หลังจากที่ได้เขียนกระทู้แรกไป มีกระแสตอบรับเข้ามาค่อนข้างเยอะ มีหลายคน Inbox เข้ามาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผม ทำให้ได้มุมมองอะไรอีกหลายๆอย่างเพิ่มเติม บางคนอยากให้เขียนออกมาเป็น Episode เลย และผมเห็นว่ามันเป็นเรื่องที่ดีถ้าบทความที่ผมเขียนจะเป็นประโยชน์กับคนอื่นๆ และได้มุมมองแง่คิดต่างๆที่ผมไม่เคยรู้มาก่อน วันนี้ผมขอมาเขียนต่อกับ Ep. 2 จากที่ได้เกริ่นไปใน Ep. 1 หลายๆคนก็คงจะเดาโทนของเนื้อเรื่องได้ว่าผมจะมาพูดเกี่ยวกับอุปสรรคของการไปเที่ยวในแต่ละรอบว่ามีอะไรบ้าง “การลางาน” ในฐานะที่ผมเคยเป็นทั้งเจ้านาย และลูกน้องมาก่อน วันนี้เลยจะมาพูดถึงในมุมมองที่เป็นประเด็นยอดฮิตเลยก็ว่าได้สำหรับการลางานที่หลายๆคนอาจจะมีคำถามว่าทำไมถีงใช้สิทธิลาพักร้อนมันถึงยากเย็นเหลือเกิน ทั้งๆที่ตัวเองก็มีสิทธิที่จะลางาน ปัญหานั้นก็มีได้หลายสาเหตุด้วยกัน
ย้อนไปปี 2015 มีหนังไทยอยู่เรื่องนึงที่เป็นกระแส ซึ่งหลายๆคนคงได้ดูกันแล้วกับหนังเรื่อง Freelance ที่นำแสดงโดย ใหม่ ดาวิกา และซันนี่ นั่นเอง Tagline ของหนังเรื่องนี้สะดุดใจผมมาก “ฟรีแลนซ์ ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ” ตอนที่ภาพยนตร์ฉายออกมานั้นได้สะท้อนอะไรหลายๆอย่างให้คนได้เห็นถึงความยากลำบากของชีวิต จะว่าไปคงไม่ใช่แค่ฟรีแลนซ์ แต่อาจจะรวมถึงพนักงานประจำหลายๆบริษัทหลายๆองค์กรที่หัวหน้ามักจะไม่ค่อยพอใจเวลาลูกน้องมาขอลางาน หรือลางานยากมาก ในเคสนี้ผมขอพูดถึงทั้ง 2 มุมมองด้วยกัน
มุมมองแรก ‘ลูกน้อง’
“ลางานหลายวันไม่ได้ แต่ทำไมเจ้านายลากันเป็นอาทิตย์ๆ”
“ทำไมเราลาไม่ได้ แล้วเพื่อนอีกคนมันลาหยุดกันบ่อยเกิ้นนน”
“ไปลางานทีไรเจ้านายก็ทำหน้าเหวี่ยง”
“แค่ลางานไม่ได้ไปทำให้ใครเสียหาย”
คำถามมากมายเหล่านี้วนเวียนอยู่ในหัวผมตลอดเวลา สมัยก่อนตอนที่พึ่งเรียนจบมาใหม่ๆ ด้วยความที่เป็นเด็ก และอยู่ในวัยที่กำลังมั่นใจในตัวเองสูง ผมก็เคยโกรธ และไม่เข้าใจหัวหน้าอยู่บ่อยครั้ง บางครั้งก็หงุดหงิดง่าย จู้จี้ขี้บ่น ตวาดใส่ ไม่มีโอที จะลางานทั้งทีต้องเครียดเหมือนไปทำไรผิดมาทั้งๆที่วันลาก็เหลือ ความคิดมากมายกระหน่ำเข้ามาในหัว...ทำไมต้องมาทนทำอะไรแบบนี้วะ และความคิด ‘อยากลาออก’ มีอยู่ในหัวตลอดเวลา ถึงขั้นเก็บเอาไปฝัน ตื่นขึ้นมายังคิดว่าลาออกไปแล้วจริงๆ หลังๆนั้นเวลาผมขอลาหยุดผมเลยแก้ปํญหาง่ายๆด้วยการโกหก ขู่ และใช้เล่ห์เหลี่ยม เลยอยากมาเล่าวีรกรรมแสบๆของผมในวัยเด็กนิดนึง
