เมื่อพูดถึงสมองเสื่อม หลายคนคงจะนึกถึงโรคอัลไซเมอร์ที่พบเห็นกันบ่อยตามหนังตามละครใช่ไหมคะ
แต่เมื่อจิตแพทย์วินิจฉัยว่าแม่ของเราเป็นสมองเสื่อมและ BPSD ซึ่งไม่ค่อยได้ยินกัน
จึงอยากแชร์ประสบการณ์การพาแม่ไปพบจิตแพทย์ให้เพื่อนๆ ฟังกันค่ะ
จากการหาข้อมูลเบื้องต้นนั้น BPSD หรือ Behavioral and Psychological Symptoms of Dementia
“เป็นปัญหาด้านพฤติกรรม อารมณ์และจิตใจในผู้ป่วยสมองเสื่อม (Dementia) ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพชีวิต
ผู้ป่วยสมองเสื่อมและผู้ดูแลเป็นอย่างมาก”
(ซึ่งรายละเอียดของโรคที่เป็นประโยชน์หาอ่านได้ตาม Link นี้ค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ https://www.facebook.com/ThaiPsychiatricAssociation/photos/a.499791366791551.1073741828.483246708446017/543396499097704/
https://www.doctor.or.th/clinic/detail/7450
https://www.gotoknow.org/posts/624866
)
ข้อมูลทั่วไปของแม่เป็นผู้สูงอายุวัย 60 กว่าปี เป็นคนไม่ชอบอยู่เฉย ชอบเดินทางไปไหนมาไหนตลอดเวลา
เครียดง่าย พักหลังๆ อารมณ์ไม่ดีบ่อยขึ้น เริ่มมีอาการหลงผิด เก็บตัวไม่พูดไม่จา คิดว่ามีคนคอยดักฟัง
และจะมาทำร้าย ซึ่งเราไม่เชื่อ คิดว่าแม่มีอาการทางจิตและอาจจะมีสมองเสื่อมด้วยเนื่องจากชอบขี้หลงขี้ลืม
แต่แม่ไม่ยอมไปหาหมอตามที่เราบอกจนทำให้แม่ลูกทะเลาะกันบ่อยๆ เราทุกข์ใจมาก
จนกระทั่งวันหนึ่งเหมือนสวรรค์ประทานพร เมื่อแม่คุยกับแพทย์ที่รักษาโรคประจำตัวว่าจะจ้างนักสืบ
มาจับคนที่มาทำร้ายแก แม่จึงถูกส่งตัวไปปรึกษาที่แผนกจิตเวช โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง
เมื่อนำประวัติไปถึง พยาบาลที่แผนกจิตเวชก็ออกใบนัดให้มาพบที่ห้องตรวจในช่วงเช้า
คิวนัดที่ได้เร็วที่สุดคือ 3 สัปดาห์ถัดไป เมื่อถึงวันนัด เวลา 8 โมงเช้า ผู้ป่วยใหม่จะต้องเข้าไปวางบัตร
รอเรียกวัดความดัน และชั่งน้ำหนัก สักพักพยาบาลจะเรียกผู้ป่วยใหม่เข้าไปกรอกประวัติใหม่ ได้แก่
ประวัติทั่วไป อาการที่มาปรึกษาแพทย์ โรคทางกายและทางใจ
และประวัติการรักษาที่โรงพยาบาลอื่น (ถ้ามี) ข้อมูลของพ่อแม่ พี่น้องในครอบครัวของผู้ป่วยใหม่ทั้งหมด
เมื่อถึงเวลาประมาณ 9 โมงพยาบาลจะเรียกเข้าไปห้องซักประวัติ สอบถามอาการผู้ป่วยและญาติ
