ราชาสิบสองนักษัตร ศึกรวมสุโขทัย - บทที่ ๑๘ บ้านเงินบ้านทองแห่งสุโขทัย

.


บทที่ ๑๘ บ้านเงินบ้านทองแห่งสุโขทัย

ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว... ใครจักใคร่ค้าช้างค้า ใครจักใคร่ค้าม้าค้า...

เป็นวลีที่บ่งบอกลักษณะของความอุดมสมบูรณ์ และความเสรีทางการค้าของเมืองสุโขทัย...ในวันวาน

ในวันนี้ แม้เมืองสุโขทัยยังคงอุดมสมบูรณ์ แต่สภาพการค้าได้เปลี่ยนไปไม่เหลือร่องรอยการค้าแบบเสรีอีกแล้ว สินค้าซึ่งนำมาค้ามาขาย ถูกเก็บส่วยส่งอากรเข้าหลวงเหมือนบ้านเมืองอื่นกระทำ ความเป็นศูนย์กลางแห่งความมั่นคงก็เปลี่ยนไป รัฐทางเหนือมีล้านนาเป็นศูนย์กลาง รัฐเบื้องตะวันออกมีเมืองน่านและล้านช้าง ฟากประจิมมีสองเมืองมอญ เมาะตะมะและหงสาวดี เบื้องใต้ลงไป... ความยิ่งใหญ่ตกอยู่กับอาณาจักรอโยธยา

ตลาดปสานเป็นศูนย์กลางการค้าขายและแลกเปลี่ยนสินค้าของสุโขทัย อยู่ทางทิศเหนือห่างแนวกำแพงเมืองขึ้นไปราว ๑๐ เส้น (๔๐๐ เมตร) อยู่ริมถนนพระร่วงซึ่งตัดผ่านจากตัวเมืองขึ้นสู่ทิศเหนือเชื่อมต่อถึงเมืองศรีสัชนาลัยและเมืองเชียงใหม่แห่งล้านนา ลักษณะตลาดตอนบนเป็นตลาดท่าเรือ อยู่ริมฝั่งคลองร่องปลาไหลที่สามารถล่องเรือสินค้าขนาดเล็กเข้าสู่ร่องน้ำแม่ลำพัน ก่อนไปเปลี่ยนถ่ายขึ้นลงเรือบรรทุกสินค้าขนาดใหญ่บริเวณจุดเชื่อมต่อกับแม่น้ำยมที่อยู่ห่างไปเพียง ๑๐ เส้น แม่น้ำยมสายนี้ด้านบนเชื่อมต่อถึงเมืองพะเยา เมืองแพร่ เมืองศรีสัชนาลัย ส่วนตอนล่างไหลลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยาเชื่อมถึงกรุงอโยธยาและลงสู่อ่าวสยามที่ปากน้ำพระประแดง



“เรียนท่านนายกองด่านใน ชายผู้นี้ไม่มีรอยสัก ถือแต่ตราไม้สัญลักษณ์เมืองนครศรีธรรมราชและหนังสือข้ามเมือง ท่านหัวหมู่ปากน้ำยมจึงให้ข้าคุมตัวมาส่งให้ท่าน”
เจ้าพนักงานจากปากน้ำยมกล่าวรายงาน แม้เข้มแข็งแต่นอบน้อมอย่างยิ่ง

ผู้ที่ถูกเรียกว่านายกองด่านในนั่งประจำอยู่ที่โต๊ะกลางศาลาใหญ่ซึ่งปลูกอยู่ริมถนนพระร่วงฝั่งทิศตะวันตกหันหน้าเข้าหาตลาดปสานฝั่งตรงข้าม เสาไม้สักขนาดใหญ่ ๑๐ ต้นแบกหลังคาเปลือกไม้อยู่ด้านบน ปิดคร่อมด้วยจั่วไม้รูปทรงไทย ตีกั้นฝาผนังเพียงด้านหลัง นอกจากตัวผู้ช่วยนายกองที่นั่งร่วมอยู่มุมโต๊ะแล้ว ภายในมีทหารประจำอยู่ ๔ นาย ภายนอกยืนระวังอีก ๑๒ นาย บัดนี้จึงเพิ่มเจ้าพนักงานปากน้ำยมกับชายต่างเมือง “ผู้ไร้รอยสัก” อยู่ภายในอีกสองคน เหล่าทหารที่คุมตัวชายต่างเมืองมาส่งล้วนยืนรออยู่ด้านนอก