แน่นอนว่าใครๆก็ชอบท่องเที่ยว และผมก็เป็นหนึ่งในนั้น ตอนนั้นผมทำงานอยู่ที่ออฟฟิศแห่งหนึ่ง เพื่อนๆต่างชวนไปเที่ยว แต่ที่ออฟฟิศมีงานเยอะมาก และช่วงนั้นติดงานสำคัญพอดี คำตอบของผมก็คือ ไม่ ! เนื่องจากมันเป็นงานสำคัญ ที่อยากเคลียให้เสร็จก่อน เพราะเพื่อนร่วมงานคนอื่นมีงานที่ต้องทำเยอะ ไม่มีใครสามารถมาทำแทนได้
หลังจากนั้นไม่นานก็มีเพื่อนอีกกลุ่มมาชวนไปเที่ยว ซึ่งเป็นโอกาสเหมาะ เพราะว่างานที่กล่าวไปข้างต้นใกล้เสร็จแล้ว ผมจึงตอบตกลงกับเพื่อนกลุ่มนี้ไป เพราะผมถือคติมาตลอดว่าอยากมี Worklife Balance ที่ดี ระหว่างเวลาทำงาน และเวลาส่วนตัว
เมื่อตอบตกลงกับเพื่อนแล้ว ผมเข้าไปคุยกับหัวหน้า เพื่อขอลาหยุดงาน เรื่องราวทุกอย่างผ่านไปด้วยดี หัวหน้าอนุมัติให้ลาหยุดได้
กลับบ้านไปด้วยความรู้สึกตื่นเต้นมากเพราะที่ผ่านมาเราไม่ได้เที่ยวมาเป็นเวลาค่อนข้างนาน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมีงานเข้ามาตลอด
แต่ๆๆๆ .... ความซวยมันบังเกิดตรงที่ว่าวันสุดท้ายก่อนบิน ไม่รู้อะไรดลใจให้หัวหน้าผมเรียกเข้าไปคุย ซึ่งระหว่างทางเดินเข้าไป ผมรู้สึกได้ถึงรังสีอำมหิตที่แผ่ออกมาจากห้องของเจ้านาย เคาะประตู 2-3 ที ก็เปิดเข้าไปแล้วเดินไปนั่ง เงยขึ้นมาพบเจ้านายที่สีหน้ากำลังดูตึงเครียด พร้อมที่จะระเบิดทุกอย่างที่อยู่ในห้องนี้ ใจผมเต้นรัวมาก
“ซวยแน่กู”
ความคิดนี้วิ่งเข้ามาในหัว
“ใครให้คุณลางาน ?”
“ผมไม่ให้คุณไป”
หัวหน้าได้เอ่ยขึ้นมา หลังจากจ้องตากันอยู่พักใหญ่
ในใจผมตอนนั้นก็ช๊อคมาก ทำไมพูดแบบนี้ แล้วที่ตอนนั้นบอกให้ไปคืออะไร แล้วถ้าเราไปไม่ได้ เพื่อนอีกคนก็คงไม่ไปเท่ากับว่าเราเสียเงินไป 4-5 หมื่น ฟรีๆ ผมรู้สึกโกรธมาก โกรธจนอยากจะตะโกนออกไปว่าขอลาออก
แต่ท้ายที่สุดสิ่งที่ผมตัดสินใจทำคือการตั้งสติ และร้องไห้ .. ใช่แล้วครับ ร้องไห้ คุณฟังไม่ผิดหรอก ผมต้องการร้องไห้ เพื่อให้เขาเห็นว่าสิ่งที่ทำอยู่นี่ไม่ถูกนะ และต้องการให้เขาเสียความมั่นใจ เพราะการที่ผู้ชายร้องไห้มันไม่ใช่เรื่องที่เห็นได้บ่อยๆ
เป็นไปตามคาด...หัวหน้าผมมีสีหน้าตกใจทันทีที่เห็นผมร้องไห้
“งานสำคัญที่ผมได้รับมอบหมายมาผมทำเสร็จหมดทุกอย่างแล้ว และในช่วงที่ผมไม่อยู่หากมีงานเข้ามา ในออฟฟิศยังมี Workload ไม่ได้เยอะขนาดนั้น และมีคนมากพอที่จะรับมือได้”
ผมรีบพูดขึ้นไปทันทีก่อนที่หัวหน้าจะตั้งตัวได้
“และที่ผ่านมาหัวหน้าลองดู Performance การทำงานของผมก่อนได้”
ผมพูดเสริมขึ้นไปอีก เพื่อให้เขาเห็นภาพว่ามันไม่มีผลเสียต่อบริษัทช่วงที่เราไม่อยู่ หลังจากที่หัวหน้าผมใช้เวลาครุ่นคิดซักพัก ก็พูดขึ้นมา
“โอเค ผมให้คุณลาหยุดก็ได้”
