไม่โทษนะ ที่บางคนจะมองภาพลักษณ์ของการเป็นเกย์ว่ามันติดลบ เพราะตอนนั้นเอง แวดล้อมต่างๆก็ทำให้ผมรู้สึกไปในทิศทางนั้น ในโรงเรียนผมคนที่เป็นมีน้อยมาก นับคนได้เลย ส่วนใหญ่ก็จะแสดงออกชัดเจน ซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองต่างจากเค้า แต่ผมไม่ได้ดูถูกเค้านะ แค่กลัวการเปลี่ยนแปลงว่า ถ้าบอกออกไป เพื่อนสนิทๆในตอนนี้ที่เป็นผู้ชายแท้ๆ มันจะเปลี่ยนไปรึเปล่า ผมกลัวการใช้ชีวิตใน รร แบบตัวคนเดียวอย่างเมื่อก่อนมากๆ ผมกลัวการเปลี่ยนแปลงมากๆ เวลาเจอ ผช ที่ผมมีโอกาสจะชอบ ผมจะรีบตัดไฟแต่ต้นลม โดยการไม่มอง ไม่สนใจ การใช้ชีวิตปลอมๆนี้ทำให้ผมรู้สึกปลอดภัย แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกเป็นชีวิตที่ไม่มีความหวังในเรื่องความรักที่แท้จริงเลย ผมใช้ชีวิตปลอมๆนี้จนเข้ามหาลัย
+ ความอินจากในหนัง
ฉากปาร์ตี้ที่ Simon ให้คำปรึกษากับ Nick เรื่องที่จะจีบ Abbey , Simon ต้องพยายามแสดงออกถึงความชอบผู้หญิงอย่างไม่เป็นธรรมชาติ ซึ่งทำให้นึกถึงตัวเองช่วง ม ปลาย ที่ต้องพยายามอินกับการเป็นผช.มากๆ โดยพยายามแสดงออกว่าชอบหรือชมผู้หญิงอย่างตั้งใจเพื่อให้เพื่อนเข้าใจว่าเราเป็นผู้ชายปกติ

[เพื่อน]
- ชีวิตมหาลัย ผมดำเนินชีวิตปลอมๆนี้มาเรื่อยๆ จนถึงจุดเปลี่ยน ผมวาดฝันการมีอนาคตที่สมบูรณ์แบบที่ชายหญิงปกติมี วาดฝันการเห็นพ่อแม่ผมภูมิใจที่ได้ลูกชาย ผมทำผิดพลาดโดยการลองคบกับแฟนผญอีกคนเพราะคิดว่า ผมน่าจะเปลี่ยนได้ เพราะผมรู้สึกดีกับเค้า แต่การใช้ชีวิตกับคนๆหนึ่งโดยที่เราไม่เป็นตัวเอง เรามีความลับที่เก็บไว้โดยการหลอกตัวเอง สุดท้ายวันหนึ่งที่ผมรับรู้ถึงความรักของเค้าจริงๆ ผมรู้ได้เลยว่าผมกำลังทำร้ายเค้าอยู่ แค่รอเวลาที่เค้าจะเสียใจ ตอนนั้นผมจึงจริงจังกับการเลิกเป็นเกย์มากๆ ผมเริ่มคุยและคบกับเค้ามา1ปี สามเดือนก่อนเลิกกันเป็นช่วงเวลาที่ผมทรมานที่สุด ผมใช้เวลาก่อนนอนทุกคืนนั่งหาข้อมูลเกี่ยวกับการเลิกเป็นเกย์ สุดท้ายผมเจอแต่ความสิ้นหวัง เคยคิดถึงขั้นอยากตายหนีปัญหา แต่กลัวพ่อแม่เสียใจ วันหนึ่งผมกลับบ้านไป ผมสัมผัสบรรยากาศอบอุ่นของครอบครัว ผมเชื่อว่าสักวันเค้าจะรับในสิ่งที่ผมเป็นได้ กลับมาจากบ้าน ผมจึงตัดสินใจบอกคนอื่นว่าผมเป็นเกย์เป็นครั้งแรก ผมบอกแฟนคนนี้ไปว่า ผมเป็นเกย์ และอยากเป็นเพื่อนกับเค้า ซึ่งมันคงทำใจได้ยากสำหรับเค้า เพราะเหมือนผมหลอกเค้ามาตลอดเวลา ซึ่งในความเป็นจริง ผมแยกไม่ออกแล้ว ว่าอันไหนคือตัวตนจริงๆของผม อันไหนคือตัวตนที่ผมสร้างขึ้นมา เพราะผมอยู่กับมันมานานเกินไป