“เจ้าชื่อว่าอะไร เป็นชาวเมืองใด และมาที่สุโขทัยด้วยจุดประสงค์ใด”
นายกองด่านในซักถามเสียงดัง พร้อมลุกขึ้นจากที่นั่ง ก้าวเดินเข้าใกล้ชายหนุ่มที่ถูกกุมตัวมา สายตาจับจ้องสำรวจจากหัวจรดปลายเท้า

ลักษณะที่สังเกตเห็นคือชายหนุ่มอายุราว ๒๐ ปีขึ้นไป รูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาคมเข้มหล่อเหลา คิ้วเข้ม ตาคมวาว แต่เมื่อจ้องลึกไปในดวงตาคู่นั้นกลับไร้แววแห่งความสดใสเหมือนคนหนุ่มสาวทั่วไป ดูประหนึ่งนัยน์ตาของกวางหนุ่มที่พลัดหลงฝูงเต็มไปด้วยความอ้างว้างและระแวดระวัง บุคลิกท่าทางนั้นเล่าก็ดูอิดโรยไร้เรี่ยวแรงขัดกับรูปร่างที่ใหญ่ล่ำสัน สวมเสื้อผ้าฝ้ายสีฟ้าหม่น นุ่งโจงกระเบนหยักรั้งคร่อมเข่า เคียนผ้ารัดเอว ไม่ต่างจากชาวเมืองทั่วไป

“ข้าพเจ้าชื่อ “แสงพราย” มาจากเมืองนครศรีธรรมราช รับราชการเป็นช่างหลวงตั้งแต่ยังเล็กจึงไม่ได้มีลายสักเลกประจำกาย ด้วยบิดาฝากข้าพเจ้าไว้ให้นายกองช่างหลวงเลี้ยงดู ท่านนายกองเคยเป็นช่างชาวเมืองเชียงแสน คนเมืองเดียวกับมารดาของข้าพเจ้า บัดนี้มารดาข้าพเจ้าสิ้นแล้วจึงได้ลากลับมายังเมืองเหนือ เพื่อสืบหาญาติพี่น้องทางนี้ต่อไป”

เจ้าหนุ่มแสงพรายกล่าวตอบเสียงราบเรียบยืดยาว แต่ก็เป็นคำอธิบายที่นายกองด่านในต้องการรับฟัง
นายกองยังคงเพ่งตาจ้องมอง หัวคิ้วขมวดขึ้น ชายหนุ่มคล้ายรู้นัยของอาการจึงกล่าวต่อว่า

“ส่วนที่ข้าพเจ้ามาสุโขทัย เพราะนายกองช่างหลวงบอกให้มาพึ่งพิงอยู่กับน้องชายของท่านที่เป็นช่างหลวงอิสระอยู่ที่เมืองนี้ แล้วค่อยคิดอ่านสืบหาญาติพี่น้องของข้าพเจ้าต่อไป”

นายกองด่านในรับตราไม้พร้อมกระดาษจากเจ้าพนักงานที่กุมตัว คลี่กระดาษออกดู สายตาจดจ้องอยู่กับตัวหนังสือและสัญลักษณ์ตราประทับบนกระดาษ พลางขมวดคิ้วกล่าวขึ้น
“เจ้าชื่อแสงพราย... แล้วช่างหลวงที่เจ้าจะมาหา ชื่อกระไร”

“ท่านชื่อ “แสงคำ” อยู่สำนักบ้านเงินบ้านทอง”

---------------------------------------

“ข้าจนใจที่มิอาจตรวจสอบตราประทับของกองช่างหลวงเมืองนครศรีธรรมราชให้ท่านได้เพราะมิเคยเห็นมาก่อน... หากแต่พิจารณาจากลักษณะตัวอักษรที่ปรากฏในหนังสือข้ามเมืองก็พอจะมีเค้าลางว่าเขียนขึ้นที่เมืองนครฯ จริง”

อาลักษณ์หลวงกล่าวพลางเงยหน้าขึ้นจากแผ่นป้ายและหนังสือที่ถืออยู่ในมือ
“เค้าลางอันใดหรือขอรับ” นายกองด่านในกล่าวซัก