จากนั้นจึงให้ออกมารอเรียกเข้าพบแพทย์ เนื่องจากแพทย์ต้องตรวจผู้ป่วยเก่าก่อน กว่าจะเรียกผู้ป่วยใหม่
และแม่เข้าไปตรวจก็เลยเวลาเที่ยงไปเกือบจะบ่ายโมง
พอเข้าไปในห้องตรวจ หมอก็จะซักประวัติอีก หมอถามแม่ว่า “มาด้วยเรื่องอะไร มีอะไรให้หมอช่วยไหม”
แม่ก็ตอบไปว่า “ไม่ได้เป็นอะไร หมอให้แม่มาแม่ก็มา” เราจึงเล่าปัญหาเรื่องแม่เครียด เรื่องนอนไม่หลับ
เรื่องหลงลืมให้หมอฟัง จากนั้นหมอให้แม่ทำแบบทดสอบ 2 ชุด สังเกตได้ว่าแม่มีปัญหาเรื่องสมาธิ
ลบเลข 7 ออกจาก 100 ต่อกันไม่ได้ (แม่น่าจะมีปัญหาสมาธิมานานแล้วด้วย เช่น
ดูหนังดูละครไม่เข้าใจต้องถามบ่อยๆ รอคิวนานๆ ไม่ได้ เป็นต้น)
มีปัญหาความจำ นับเลขถอยหลัง หรือจำชุดคำศัพท์ที่หมอบอกให้จำหลังจากผ่านไป 5 นาทีไม่ได้
มีปัญหาภาษา เช่น ตอบไม่ตรงคำถาม หมอถามว่าเหมือนกันอย่างไร แม่ก็จะตอบว่าต่างกันอย่างไร
นึกคำที่ขึ้นต้นด้วย ก.ไก่ ตามเงื่อนไขได้แค่ไม่กี่คำ
พอทำแบบทดสอบเสร็จ หมอนับคะแนนและแจ้งผลว่า
แม่เริ่มมีปัญหาสมองเสื่อมนะ จากนั้นหมอให้แม่ออกไปรอข้างนอก ขอคุยกับญาติเป็นการส่วนตัว
หมอถามเรื่องอาการหลงผิด ว่าแม่เห็นภาพหลอน หรือหูแว่วด้วยไหม มีปัญหาการใช้ชีวิตประจำวันทั่วไปไหม
เราก็ตอบว่าไม่มี แม่ดูแลตัวเองได้ปกติ หมอจึงอธิบายว่าอาการหลงผิด คิดว่ามีคนทำร้ายไม่น่าใช่โรคจิตเภท
แต่น่าจะเป็น BPSD ในผู้ป่วยที่เป็นสมองเสื่อม หมอจะจ่ายยาให้รับประทานวันละ 1 เม็ด
เพื่อปรับสารสื่อประสาทในสมอง ซึ่งจะต้องดูแลให้แม่ทานยาต่อเนื่อง
ต้องใช้เวลา 2-4 สัปดาห์กว่าจะเห็นผล แล้วหมอก็นัดแม่มาพบอีก 1 เดือน
พร้อมกับสั่งเจาะเลือดดูว่าขาดสารอาหารตัวไหนด้วย
จากการไปหาหมอและได้รับการทดสอบครั้งนี้ ทำให้แม่เริ่มรู้ตัวว่ามีปัญหาการคิด
หรือความจำจากที่แกทำแบบทดสอบไม่ได้ ส่วนเรื่องอารมณ์หรืออาการหลงผิด
แกก็ยังคิดว่าแกคิดถูกของแกอยู่ตลอด ไม่ใครเชื่อแก เราก็พยายามปรับตัวและทำใจ
ไม่เถียงไม่พูดโต้แย้งความคิดของแม่ แม่ให้ความร่วมมือรับประทานยา และคุยกับลูกด้วยดีขึ้น
เราได้แต่ภาวนาขอให้แม่ให้ความร่วมมือแบบนี้ไปตลอด
หากใครมีญาติพี่น้อง หรือผู้สูงอายุในครอบครัวที่สงสัยว่ามีปัญหาหลงลืม ปัญหาอารมณ์
การนอน หรือปัญหาหลงผิด หูแว่วหรือเห็นภาพหลอน อย่ารอช้า แนะนำให้รีบพาไปพบแพทย์นะคะ