- วินาทีที่ผมบอกออกไปว่า ผมเป็นเกย์ เหมือนโลกทั้งใบที่ผมแบกไว้มาตลอดสิบกว่าปีมันหายไป เหมือนผมเป็นนกที่ได้ออกจากกรง แน่นอนผมต้องรับผลจากสิ่งที่ผมเคยทำ แฟนผญ คนนี้เสียใจมาก ผมจมกับความรู้สึกผิดไปนาน ความเกลียดตัวเอง แต่ก็ค่อยๆให้อภัยตัวเอง ผมพูดขอโทษบ่อยจนบ่อยเกินไป ผมโทรไปบอกแฟนคนแรกเรื่องนี้ เพราะมันเป็นสิ่งที่ผมรู้สึกผิดมาตลอดที่เลิกกับเค้า แต่ไม่ได้บอกเหตุผลจริงๆไป ซึ่งอาจทำให้เค้าเข้าใจผิดว่าตัวเค้าไม่ดีหรือเปล่า
ตอนนั้น ความรู้สึกกลัว เครียด กดดัน ก็ตามมาเหมือนกัน กลัวเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่คณะรู้แล้วเค้าจะเปลี่ยนไป ซึ่งสักวันยังไงก็ต้องรู้
- ผมเริ่มบอกเพื่อนสนิทที่สุดที่เป็นผู้ชาย เป็นช่วงที่ผมกำลังจมจากการบอกเลิกแฟน ผญ ตอนนั้นกลัวมากว่าเพื่อนที่เรารักที่สุดจะรับไม่ได้
วินาทีที่บอกมัน ผมถามมันว่า "ถ้ากุเป็นอะไรที่ไม่รู้มาก่อน จะรับได้ป่าววะ"
มันตอบผมว่า "เป็นเพื่อนกุ กุรับได้หมดแหละ" จังหวะนั้นผมกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่แล้ว ผมบอกมันแถมปล่อยโฮออกมาหมดจนมันร้องไห้กับผมไปด้วย
สิ่งนี้ทำให้ผมเริ่มเปลี่ยนมุมมองกับตัวเอง ผมเริ่มกล้าที่จะบอกเพื่อนคนอื่นมากขึ้น ทีละนิด
+ ความอินจากในหนัง
ฉากที่ Simon บอก Abbey ไปว่าตัวเองเป็นเกย์ แล้ว Abbey บอกว่า ฉันรักนายนะ มันให้ความรู้สึกเดียวกับตอนที่ผมตัดสินใจบอกเพื่อนคนแรก ทั้งตื้นตันและทำให้เปิดใจมากขึ้น เป็นคำสั้นๆ แต่กินใจมาก
ฉากที่ Simon ระบายลงบล็อคเรื่องความกลัวว่าโลกจะไม่ชอบเราในสิ่งที่เราเป็น เป็นสิ่งที่เราเก็บไว้มาตลอดก่อนที่จะเปิดเผยออกไป

[ครอบครัว]
- ผมลองพยายามบอกคนในครอบครัว ผมบอกพี่สาวคนที่ 3 เป็นคนแรก พอผมเล่าให้พี่สาวฟัง พี่สาวผมร้องไห้เพราะสงสารที่ผมต้องเก็บมานานเป็นสิบปี หลังจากวันนั้นผมสนิทกับพี่สาวมากขึ้นจากเมื่อก่อนที่แทบไม่ค่อยได้คุยกัน
หลังจากนั้น ผมก็บอกแม่ตอนที่อยู่กันตามลำพัง ตอนที่บอกแม่เป็นโมเม้นที่ยากที่สุด เพราะรู้เลยว่าเค้าอาจจะผิดหวัง เค้าอยากได้ลูกชายมาก ซึ่งเราอาจเป็นให้เค้าไม่ได้100% ตอนที่บอกออกไป ผมกับแม่กอดกันร้องไห้หนักมาก แม่บอกแม่รับได้ แต่อย่าแต่งหญิงพอ [เออะ.. ในความคิดของแม่ การเป็นเกย์ เป็นตุ๊ด เป็นกระเทยคือสิ่งเดียวกัน แต่ผมเป็นเกย์ในลักษณะที่ดูเหมือนผู้ชายปกติ] แม่บอกผมว่าห้ามบอกพ่อเด็ดขาด เพราะพ่อไม่มีวันรับได้แน่ๆ แถมพ่อผมเป็นประเภท anti-gay มากๆ ผมจึงเลือกที่จะไม่บอกพ่อเพียงคนเดียวในบ้าน