“ในหนังสือข้ามเมืองฉบับนี้เขียนด้วยภาษาเก่า ท่านควรจะรู้ไว้...อักษรของเมืองสุโขทัยถูกใช้แพร่หลายไปถึงอาณาจักรนครศรีธรรมราชตั้งแต่ครั้งสมัยองค์พ่อขุนรามคำแหง ผิดกับอาณาจักรทางเหนือซึ่งใช้อักษรล้านนาและเพิ่งจะมาเริ่มใช้อักษรของสุโขทัยเราเมื่อครั้งพระเจ้ากือนาองค์กษัตริย์แห่งเมืองเชียงใหม่ทรงอาราธนาพระสุมนบุปผรัตนจากเมืองของเราไปช่วยเผยแผ่พระพุทธศาสนาในปีพุทธศักราช ๑๙๑๒”

อาลักษณ์หลวงหยุดถอนหายใจยาว ก่อนจะอธิบายต่อว่า “ครั้นพอถึงแผ่นดินองค์พ่อขุนพระยาลิไท กรุงอโยธยาตั้งตนเป็นใหญ่ ขวางกั้นความสัมพันธ์ระหว่างเมืองของเราและเมืองนครฯ ทำให้หลายสิ่งหลายอย่างขาดการถ่ายทอดต่อไป...”
“รวมถึงอักขระภาษาที่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในสมัยองค์พ่อขุนพระยาลิไทหรือขอรับ”

“ถูกต้อง... ท่านดูนี่สิ” อาลักษณ์หลวงคลี่หนังสือข้ามเมืองในมือออกแสดงให้ดู “ไม่มีตัวอักขระ “ไม้ผัด” ปรากฏอยู่ในที่ใดเลย หากแต่ยังคงใช้พยัญชนะสะกดซ้ำ ๒ ตัว... และตัว “ญ” ก็ยังคงเขียนเป็นเส้นเดียวม้วนปลายท้าย มิได้เพิ่ม “เชิง” ที่มีรูปคล้ายไม้ผัดอยู่ด้านล่าง... อีกทั้งยังคงมีการใช้ “สระลอย” ที่ยกเลิกไปแล้วอยู่”

“เป็นจริงดังท่านว่า... แต่นี่จะเป็นข้อยืนยันได้หรือไม่ว่าเจ้าหนุ่มคนนี้มาจากกองช่างหลวงเมืองนครฯ”
“คงไม่ได้แน่... ในกองอาลักษณ์คงมิมีผู้ใดจะสามารถยืนยันตราสัญลักษณ์ประจำกองช่างหลวงเมืองนครฯ ได้... บางทีท่านอาจต้องลองไปพบคนผู้หนึ่ง”
“ใครหรือขอรับ”

“ปู่หลวง”



---------------------------------------

แสงพรายถูกกุมตัวตั้งแต่ช่วงสายจนถึงบ่าย ช่วงเที่ยงมีคนเอาอาหารมาเลี้ยงดู ส่วนตัวนายกองด่านในเข้าไปในวังตั้งแต่ได้ยินชื่อ “แสงคำ สำนักบ้านเงินบ้านทอง” ทิ้งให้ตัวผู้ช่วยนายกองดำเนินกิจกรรมต่างๆ ไป

เสียงม้าควบมาจากทิศด้านใต้ ก่อนจะชะลอหยุดลงหน้าศาลา บัดนี้บ่ายคล้อยจนเงาหลังคาศาลาทาบไปบนถนน คลุมลงบนตัวม้าตัวคนที่หยุดอยู่ด้านหน้า ทหารสองคนรีบเข้าไปประกบรับจับคอม้า

ท่านนายกองด่านในลงจากหลังม้า ตรงเข้าหาแสงพรายที่นั่งอยู่มุมด้านในของศาลา
“เราไปตรวจตราประทับของเจ้าแล้ว ทั้งป้ายเมืองนครศรีธรรมราชและจดหมายข้ามเมืองถูกต้อง”

แสงพรายลุกขึ้นยืนช้าๆ จัดแจงเสื้อผ้าเหมือนพร้อมจะจากไป
ท่านนายกองเห็นกิริยาที่คล้ายไม่ยินดีต่อสิ่งใด อดกล่าวมิได้
“เจ้าไม่อยากรู้หรือว่าเราไปให้ผู้ใดตรวจสอบป้ายประจำตัวกองช่างหลวงของเจ้า”