ตอนนั้นผมรู้สึกสับสนมากว่าจริงๆแล้วสิ่งที่เราต้องการมันไม่ใช่แค่ลาหยุดงานเพื่อไปเที่ยว แต่เราต้องการให้เขาเคารพถึงสิทธิของเราด้วย ถ้าหากการกระทำของผมมันไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายใดๆแก่บริษัท และสิ่งที่ผมอยากบอกทุกคนคือ เมื่อเรารู้ว่าหัวหน้าเราเป็นคนยังไง ควรอ่านเกมส์ให้ออก บางทีการใช้เล่ห์เหลี่ยมเพื่อรับมือกับเขาไม่ใช่สิ่งที่ผิด แค่เราต้องรักษาสิทธิของเราไว้เท่านั้นเอง
มุมมองสอง ‘เจ้านาย’
หลังจากที่ผ่านช่วงวัยเด็กมา ผมได้ตกผลึกอะไรหลายๆอย่าง เวลาทำงาน หรือไปขอลางาน หลายๆคนอาจจะมองว่าทำไมเจ้านายฉันใจร้าย ซึ่งจริงๆแล้วในฐานะที่เป็นเจ้านาย หน้าที่คือการรักษาผลประโยชน์ให้บริษัทมากที่สุด โดยคำนึงถึงลูกน้องด้วย เพราะผมเคยเห็นบางคนลูกน้องไม่สบายมาขอลา ก็จะให้ลูกน้องมาทำงานให้ได้ อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แต่หลายๆเคสที่ผมเจอคือ การลาหยุดยาวโดยแจ้งล่วงหน้าแปบเดียว, ลาหยุดงานทับซ้อนกับเพื่อนร่วมงานคนอื่น, มีงานใหญ่กำลังเข้ามาแล้วเพิ่งมีแพลนจะลาหยุด ฯลฯ ในมุมมองของผม ผมว่าเจ้านายหลายๆคนไม่ได้ใจร้ายใจดำกับลูกน้องมากขนาดนั้น แค่เพียงคุณต้องดูความเหมาะสม และมีเหตุผลมากพอที่จะลางาน ให้ไม่มีผลกระทบเสียหายต่อบริษัท หลายๆเคสที่ผมได้เล่ามา หวังว่าคงจะเข้าใจเจ้านายกันมากขึ้นนะครับ
ความที่เคยเป็นเด็กก็ลองผิดลองถูกมาเยอะพอสมควร แต่ด้วยเวลาที่ผ่านไปทำให้มีความคิดที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น และใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์ ซึ่งหลังๆเวลาผมไปขอเจ้านายลางาน แล้วเจ้านายมีปัญหา ก็จะโชว์ให้เค้าเห็นเลยว่า งานคืบหน้ามากแค่ไหน ละช่วงที่ลางานคือเคลียงานเสร็จหมดแล้ว ให้คนอื่นมาช่วยดูแลต่อได้ ส่วนตัวผมไม่คิดว่ามีวิธีไหนถูกหรือผิด รวมไปถึงเรื่องของการโกหกแบบ White Lie หลายๆคนมักจะพูดว่าการโกหกเป็นเรื่องที่ไม่ดี แต่ผมไม่เห็นด้วย คงไม่มีใครกล้าพูดได้เต็มปากว่าไม่เคยโกหกมาก่อนในชีวิต เพราะการโกหกเปรียบเสมือนดาบสองคม ขึ้นอยู่กับว่าเราจะใช้มันในรูปแบบไหน สุดท้ายแล้วผมอยากฟังความคิดเห็นจากทุกคนนะครับ และพร้อมรับฟังทุกความคิดเห็น เพราะอยากเห็นมุมมองใหม่ๆมากขึ้น อยากให้มาแลกเปลี่ยนกันว่าใครเคยเจออุปสรรคอะไรกันบ้างตอนลางาน และแก้ไขปัญหากันอย่างไร รวมไปถึงวีรกรรมเด็ดที่คุณเคยทำมาก็ได้เช่นกันครับ
ส่วนอันนี้เป็น EP.1 ที่ผมได้เขียนไว้ก่อนหน้านะครับ
https://pantip.com/topic/37525404
แค่ “ลางานเที่ยว” จะอะไรนักหนา !