คนสุดท้ายในบ้านที่ผมบอก คือ พี่สาวคนโต เค้าเป็นเสมือนแม่คนที่สองในบ้าน [อายุห่างกันมาก] วันที่ผมบอกเค้าไป เค้าร้องไห้ไปสามวัน เพราะบอกว่า สงสารพ่อกับแม่ จังหวะนั้นผมฟังแล้วเสียใจมาก แต่ก็เข้าใจได้ว่า มันคงเป็นความรู้สึกของคนที่ไม่ได้เป็นเกย์ ผมเลยพยายามไม่คิดมาก เพราะมองย้อนกลับไปถึงตัวเอง กว่าผมจะรับสิ่งที่ตัวเองเป็นได้ ก็ใช้เวลาตั้งสิบกว่าปี กว่าจะทำความเข้าใจกับมัน แล้วจะเอาอะไรกับพี่สาวที่เค้าไม่เคยเป็นเกย์ แถมเพิ่งบอกไปไม่กี่วัน ด้วยความที่พี่สาวโตมาในยุคที่เรื่องเกย์ยังไม่ได้เปิดกว้างมาก เค้าเลยอาจจะไม่ได้เข้าใจความรู้สึกเกย์เท่าพี่สาวคนที่3 อาจต้องใช้เวลา
การได้บอกคนในครอบครัวออกไป มันทำให้ผมรู้สึก ผมไม่ต้องกลัวที่จะเป็นตัวเองอีกต่อไปแล้ว ซึ่งมันทำให้ชีวิตมีความสุขมากขึ้น มีติดแค่เรื่องพ่อ ผมคงปล่อยให้เค้าเข้าใจว่าผมรักงานจนไม่อยากมีเมียไปเรื่อยๆ เพราะการจะไปเปลี่ยนเค้าในวัยนี้ มันคงเป็นไปไม่ได้แล้ว
+ ความอินจากในหนัง
ประโยคที่แม่ Simon บอกว่า "ช่วงสองสามปีนี้ แม่รู้สึกว่า เหมือนลูกมีความลับบางอย่าง เหมือนลูกกลั้นหายใจตลอดเวลา"
"ลูกก็ยังเป็นลูกชายคนเดิมที่แม่อยากหยอก เป็นลูกคนเดิมที่พ่ออยากพึ่งพาทุกๆเรื่อง เป็นพี่ชายคนเดิมที่ชอบชิมอาหารน้องสาวแม้บางทีจะไม่อร่อย แต่ลูกหยุดกลั้นหายใจได้แล้ว ลูกสามารถเป็นตัวเองได้มากขึ้นอย่างที่ควรจะเป็นมานานแล้ว ลูกคู่ควรที่จะได้รับสิ่งที่ต้องการบ้าง" เป็นประโยคที่เข้าไปดู2รอบก็ร้องไห้2รอบ เพราะเป็นความรู้สึกของเราในตอนมัธยมจริงๆ เหมือนกลั้นหายใจตลอดเวลา กลัวคนอื่นจะรู้ วิตกจริตทุกครั้งเวลามีคนมาล้อหรือแกล้งด้วยมุขเกย์
บทคุณพ่อ ก็ทำเอาซึ้งเหมือนกัน และกับการที่พ่อรับได้มันดีมากๆ เพราะในชีวิตจริงคงไม่ได้คาดหวังว่าพ่อเราจะสามารถเข้าใจเราได้ดีแบบคุณพ่อในหนัง + ความเป็นห่วงของน้องสาว Simon ทำให้นึกถึงพี่สาวตัวเองตอนที่เล่าให้ฟังว่าเป็นเกย์

สุดท้ายนี้
Part ครอบครัวเป็นส่วนที่ทำให้ผมไปดูเรื่องนี้ถึงสองรอบ เพราะตัวละครดูเป็นพ่อแม่ในอุดมคติมากๆ ดูแล้วอบอุ่นมาก