แสงพรายมองหน้านายกองนิ่งอยู่ คล้ายยินดีรับฟัง แต่ไม่คล้ายอยากเอ่ยปากถาม นายกองด่านในจึงกล่าวว่า
“เรานำป้ายไปให้อาลักษณ์หลวง ในสังกัดขุนวังตรวจสอบ... ป้ายมีสองด้าน ท่านอาลักษณ์หลวงพอจะยืนยันด้านหลังที่เป็นตราเมืองนครศรีธรรมราช แต่ด้านหน้าที่มีชื่อเจ้า พร้อมตรากองช่างหลวง ไม่มีผู้ใดในกองอาลักษณ์กล้าจะยืนยัน... โชคดีที่มีคนสามารถยืนยันตราประทับนั้นได้”

นายกองเห็นแสงพรายมีทีท่าคล้ายไม่สนใจ จึงเปลี่ยนไปกล่าวสั่งผู้ช่วยกอง
“ท่านช่วยจดลงบันทึก รายการของผู้เข้าเมืองด้วย...”

เมื่อผู้ช่วยเตรียมสมุดกำกับรายชื่อคนเข้าเมืองพร้อมจดแล้ว นายกองจึงบอกรายละเอียดของชายหนุ่มให้บันทึกลงไป... ทั้งชื่อของแสงพราย อายุ รูปร่างลักษณะ ตำหนิแผลเป็นบนร่าง และตราสำคัญติดตัว ครั้นเสร็จแล้วจึงเป็นส่วนของเมืองสุโขทัย...
“ที่พำนักภายในเมือง สำนักบ้านเงินบ้านทอง... ผู้รับประกัน ท่านแสงคำ”

แสงพรายที่เงียบขรึมตลอดมา พลันเลิกคิ้วเข้ม ถามขึ้น
“ท่านรู้ได้อย่างไรว่าท่านแสงคำจะรับประกันข้าพเจ้า และให้พำนักด้วย”

ใบหน้านายกองด่านในปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย คล้ายกับพึงพอใจที่ทำให้แสงพรายเปิดปากถามขึ้นมาได้ คนเราเมื่อทำสิ่งใดให้กับผู้คนก็มักต้องการให้คนผู้นั้นสนใจตอบ นายกองวิ่งตะลอนม้าอยู่ครึ่งวันเพราะเรื่องของแสงพราย มาบัดนี้เจ้าหนุ่มแสดงกิริยาหาได้อาทรร้อนใจ ย่อมขัดใจอยู่... เมื่อเจ้าหนุ่มเอ่ยถามถึงความนัย จึงรู้สึกสบใจขึ้นมาบ้าง

“เพราะเราไปพบท่านปู่หลวงแสงคำมาแล้ว... และเขาเป็นคนเดียวที่ยืนยันตรากองช่างหลวงของเจ้าได้”
สีหน้าแสงพรายแปลกใจ จนอดพึมพำมิได้
“ท่านแสงคำเคยเห็นตรากองช่างหลวงหรือ”

“เคย.. ท่านบอกว่าหลายปีก่อน สมัยพี่ชายของท่านลาราชการจากเมืองนครฯ มาเยี่ยมเมืองเหนือ เคยนำตรานี้ให้ท่านดู และท่านได้ทำพิมพ์ประทับไว้เป็นที่ระลึก”
“ท่านแสงคำยินดีให้ข้าพเจ้าไปพำนักด้วยแล้วหรือ”
ท่านนายกองเพียงพยักหน้าเป็นเชิงตอบรับ แล้วกล่าว
“ท่านรีบไปเถิด ท่านปู่หลวงรอท่านอยู่”

“ท่านปู่หลวงหรือ”
“ใช่ ท่านเป็นหัวหน้าสำนักบ้านเงินบ้านทองมาช้านาน มีผลงานสร้างวัดวาอารามมากมาย สิ่งที่ชาวเมืองเคารพกราบไหว้ส่วนใหญ่ก็เป็นฝีมือของท่าน คนในเมืองนี้ต่างเคารพยกย่องท่าน จึงเรียกท่านว่า ปู่หลวง”

แสงพรายย่อมไม่นึกว่าบุคคลที่ตนมาหาจะเป็นที่เคารพรักของชาวเมืองมากขนาดนี้ จึงไม่แปลกใจที่นายกองด่านในมีท่าทีดีต่อตนมากขึ้นหลังจากไปพบ “ปู่หลวง” มา