ย้อนไปปี 2015 มีหนังไทยอยู่เรื่องนึงที่เป็นกระแส ซึ่งหลายๆคนคงได้ดูกันแล้วกับหนังเรื่อง Freelance ที่นำแสดงโดย ใหม่ ดาวิกา และซันนี่ นั่นเอง Tagline ของหนังเรื่องนี้สะดุดใจผมมาก “ฟรีแลนซ์ ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ” ตอนที่ภาพยนตร์ฉายออกมานั้นได้สะท้อนอะไรหลายๆอย่างให้คนได้เห็นถึงความยากลำบากของชีวิต จะว่าไปคงไม่ใช่แค่ฟรีแลนซ์ แต่อาจจะรวมถึงพนักงานประจำหลายๆบริษัทหลายๆองค์กรที่หัวหน้ามักจะไม่ค่อยพอใจเวลาลูกน้องมาขอลางาน หรือลางานยากมาก ในเคสนี้ผมขอพูดถึงทั้ง 2 มุมมองด้วยกัน
มุมมองแรก ‘ลูกน้อง’
“ลางานหลายวันไม่ได้ แต่ทำไมเจ้านายลากันเป็นอาทิตย์ๆ”
“ทำไมเราลาไม่ได้ แล้วเพื่อนอีกคนมันลาหยุดกันบ่อยเกิ้นนน”
“ไปลางานทีไรเจ้านายก็ทำหน้าเหวี่ยง”
“แค่ลางานไม่ได้ไปทำให้ใครเสียหาย”
คำถามมากมายเหล่านี้วนเวียนอยู่ในหัวผมตลอดเวลา สมัยก่อนตอนที่พึ่งเรียนจบมาใหม่ๆ ด้วยความที่เป็นเด็ก และอยู่ในวัยที่กำลังมั่นใจในตัวเองสูง ผมก็เคยโกรธ และไม่เข้าใจหัวหน้าอยู่บ่อยครั้ง บางครั้งก็หงุดหงิดง่าย จู้จี้ขี้บ่น ตวาดใส่ ไม่มีโอที จะลางานทั้งทีต้องเครียดเหมือนไปทำไรผิดมาทั้งๆที่วันลาก็เหลือ ความคิดมากมายกระหน่ำเข้ามาในหัว...ทำไมต้องมาทนทำอะไรแบบนี้วะ และความคิด ‘อยากลาออก’ มีอยู่ในหัวตลอดเวลา ถึงขั้นเก็บเอาไปฝัน ตื่นขึ้นมายังคิดว่าลาออกไปแล้วจริงๆ หลังๆนั้นเวลาผมขอลาหยุดผมเลยแก้ปํญหาง่ายๆด้วยการโกหก ขู่ และใช้เล่ห์เหลี่ยม เลยอยากมาเล่าวีรกรรมแสบๆของผมในวัยเด็กนิดนึง
แน่นอนว่าใครๆก็ชอบท่องเที่ยว และผมก็เป็นหนึ่งในนั้น ตอนนั้นผมทำงานอยู่ที่ออฟฟิศแห่งหนึ่ง เพื่อนๆต่างชวนไปเที่ยว แต่ที่ออฟฟิศมีงานเยอะมาก และช่วงนั้นติดงานสำคัญพอดี คำตอบของผมก็คือ ไม่ ! เนื่องจากมันเป็นงานสำคัญ ที่อยากเคลียให้เสร็จก่อน เพราะเพื่อนร่วมงานคนอื่นมีงานที่ต้องทำเยอะ ไม่มีใครสามารถมาทำแทนได้
หลังจากนั้นไม่นานก็มีเพื่อนอีกกลุ่มมาชวนไปเที่ยว ซึ่งเป็นโอกาสเหมาะ เพราะว่างานที่กล่าวไปข้างต้นใกล้เสร็จแล้ว ผมจึงตอบตกลงกับเพื่อนกลุ่มนี้ไป เพราะผมถือคติมาตลอดว่าอยากมี Worklife Balance ที่ดี ระหว่างเวลาทำงาน และเวลาส่วนตัว