+ ความเพ้อฝันของหนังที่ช่วยเติมเต็มชีวิตรักวัยเรียนที่เคยฝันถึง ดูแล้ว Happy Ending ตาม ใครที่ดูมาแล้วมาแชร์ความรู้สึกกันได้นะ
Love , Simon
ดู Love , Simon แล้วเหมือนเห็นชีวิตตัวเองในหนัง
[คำเตือน] เนื้อหามี Spoil หนังครับ
คงไม่ต้องบอกก็รู้ว่า ผมเป็นเกย์ แน่นอนครับ
ส่วนระดับความอินในหนัง เต็มสิบ ผมคงให้ร้อยเลย
ผมไปดูเรื่องนี้มาสองรอบ ร้องไห้ตาแดงออกจากโรงทั้งสองรอบเลยครับ
Love , Simon เรื่องนี้ผมยกให้เป็นหนังเกย์ในดวงใจอีกเรื่องเลยครับ
ผมชอบในความรอมคอมของมัน (Romantic Comedy)
และความฟีลกู้ดของหนัง ที่ทำออกมาแล้วอบอุ่นหัวใจมากหลังจากดูจบ
สิ่งที่ทัชผมมากที่สุดคงเป็นคอนเสปของหนัง เพราะมันช่างตรงกับชีวิตวัยรุ่นของผมบางอย่าง
แต่ชีวิตผมอาจจะเทากว่าหนังหน่อย
ขอเล่าประวัติชีวิตผมไปด้วยนะครับ เพื่อที่จะได้เชื่อมโยงกับหนัง
- ผมเป็นลูกชายคนเล็ก ในครอบครัวหกคน ผมมีพี่สาวสามคน พี่สาวแต่ละคนห่างกันไม่เยอะ แต่ผมห่างจากคนโตเป็นสิบปี จึงเป็นลูกหลง พ่อแม่ผมอยากได้ลูกชายมาก ท่านพยายามมีลูกชายมา3ครั้ง สองครั้งแรกเฟล สุดท้ายครั้งที่3 ท่านไปทำกิฟ เลือกเพศเด็ก จนออกมาเป็นผมในตอนนี้ ผมค่อยๆโตมาโดยที่รู้สึกว่าตัวเองไม่เหมือนเด็กผู้ชายคนอื่นๆ ผมไม่ชอบออกไปเตะฟุตบอล แต่ชอบที่จะวาดรูปในห้องคนเดียวมากกว่า บางอย่างผมต้องฝืนทำเช่น การออกไปเตะบอล เพื่อที่จะได้เข้าสังคมได้ ตอนเด็กๆผมเคยไปคุ้ยลังเก่าๆบนบ้าน แล้วเจอของเล่นผู้หญิงของพี่สาวสมัยเด็กๆ ผมจึงเอามาเล่นโดยไม่ได้คิดอะไร [เป็นของเล่นหวีผมตุ๊กตา] พอพ่อกับแม่เห็นเท่านั้นล่ะ เค้าตกใจกันมาก แล้วรีบเอาของเล่นอันนั้นไปซ่อน แล้วห้ามเล่นแบบนี้อีก นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเริ่มรับรู้ได้ว่า เค้ามีความคาดหวังบางอย่างในตัวเรา ซึ่งตอนนั้นผมก็ยังไม่รู้ตัวหรอก คนอื่นๆเวลาเห็นว่ามีพี่สาวเยอะๆ ก็ชอบแซวว่า ระวังลูกเป็นตุ๊ดนะ มันทำให้ผมระแวงมาตลอดว่าจะแสดงออกอะไรออกไปในทางนั้น
[วัยรุ่น]
- ช่วง ม.1 ผมรู้สึกบางอย่างในตัวผมเปลี่ยนไป ผมมีความรู้สึกแปลกๆกับเพื่อนสนิท เช่น อยากอยู่ใกล้ๆมัน อยากเจอทุกวัน อยากลองกอดมัน แอบหึงเวลามันไปสนิทกับเพื่อนคนอื่น นั่นแหละครับ ผมเริ่มไม่แน่ใจว่าตัวเองเป็นเกย์ แต่ผมเก็บความรู้สึกนี้ไว้ เพราะยังไม่มั่นใจ ผมติดเพื่อนคนนี้มาก ผมจำกลิ่นมันได้แม่น มันทำให้ผมรู้สึกว่าผมรู้สึกกับเพื่อนผู้ชายคนนี้ไม่เหมือนคนอื่น ตอนนั้น "ความเป็นเกย์" ในตัวผมพยายามเรียกร้องที่จะออกมา พร้อมๆความรู้สึกโดดเดี่ยวแบบบอกไม่ถูกมันก็เกิดขึ้นมาพร้อมๆกัน ผมไม่สามารถบอกใครได้ว่าผมชอบคนๆนี้มากๆที่สุดในโลก แบบที่เด็กม.