“เจ้าหนุ่มเอย เราต้องขอโทษที่กักกันเจ้าไว้นาน สภาพของสุโขทัยตอนนี้อยู่ในยามศึก.. ผู้คนจะเข้าออกเมือง หากเป็นชาวต่างถิ่นแปลกหน้าต้องไล่ดูสักเลก ลงบันทึกพร้อมหาตัวคนยืนยันรับไว้ในประกัน ตัวเจ้าไม่มีสักเลกยิ่งต้องระมัดระวัง เกรงจะเป็นไส้ศึก”

“มิเป็นไรหรอก ท่านนายกอง... กลับเป็นท่านที่ช่วยเจรจาให้ “ปู่หลวง” รับข้าไปพำนักด้วย”
ทั้งสองยิ้มแย้มด้วยไมตรีที่ดีต่อกัน ต่อจากนั้นนายกองเรียกบริวารมา กำชับให้เร่งพาแสงพรายไปส่งที่สำนักบ้านเงินบ้านทอง

ศาลานายด่านในปลูกอยู่ริมถนนพระร่วงฝั่งทิศตะวันตก ด้านหลังชิดติดคูแม่โจน ซึ่งเป็นคูน้ำล้อมรอบวัดพระพายหลวง ด้านซ้ายของตัวศาลาคือคลองร่องปลาไหลที่ตัดเชื่อมย่านเตาทุเรียง (เตาเผาถ้วยชามสังคโลก) และตลาดปสานสู่ลำน้ำแม่ลำพัน ตัวศาลาจึงหันหน้าเข้าหาตลาดปสานที่อยู่ฝั่งทิศตะวันออกของถนนพระร่วง

บริวารผู้นำทางพาแสงพรายเดินเลียบริมฝั่งคูแม่โจนเพราะปลอดคนมากกว่าฝั่งตรงข้ามที่มีผู้คนจอแจ ขนข้าวของเข้าออกตลาด แต่กระนั้นก็ยังต้องคอยหลบเกวียนที่บรรทุกสินค้าแย่งเส้นทางไปมาตลอด

“เทียบกับเมืองนครฯ ของท่านแล้ว ตลาดที่นั่นเป็นอย่างไร” ตัวบริวารเอ่ยถามเมื่อเห็นแสงพราย จับจ้องสนใจในความคึกคักของตลาดปสาน
“คึกคักกว่ามาก แต่ก็แตกต่างกัน”
“อ๋อ.. เป็นอย่างไรหรือท่าน”

“เมืองนครฯ เป็นเมืองท่า ความคึกคักจึงอยู่ที่ท่าริมฝั่งทะเลยามมีเรือแล่นเข้าออก เมื่อสินค้าลำเลียงออกไปแล้ว ก็ไปเก็บสะสมพักไว้ในโรงพักสินค้า ผู้จะมาซื้อขายก็ต้องไปแต่ละโรงพัก.. คนค้าขายจึงกระจัดกระจายกันไป
...แต่ที่นี่คล้ายรวมทั้งหมดมาอยู่แหล่งเดียว และคึกคักตลอดทั้งวัน”

“นี่ท่านรู้ไหม พ่อข้าเล่าให้ฟังว่าสมัยก่อนตลาดปสานคึกคักมากกว่านี้หลายเท่า.. ทั้งจีนมอญแขก เข้ามาแลกเปลี่ยนค้าขายกันที่นี่แหล่งเดียว” แล้วคนนำทางก็เปลี่ยนเรื่องถามด้วยความใคร่อยากรู้อีกว่า
“เออ จริงสิ ท่านมาจากเมืองนครฯ ย่อมผ่านอโยธยา... การค้าที่นั่นเห็นว่าคึกคักนัก เทียบกันแล้วเป็นอย่างไร”

“อโยธยาหรือ...” แสงพรายพึมพำ ก่อนตอบไปตามตรง ซึ่งชาวสุโขทัยคงไม่ยินดีนัก

ท่าเรือสำเภาตรงข้ามวัดพระนางเชิงมีเรือขนถ่ายสินค้าเข้าออกมากมาย มากกว่าเมืองนครฯ และเมืองท่าใดๆ ในแหลมสุวรรณภูมิ... นอกจากแยกสินค้าเข้าสู่โรงพัก ยังเปิดตลาดซื้อขายทั่วไปหลายแห่งรอบพระนคร.... รวมแล้วคึกคักกว่าตลาดปสานในปัจจุบันมากนัก

(มีต่อ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่