จะได้ทำการวินิจฉัยและรักษาแต่เนิ่นๆ
สุดท้ายครอบครัวและกำลังใจนั้นมีความสำคัญอย่างมากต่อผู้ป่วยสมองเสื่อมจริงๆ ค่ะ
เมื่อแม่ฉันมีปัญหาพฤติกรรมและอาการทางจิตร่วมกับสมองเสื่อม (BPSD)
แต่เมื่อจิตแพทย์วินิจฉัยว่าแม่ของเราเป็นสมองเสื่อมและ BPSD ซึ่งไม่ค่อยได้ยินกัน
จึงอยากแชร์ประสบการณ์การพาแม่ไปพบจิตแพทย์ให้เพื่อนๆ ฟังกันค่ะ
จากการหาข้อมูลเบื้องต้นนั้น BPSD หรือ Behavioral and Psychological Symptoms of Dementia
“เป็นปัญหาด้านพฤติกรรม อารมณ์และจิตใจในผู้ป่วยสมองเสื่อม (Dementia) ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพชีวิต
ผู้ป่วยสมองเสื่อมและผู้ดูแลเป็นอย่างมาก”
(ซึ่งรายละเอียดของโรคที่เป็นประโยชน์หาอ่านได้ตาม Link นี้ค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ )
ข้อมูลทั่วไปของแม่เป็นผู้สูงอายุวัย 60 กว่าปี เป็นคนไม่ชอบอยู่เฉย ชอบเดินทางไปไหนมาไหนตลอดเวลา
เครียดง่าย พักหลังๆ อารมณ์ไม่ดีบ่อยขึ้น เริ่มมีอาการหลงผิด เก็บตัวไม่พูดไม่จา คิดว่ามีคนคอยดักฟัง
และจะมาทำร้าย ซึ่งเราไม่เชื่อ คิดว่าแม่มีอาการทางจิตและอาจจะมีสมองเสื่อมด้วยเนื่องจากชอบขี้หลงขี้ลืม
แต่แม่ไม่ยอมไปหาหมอตามที่เราบอกจนทำให้แม่ลูกทะเลาะกันบ่อยๆ เราทุกข์ใจมาก
จนกระทั่งวันหนึ่งเหมือนสวรรค์ประทานพร เมื่อแม่คุยกับแพทย์ที่รักษาโรคประจำตัวว่าจะจ้างนักสืบ
มาจับคนที่มาทำร้ายแก แม่จึงถูกส่งตัวไปปรึกษาที่แผนกจิตเวช โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง
เมื่อนำประวัติไปถึง พยาบาลที่แผนกจิตเวชก็ออกใบนัดให้มาพบที่ห้องตรวจในช่วงเช้า
คิวนัดที่ได้เร็วที่สุดคือ 3 สัปดาห์ถัดไป เมื่อถึงวันนัด เวลา 8 โมงเช้า ผู้ป่วยใหม่จะต้องเข้าไปวางบัตร
รอเรียกวัดความดัน และชั่งน้ำหนัก สักพักพยาบาลจะเรียกผู้ป่วยใหม่เข้าไปกรอกประวัติใหม่ ได้แก่
ประวัติทั่วไป อาการที่มาปรึกษาแพทย์ โรคทางกายและทางใจ
และประวัติการรักษาที่โรงพยาบาลอื่น (ถ้ามี) ข้อมูลของพ่อแม่ พี่น้องในครอบครัวของผู้ป่วยใหม่ทั้งหมด
เมื่อถึงเวลาประมาณ 9 โมงพยาบาลจะเรียกเข้าไปห้องซักประวัติ สอบถามอาการผู้ป่วยและญาติ
จากนั้นจึงให้ออกมารอเรียกเข้าพบแพทย์ เนื่องจากแพทย์ต้องตรวจผู้ป่วยเก่าก่อน กว่าจะเรียกผู้ป่วยใหม่