ต้นคนอื่นทำได้ ผมพยายามเข้าข้างตัวเองว่า เพื่อนผมมันก็อาจจะเป็นเหมือนกัน ทั้งสายตา ทั้งการสัมผัสต้องตัว ทุกอย่างในตอนนั้น ผมคิดเข้าข้างตัวเองไปก่อนแล้ว เพราะมันมีความสุขเวลาที่ได้คิดแบบนั้น จนวันที่มันมีแฟน ผญ. ในห้องเดียวกัน ในขณะที่เพื่อนๆแซวคู่เพื่อนผมกัน ผมยิ้มแล้วร่วมแซวไปด้วย แต่ในใจผมอยากหายไปจากตรงนั้นมากๆ น้ำตาผมจะไหลตลอดเวลา แต่ผมสั่งให้ตัวเองยิ้ม ชีวิตตอนนั้นผมกลัวมากๆ กลัวผิดหวังจนแสดงออกดราม่าแล้วทำให้คู่นี้ไม่แฮ้ปปี้ กลัวเพื่อนจะรู้ว่าเป็นเกย์แถมแอบรักเพื่อนตัวเอง ผมพยายามกลืน 'ความรู้สึกรักครั้งนี้' ลงไป พยายามหลอกตัวเองว่าไม่รู้สึกอะไรกับมัน เวลาเจอหน้ามัน ผมไม่แม้แต่จะมองหน้ามัน ไม่ใช่ว่าเกลียดแต่ผมกลัวตัวเองร้องไห้มากๆ ผมหวั่นไหวมาก แค่มันโผล่เข้ามาในระยะสายตาผมก็รู้สึกแล้ว การเปลี่ยนไปของผมทำให้ความสัมพันธ์การเพื่อนสนิทของผมกับมันจบลง โดยที่มันก็ไม่ได้ถามอะไร ผมก็ไม่อยากบอกใคร ชีวิตผมใน รร หลังจากนั้น คือ การใช้ชีวิตคนเดียว หลังจากนั้นผมลองคบแฟน ผญ ดู เพราะชีวิตตอนนั้นมันโดดเดี่ยวมาก เค้าเป็นสีสันให้ชีวิตผม แต่ถึงจุดหนึ่ง ความรู้สึกเป็นเกย์ในตัวผมที่บอกใครไม่ได้ มันทำให้ผมเริ่มรู้สึกผิด เริ่มรู้สึกว่าเรากำลังหลอกเค้าอยู่รึเปล่า บวกกับความรู้สึกรักของเค้า ที่มากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายผมเลยบอกเลิกเค้า ไปโดยให้เหตุผลไปว่าไม่ได้รักเค้าแล้ว เพราะผมทนฝืนคบต่อไปไม่ไหว ซึ่งเค้าเสียใจมากทั้งๆที่ไม่ได้ทำอะไรผิด
+ ความอินจากในหนัง
ฉากที่ Simon เริ่มรู้ตัวว่าตัวเองเป็นเกย์จากการฝันถึงดาราที่ชอบ ทำให้นึกถึงตัวเองตอนเด็กที่ฝันถึงเพื่อนสนิทบ่อยมาก
ฉากต่างๆที่ Simon พยายามจินตนาการว่าผู้ชายที่ตัวเองเจอคือ Blue โดยจิ้นไปเองจากสายตา รอยยิ้มที่ได้รับ
[ความไม่เป็นตัวเอง]
- ขึ้น ม ปลายมา ผมเริ่มมีกลุ่มเพื่อนใหม่ ผมเริ่มรู้สึกว่าผมกำลังสร้างเปลือกบางอย่างขึ้นมา เพื่อให้คนมองผม ในแบบที่ผมต้องการอยากให้เห็น ผมกลัวความโดดเดี่ยว ผมเริ่มขุดหลุมฝัง ตัวตนเดิมๆของตัวเอง ลงไปลึกเรื่อยๆ ผมตั้งใจจะเก็บความลับนี้ไปจนตาย ส่วนหนึ่งผมไม่โทษนะ ที่บางคนจะมองภาพลักษณ์ของการเป็นเกย์ว่ามันติดลบ เพราะตอนนั้นเอง