เมื่อตอบตกลงกับเพื่อนแล้ว ผมเข้าไปคุยกับหัวหน้า เพื่อขอลาหยุดงาน เรื่องราวทุกอย่างผ่านไปด้วยดี หัวหน้าอนุมัติให้ลาหยุดได้
กลับบ้านไปด้วยความรู้สึกตื่นเต้นมากเพราะที่ผ่านมาเราไม่ได้เที่ยวมาเป็นเวลาค่อนข้างนาน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมีงานเข้ามาตลอด
แต่ๆๆๆ .... ความซวยมันบังเกิดตรงที่ว่าวันสุดท้ายก่อนบิน ไม่รู้อะไรดลใจให้หัวหน้าผมเรียกเข้าไปคุย ซึ่งระหว่างทางเดินเข้าไป ผมรู้สึกได้ถึงรังสีอำมหิตที่แผ่ออกมาจากห้องของเจ้านาย เคาะประตู 2-3 ที ก็เปิดเข้าไปแล้วเดินไปนั่ง เงยขึ้นมาพบเจ้านายที่สีหน้ากำลังดูตึงเครียด พร้อมที่จะระเบิดทุกอย่างที่อยู่ในห้องนี้ ใจผมเต้นรัวมาก
“ซวยแน่กู”
ความคิดนี้วิ่งเข้ามาในหัว
“ใครให้คุณลางาน ?”
“ผมไม่ให้คุณไป”
หัวหน้าได้เอ่ยขึ้นมา หลังจากจ้องตากันอยู่พักใหญ่
ในใจผมตอนนั้นก็ช๊อคมาก ทำไมพูดแบบนี้ แล้วที่ตอนนั้นบอกให้ไปคืออะไร แล้วถ้าเราไปไม่ได้ เพื่อนอีกคนก็คงไม่ไปเท่ากับว่าเราเสียเงินไป 4-5 หมื่น ฟรีๆ ผมรู้สึกโกรธมาก โกรธจนอยากจะตะโกนออกไปว่าขอลาออก
แต่ท้ายที่สุดสิ่งที่ผมตัดสินใจทำคือการตั้งสติ และร้องไห้ .. ใช่แล้วครับ ร้องไห้ คุณฟังไม่ผิดหรอก ผมต้องการร้องไห้ เพื่อให้เขาเห็นว่าสิ่งที่ทำอยู่นี่ไม่ถูกนะ และต้องการให้เขาเสียความมั่นใจ เพราะการที่ผู้ชายร้องไห้มันไม่ใช่เรื่องที่เห็นได้บ่อยๆ
เป็นไปตามคาด...หัวหน้าผมมีสีหน้าตกใจทันทีที่เห็นผมร้องไห้
“งานสำคัญที่ผมได้รับมอบหมายมาผมทำเสร็จหมดทุกอย่างแล้ว และในช่วงที่ผมไม่อยู่หากมีงานเข้ามา ในออฟฟิศยังมี Workload ไม่ได้เยอะขนาดนั้น และมีคนมากพอที่จะรับมือได้”
ผมรีบพูดขึ้นไปทันทีก่อนที่หัวหน้าจะตั้งตัวได้
“และที่ผ่านมาหัวหน้าลองดู Performance การทำงานของผมก่อนได้”
ผมพูดเสริมขึ้นไปอีก เพื่อให้เขาเห็นภาพว่ามันไม่มีผลเสียต่อบริษัทช่วงที่เราไม่อยู่ หลังจากที่หัวหน้าผมใช้เวลาครุ่นคิดซักพัก ก็พูดขึ้นมา
“โอเค ผมให้คุณลาหยุดก็ได้”
ตอนนั้นผมรู้สึกสับสนมากว่าจริงๆแล้วสิ่งที่เราต้องการมันไม่ใช่แค่ลาหยุดงานเพื่อไปเที่ยว แต่เราต้องการให้เขาเคารพถึงสิทธิของเราด้วย ถ้าหากการกระทำของผมมันไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายใดๆแก่บริษัท และสิ่งที่ผมอยากบอกทุกคนคือ เมื่อเรารู้ว่าหัวหน้าเราเป็นคนยังไง ควรอ่านเกมส์ให้ออก บางทีการใช้เล่ห์เหลี่ยมเพื่อรับมือกับเขาไม่ใช่สิ่งที่ผิด แค่เราต้องรักษาสิทธิของเราไว้เท่านั้นเอง