และแม่เข้าไปตรวจก็เลยเวลาเที่ยงไปเกือบจะบ่ายโมง
พอเข้าไปในห้องตรวจ หมอก็จะซักประวัติอีก หมอถามแม่ว่า “มาด้วยเรื่องอะไร มีอะไรให้หมอช่วยไหม”
แม่ก็ตอบไปว่า “ไม่ได้เป็นอะไร หมอให้แม่มาแม่ก็มา” เราจึงเล่าปัญหาเรื่องแม่เครียด เรื่องนอนไม่หลับ
เรื่องหลงลืมให้หมอฟัง จากนั้นหมอให้แม่ทำแบบทดสอบ 2 ชุด สังเกตได้ว่าแม่มีปัญหาเรื่องสมาธิ
ลบเลข 7 ออกจาก 100 ต่อกันไม่ได้ (แม่น่าจะมีปัญหาสมาธิมานานแล้วด้วย เช่น
ดูหนังดูละครไม่เข้าใจต้องถามบ่อยๆ รอคิวนานๆ ไม่ได้ เป็นต้น)
มีปัญหาความจำ นับเลขถอยหลัง หรือจำชุดคำศัพท์ที่หมอบอกให้จำหลังจากผ่านไป 5 นาทีไม่ได้
มีปัญหาภาษา เช่น ตอบไม่ตรงคำถาม หมอถามว่าเหมือนกันอย่างไร แม่ก็จะตอบว่าต่างกันอย่างไร
นึกคำที่ขึ้นต้นด้วย ก.ไก่ ตามเงื่อนไขได้แค่ไม่กี่คำ
พอทำแบบทดสอบเสร็จ หมอนับคะแนนและแจ้งผลว่า
แม่เริ่มมีปัญหาสมองเสื่อมนะ จากนั้นหมอให้แม่ออกไปรอข้างนอก ขอคุยกับญาติเป็นการส่วนตัว
หมอถามเรื่องอาการหลงผิด ว่าแม่เห็นภาพหลอน หรือหูแว่วด้วยไหม มีปัญหาการใช้ชีวิตประจำวันทั่วไปไหม
เราก็ตอบว่าไม่มี แม่ดูแลตัวเองได้ปกติ หมอจึงอธิบายว่าอาการหลงผิด คิดว่ามีคนทำร้ายไม่น่าใช่โรคจิตเภท
แต่น่าจะเป็น BPSD ในผู้ป่วยที่เป็นสมองเสื่อม หมอจะจ่ายยาให้รับประทานวันละ 1 เม็ด
เพื่อปรับสารสื่อประสาทในสมอง ซึ่งจะต้องดูแลให้แม่ทานยาต่อเนื่อง
ต้องใช้เวลา 2-4 สัปดาห์กว่าจะเห็นผล แล้วหมอก็นัดแม่มาพบอีก 1 เดือน
พร้อมกับสั่งเจาะเลือดดูว่าขาดสารอาหารตัวไหนด้วย
จากการไปหาหมอและได้รับการทดสอบครั้งนี้ ทำให้แม่เริ่มรู้ตัวว่ามีปัญหาการคิด
หรือความจำจากที่แกทำแบบทดสอบไม่ได้ ส่วนเรื่องอารมณ์หรืออาการหลงผิด
แกก็ยังคิดว่าแกคิดถูกของแกอยู่ตลอด ไม่ใครเชื่อแก เราก็พยายามปรับตัวและทำใจ
ไม่เถียงไม่พูดโต้แย้งความคิดของแม่ แม่ให้ความร่วมมือรับประทานยา และคุยกับลูกด้วยดีขึ้น
เราได้แต่ภาวนาขอให้แม่ให้ความร่วมมือแบบนี้ไปตลอด
หากใครมีญาติพี่น้อง หรือผู้สูงอายุในครอบครัวที่สงสัยว่ามีปัญหาหลงลืม ปัญหาอารมณ์
การนอน หรือปัญหาหลงผิด หูแว่วหรือเห็นภาพหลอน อย่ารอช้า แนะนำให้รีบพาไปพบแพทย์นะคะ
จะได้ทำการวินิจฉัยและรักษาแต่เนิ่นๆ
สุดท้ายครอบครัวและกำลังใจนั้นมีความสำคัญอย่างมากต่อผู้ป่วยสมองเสื่อมจริงๆ ค่ะ