แวดล้อมต่างๆก็ทำให้ผมรู้สึกไปในทิศทางนั้น ในโรงเรียนผมคนที่เป็นมีน้อยมาก นับคนได้เลย ส่วนใหญ่ก็จะแสดงออกชัดเจน ซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองต่างจากเค้า แต่ผมไม่ได้ดูถูกเค้านะ แค่กลัวการเปลี่ยนแปลงว่า ถ้าบอกออกไป เพื่อนสนิทๆในตอนนี้ที่เป็นผู้ชายแท้ๆ มันจะเปลี่ยนไปรึเปล่า ผมกลัวการใช้ชีวิตใน รร แบบตัวคนเดียวอย่างเมื่อก่อนมากๆ ผมกลัวการเปลี่ยนแปลงมากๆ เวลาเจอ ผช ที่ผมมีโอกาสจะชอบ ผมจะรีบตัดไฟแต่ต้นลม โดยการไม่มอง ไม่สนใจ การใช้ชีวิตปลอมๆนี้ทำให้ผมรู้สึกปลอดภัย แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกเป็นชีวิตที่ไม่มีความหวังในเรื่องความรักที่แท้จริงเลย ผมใช้ชีวิตปลอมๆนี้จนเข้ามหาลัย
+ ความอินจากในหนัง
ฉากปาร์ตี้ที่ Simon ให้คำปรึกษากับ Nick เรื่องที่จะจีบ Abbey , Simon ต้องพยายามแสดงออกถึงความชอบผู้หญิงอย่างไม่เป็นธรรมชาติ ซึ่งทำให้นึกถึงตัวเองช่วง ม ปลาย ที่ต้องพยายามอินกับการเป็นผช.มากๆ โดยพยายามแสดงออกว่าชอบหรือชมผู้หญิงอย่างตั้งใจเพื่อให้เพื่อนเข้าใจว่าเราเป็นผู้ชายปกติ
[เพื่อน]
- ชีวิตมหาลัย ผมดำเนินชีวิตปลอมๆนี้มาเรื่อยๆ จนถึงจุดเปลี่ยน ผมวาดฝันการมีอนาคตที่สมบูรณ์แบบที่ชายหญิงปกติมี วาดฝันการเห็นพ่อแม่ผมภูมิใจที่ได้ลูกชาย ผมทำผิดพลาดโดยการลองคบกับแฟนผญอีกคนเพราะคิดว่า ผมน่าจะเปลี่ยนได้ เพราะผมรู้สึกดีกับเค้า แต่การใช้ชีวิตกับคนๆหนึ่งโดยที่เราไม่เป็นตัวเอง เรามีความลับที่เก็บไว้โดยการหลอกตัวเอง สุดท้ายวันหนึ่งที่ผมรับรู้ถึงความรักของเค้าจริงๆ ผมรู้ได้เลยว่าผมกำลังทำร้ายเค้าอยู่ แค่รอเวลาที่เค้าจะเสียใจ ตอนนั้นผมจึงจริงจังกับการเลิกเป็นเกย์มากๆ ผมเริ่มคุยและคบกับเค้ามา1ปี สามเดือนก่อนเลิกกันเป็นช่วงเวลาที่ผมทรมานที่สุด ผมใช้เวลาก่อนนอนทุกคืนนั่งหาข้อมูลเกี่ยวกับการเลิกเป็นเกย์ สุดท้ายผมเจอแต่ความสิ้นหวัง เคยคิดถึงขั้นอยากตายหนีปัญหา แต่กลัวพ่อแม่เสียใจ วันหนึ่งผมกลับบ้านไป ผมสัมผัสบรรยากาศอบอุ่นของครอบครัว ผมเชื่อว่าสักวันเค้าจะรับในสิ่งที่ผมเป็นได้ กลับมาจากบ้าน ผมจึงตัดสินใจบอกคนอื่นว่าผมเป็นเกย์เป็นครั้งแรก ผมบอกแฟนคนนี้ไปว่า ผมเป็นเกย์ และอยากเป็นเพื่อนกับเค้า ซึ่งมันคงทำใจได้ยากสำหรับเค้า เพราะเหมือนผมหลอกเค้ามาตลอดเวลา ซึ่งในความเป็นจริง ผมแยกไม่ออกแล้ว ว่าอันไหนคือตัวตนจริงๆของผม อันไหนคือตัวตนที่ผมสร้างขึ้นมา เพราะผมอยู่กับมันมานานเกินไป