มุมมองสอง ‘เจ้านาย’
หลังจากที่ผ่านช่วงวัยเด็กมา ผมได้ตกผลึกอะไรหลายๆอย่าง เวลาทำงาน หรือไปขอลางาน หลายๆคนอาจจะมองว่าทำไมเจ้านายฉันใจร้าย ซึ่งจริงๆแล้วในฐานะที่เป็นเจ้านาย หน้าที่คือการรักษาผลประโยชน์ให้บริษัทมากที่สุด โดยคำนึงถึงลูกน้องด้วย เพราะผมเคยเห็นบางคนลูกน้องไม่สบายมาขอลา ก็จะให้ลูกน้องมาทำงานให้ได้ อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แต่หลายๆเคสที่ผมเจอคือ การลาหยุดยาวโดยแจ้งล่วงหน้าแปบเดียว, ลาหยุดงานทับซ้อนกับเพื่อนร่วมงานคนอื่น, มีงานใหญ่กำลังเข้ามาแล้วเพิ่งมีแพลนจะลาหยุด ฯลฯ ในมุมมองของผม ผมว่าเจ้านายหลายๆคนไม่ได้ใจร้ายใจดำกับลูกน้องมากขนาดนั้น แค่เพียงคุณต้องดูความเหมาะสม และมีเหตุผลมากพอที่จะลางาน ให้ไม่มีผลกระทบเสียหายต่อบริษัท หลายๆเคสที่ผมได้เล่ามา หวังว่าคงจะเข้าใจเจ้านายกันมากขึ้นนะครับ
ความที่เคยเป็นเด็กก็ลองผิดลองถูกมาเยอะพอสมควร แต่ด้วยเวลาที่ผ่านไปทำให้มีความคิดที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น และใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์ ซึ่งหลังๆเวลาผมไปขอเจ้านายลางาน แล้วเจ้านายมีปัญหา ก็จะโชว์ให้เค้าเห็นเลยว่า งานคืบหน้ามากแค่ไหน ละช่วงที่ลางานคือเคลียงานเสร็จหมดแล้ว ให้คนอื่นมาช่วยดูแลต่อได้ ส่วนตัวผมไม่คิดว่ามีวิธีไหนถูกหรือผิด รวมไปถึงเรื่องของการโกหกแบบ White Lie หลายๆคนมักจะพูดว่าการโกหกเป็นเรื่องที่ไม่ดี แต่ผมไม่เห็นด้วย คงไม่มีใครกล้าพูดได้เต็มปากว่าไม่เคยโกหกมาก่อนในชีวิต เพราะการโกหกเปรียบเสมือนดาบสองคม ขึ้นอยู่กับว่าเราจะใช้มันในรูปแบบไหน สุดท้ายแล้วผมอยากฟังความคิดเห็นจากทุกคนนะครับ และพร้อมรับฟังทุกความคิดเห็น เพราะอยากเห็นมุมมองใหม่ๆมากขึ้น อยากให้มาแลกเปลี่ยนกันว่าใครเคยเจออุปสรรคอะไรกันบ้างตอนลางาน และแก้ไขปัญหากันอย่างไร รวมไปถึงวีรกรรมเด็ดที่คุณเคยทำมาก็ได้เช่นกันครับ
ส่วนอันนี้เป็น EP.1 ที่ผมได้เขียนไว้ก่อนหน้านะครับ https://pantip.com/topic/37525404