- วินาทีที่ผมบอกออกไปว่า ผมเป็นเกย์ เหมือนโลกทั้งใบที่ผมแบกไว้มาตลอดสิบกว่าปีมันหายไป เหมือนผมเป็นนกที่ได้ออกจากกรง แน่นอนผมต้องรับผลจากสิ่งที่ผมเคยทำ แฟนผญ คนนี้เสียใจมาก ผมจมกับความรู้สึกผิดไปนาน ความเกลียดตัวเอง แต่ก็ค่อยๆให้อภัยตัวเอง ผมพูดขอโทษบ่อยจนบ่อยเกินไป ผมโทรไปบอกแฟนคนแรกเรื่องนี้ เพราะมันเป็นสิ่งที่ผมรู้สึกผิดมาตลอดที่เลิกกับเค้า แต่ไม่ได้บอกเหตุผลจริงๆไป ซึ่งอาจทำให้เค้าเข้าใจผิดว่าตัวเค้าไม่ดีหรือเปล่า
ตอนนั้น ความรู้สึกกลัว เครียด กดดัน ก็ตามมาเหมือนกัน กลัวเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่คณะรู้แล้วเค้าจะเปลี่ยนไป ซึ่งสักวันยังไงก็ต้องรู้
- ผมเริ่มบอกเพื่อนสนิทที่สุดที่เป็นผู้ชาย เป็นช่วงที่ผมกำลังจมจากการบอกเลิกแฟน ผญ ตอนนั้นกลัวมากว่าเพื่อนที่เรารักที่สุดจะรับไม่ได้
วินาทีที่บอกมัน ผมถามมันว่า "ถ้ากุเป็นอะไรที่ไม่รู้มาก่อน จะรับได้ป่าววะ"
มันตอบผมว่า "เป็นเพื่อนกุ กุรับได้หมดแหละ" จังหวะนั้นผมกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่แล้ว ผมบอกมันแถมปล่อยโฮออกมาหมดจนมันร้องไห้กับผมไปด้วย
สิ่งนี้ทำให้ผมเริ่มเปลี่ยนมุมมองกับตัวเอง ผมเริ่มกล้าที่จะบอกเพื่อนคนอื่นมากขึ้น ทีละนิด
+ ความอินจากในหนัง
ฉากที่ Simon บอก Abbey ไปว่าตัวเองเป็นเกย์ แล้ว Abbey บอกว่า ฉันรักนายนะ มันให้ความรู้สึกเดียวกับตอนที่ผมตัดสินใจบอกเพื่อนคนแรก ทั้งตื้นตันและทำให้เปิดใจมากขึ้น เป็นคำสั้นๆ แต่กินใจมาก
ฉากที่ Simon ระบายลงบล็อคเรื่องความกลัวว่าโลกจะไม่ชอบเราในสิ่งที่เราเป็น เป็นสิ่งที่เราเก็บไว้มาตลอดก่อนที่จะเปิดเผยออกไป
[ครอบครัว]
- ผมลองพยายามบอกคนในครอบครัว ผมบอกพี่สาวคนที่ 3 เป็นคนแรก พอผมเล่าให้พี่สาวฟัง พี่สาวผมร้องไห้เพราะสงสารที่ผมต้องเก็บมานานเป็นสิบปี หลังจากวันนั้นผมสนิทกับพี่สาวมากขึ้นจากเมื่อก่อนที่แทบไม่ค่อยได้คุยกัน
หลังจากนั้น ผมก็บอกแม่ตอนที่อยู่กันตามลำพัง ตอนที่บอกแม่เป็นโมเม้นที่ยากที่สุด เพราะรู้เลยว่าเค้าอาจจะผิดหวัง เค้าอยากได้ลูกชายมาก ซึ่งเราอาจเป็นให้เค้าไม่ได้100% ตอนที่บอกออกไป ผมกับแม่กอดกันร้องไห้หนักมาก แม่บอกแม่รับได้ แต่อย่าแต่งหญิงพอ [เออะ.. ในความคิดของแม่ การเป็นเกย์ เป็นตุ๊ด เป็นกระเทยคือสิ่งเดียวกัน แต่ผมเป็นเกย์ในลักษณะที่ดูเหมือนผู้ชายปกติ] แม่บอกผมว่าห้ามบอกพ่อเด็ดขาด เพราะพ่อไม่มีวันรับได้แน่ๆ แถมพ่อผมเป็นประเภท anti-gay มากๆ ผมจึงเลือกที่จะไม่บอกพ่อเพียงคนเดียวในบ้าน
คนสุดท้ายในบ้านที่ผมบอก คือ พี่สาวคนโต เค้าเป็นเสมือนแม่คนที่สองในบ้าน [อายุห่างกันมาก] วันที่ผมบอกเค้าไป เค้าร้องไห้ไปสามวัน เพราะบอกว่า สงสารพ่อกับแม่ จังหวะนั้นผมฟังแล้วเสียใจมาก แต่ก็เข้าใจได้ว่า มันคงเป็นความรู้สึกของคนที่ไม่ได้เป็นเกย์ ผมเลยพยายามไม่คิดมาก เพราะมองย้อนกลับไปถึงตัวเอง กว่าผมจะรับสิ่งที่ตัวเองเป็นได้ ก็ใช้เวลาตั้งสิบกว่าปี กว่าจะทำความเข้าใจกับมัน แล้วจะเอาอะไรกับพี่สาวที่เค้าไม่เคยเป็นเกย์ แถมเพิ่งบอกไปไม่กี่วัน ด้วยความที่พี่สาวโตมาในยุคที่เรื่องเกย์ยังไม่ได้เปิดกว้างมาก เค้าเลยอาจจะไม่ได้เข้าใจความรู้สึกเกย์เท่าพี่สาวคนที่3 อาจต้องใช้เวลา
การได้บอกคนในครอบครัวออกไป มันทำให้ผมรู้สึก ผมไม่ต้องกลัวที่จะเป็นตัวเองอีกต่อไปแล้ว ซึ่งมันทำให้ชีวิตมีความสุขมากขึ้น มีติดแค่เรื่องพ่อ ผมคงปล่อยให้เค้าเข้าใจว่าผมรักงานจนไม่อยากมีเมียไปเรื่อยๆ เพราะการจะไปเปลี่ยนเค้าในวัยนี้ มันคงเป็นไปไม่ได้แล้ว
+ ความอินจากในหนัง
ประโยคที่แม่ Simon บอกว่า "ช่วงสองสามปีนี้ แม่รู้สึกว่า เหมือนลูกมีความลับบางอย่าง เหมือนลูกกลั้นหายใจตลอดเวลา"
"ลูกก็ยังเป็นลูกชายคนเดิมที่แม่อยากหยอก เป็นลูกคนเดิมที่พ่ออยากพึ่งพาทุกๆเรื่อง เป็นพี่ชายคนเดิมที่ชอบชิมอาหารน้องสาวแม้บางทีจะไม่อร่อย แต่ลูกหยุดกลั้นหายใจได้แล้ว ลูกสามารถเป็นตัวเองได้มากขึ้นอย่างที่ควรจะเป็นมานานแล้ว ลูกคู่ควรที่จะได้รับสิ่งที่ต้องการบ้าง" เป็นประโยคที่เข้าไปดู2รอบก็ร้องไห้2รอบ เพราะเป็นความรู้สึกของเราในตอนมัธยมจริงๆ เหมือนกลั้นหายใจตลอดเวลา กลัวคนอื่นจะรู้ วิตกจริตทุกครั้งเวลามีคนมาล้อหรือแกล้งด้วยมุขเกย์
บทคุณพ่อ ก็ทำเอาซึ้งเหมือนกัน และกับการที่พ่อรับได้มันดีมากๆ เพราะในชีวิตจริงคงไม่ได้คาดหวังว่าพ่อเราจะสามารถเข้าใจเราได้ดีแบบคุณพ่อในหนัง + ความเป็นห่วงของน้องสาว Simon ทำให้นึกถึงพี่สาวตัวเองตอนที่เล่าให้ฟังว่าเป็นเกย์
สุดท้ายนี้
Part ครอบครัวเป็นส่วนที่ทำให้ผมไปดูเรื่องนี้ถึงสองรอบ เพราะตัวละครดูเป็นพ่อแม่ในอุดมคติมากๆ ดูแล้วอบอุ่นมาก
+ ความเพ้อฝันของหนังที่ช่วยเติมเต็มชีวิตรักวัยเรียนที่เคยฝันถึง ดูแล้ว Happy Ending ตาม ใครที่ดูมาแล้วมาแชร์ความรู้สึกกันได้นะ
Love , Simon