คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 8
ที่ตอบมาข้างบน ดิฉันว่าไม่ถูกต้องซะทีเดียวนะคะ เรื่องนี้ดิฉันได้คุยกับเพื่อนๆทนายความชาวสิงคโปร์ในครั้งแรกที่ดิฉันได้ไปดูงานที่ Supreme Court สิงคโปร์ ในปี 2012 ว่า "ดิฉันรู้สึกไม่ชอบใจ และไม่สบายใจ ที่เห็นคนแก่อายุ 70+ ยังต้องมาทำงาน เก็บ Trolley ในสนามบินบ้าง เก็บจานตาม Food Court บ้าง ขับแท็กซี่บ้าง" คนแก่อายุขนาดนั้น ควรจะได้พักผ่อนแล้ว แต่คำตอบที่ดิฉันได้รับจากเพื่อนชาวสิงคโปร์ก็คือ ค่าครองชีพที่สูงในประเทศสิงคโปร์ และการไม่วางแผนสำหรับเกษียณอายุของคนสิงคโปร์ในรุ่น Pioneer Generation (รุ่นสร้างชาติ) ทำให้ต้องทำงานอยู่เรื่อยๆตลอดเวลา บางคนทำจนตาย ด้วยเหตุผลนี้ รัฐบาลสิงคโปร์ จึงออกกฎหมาย Compulsory Saving โดยบังคับให้คนสิงคโปร์ทุกคนต้องส่งเงิน 5%(หรือ 10% ดิฉันไม่แน่ใจ) ของเงินเดือน เข้ากองทุนเก็บไว้ตอนเกษียณ และเงินนี้จะใช้ไม่ได้จนกว่าจะอายุ 65 ปี (เว้นแต่เจ็บป่วย หรือซื้อบ้าน ซึ่งตรงนี้ไม่แน่ใจว่าต้องรอ 65ปี หรือไม่ ในกรณีซื้อบ้าน)
ครอบครัวชาวจีนสิงคโปร์ยังแตกต่างกับชาวไทยเชื้อสายจีนอยู่ตรงที่ ถึงแม้จะอยู่ด้วยกันเป็นลักษณะของครอบครัวขยาย แต่สำหรับดิฉันคิดว่า ในสิงคโปร์ ไม่มีความแน้นแฟ้นเหมือนครอบครัวชาวไทยเชื้อสายจีนหรือครอบครัวชาวไทย เพราะคนสิงคโปร์นั้น หากยังไม่แต่งงาน ก็ไม่มีสิทธิซื้อบ้าน (กฎหมายนี้ปัญญาอ่อนที่สุดเท่าที่ดิฉันเคยเกิดมาเจอ ไม่มีผัวนี่ไม่ต้องมีบ้านกันเลยทีเดียว) ดังนั้นการอยู่บ้านเดียวกันของชาวสิงคโปร์ เหมือนจะเป็นสถานการณ์ที่ถูกบังคับโดยสภาพแวดล้อม มากกว่าของไทยที่เป็นไปโดยความสมัครใจ ยิ่งคนไทยมีการปลูกฝังคำสอนเรื่อง Filial Piety หรือความกตัญญูต่อบุพการี ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับคนไทย บทลงโทษทางสังคมสูงและรุนแรงมากในสังคมไทยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ต่างกับสิงคโปร์ที่มีความคล้ายกับครอบครัวแบบฝรั่ง จึงทำให้เราไม่เห็นเรื่องแบบนี้มากนักในสังคมไทยปัจจุบัน
เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงทำให้คนสูงอายุของสิงคโปร์ต้องดิ้นรนอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลที่ไม่ต้องการเป็นภาระลูกหลานบ้าง หรือ สถานการณ์บังคับบ้าง ซึ่งดิฉันคิดว่านี่เป็นเรื่องน่าสลดใจอย่างยิ่งสำหรับประเทศที่เจริญที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างสิงคโปร์ หลายอย่างที่ดิฉันเคยคิดตอนทำงานใหม่ๆว่า อยากให้ประเทศไทยเอาโมเดลสิงคโปร์มาปรับใช้ทั้งหมด พอได้เข้าไปเห็นจริงๆในเชิงลึก กลับพบปัญหาที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน อย่างเช่นปัญหาผู้สูงอายุแบบนี้
เมืองไทยเองก็กำลังจะกลายเป็นสังคมผู้สูงอายุเช่นกัน หวังว่าเราจะไม่เห็นภาพแบบสิงคโปร์ในอนาคตอันใกล้สำหรับประเทศไทย
ครอบครัวชาวจีนสิงคโปร์ยังแตกต่างกับชาวไทยเชื้อสายจีนอยู่ตรงที่ ถึงแม้จะอยู่ด้วยกันเป็นลักษณะของครอบครัวขยาย แต่สำหรับดิฉันคิดว่า ในสิงคโปร์ ไม่มีความแน้นแฟ้นเหมือนครอบครัวชาวไทยเชื้อสายจีนหรือครอบครัวชาวไทย เพราะคนสิงคโปร์นั้น หากยังไม่แต่งงาน ก็ไม่มีสิทธิซื้อบ้าน (กฎหมายนี้ปัญญาอ่อนที่สุดเท่าที่ดิฉันเคยเกิดมาเจอ ไม่มีผัวนี่ไม่ต้องมีบ้านกันเลยทีเดียว) ดังนั้นการอยู่บ้านเดียวกันของชาวสิงคโปร์ เหมือนจะเป็นสถานการณ์ที่ถูกบังคับโดยสภาพแวดล้อม มากกว่าของไทยที่เป็นไปโดยความสมัครใจ ยิ่งคนไทยมีการปลูกฝังคำสอนเรื่อง Filial Piety หรือความกตัญญูต่อบุพการี ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับคนไทย บทลงโทษทางสังคมสูงและรุนแรงมากในสังคมไทยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ต่างกับสิงคโปร์ที่มีความคล้ายกับครอบครัวแบบฝรั่ง จึงทำให้เราไม่เห็นเรื่องแบบนี้มากนักในสังคมไทยปัจจุบัน
เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงทำให้คนสูงอายุของสิงคโปร์ต้องดิ้นรนอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลที่ไม่ต้องการเป็นภาระลูกหลานบ้าง หรือ สถานการณ์บังคับบ้าง ซึ่งดิฉันคิดว่านี่เป็นเรื่องน่าสลดใจอย่างยิ่งสำหรับประเทศที่เจริญที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างสิงคโปร์ หลายอย่างที่ดิฉันเคยคิดตอนทำงานใหม่ๆว่า อยากให้ประเทศไทยเอาโมเดลสิงคโปร์มาปรับใช้ทั้งหมด พอได้เข้าไปเห็นจริงๆในเชิงลึก กลับพบปัญหาที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน อย่างเช่นปัญหาผู้สูงอายุแบบนี้
เมืองไทยเองก็กำลังจะกลายเป็นสังคมผู้สูงอายุเช่นกัน หวังว่าเราจะไม่เห็นภาพแบบสิงคโปร์ในอนาคตอันใกล้สำหรับประเทศไทย
แสดงความคิดเห็น
ทำไมประเทศสิงคโปร์ในภาคธุรกิจบริการมีคนสูงอายุทำงานจำนวนมากครับ
(ซึ่งถ้าเป็นเมืองไทยจะเป็นสาวๆ สวยๆ)จนถึงภาคธุรกิจบริการร้านอาหารตามห้างมีคุณลุงมาเก็บจานเสิร์ฟอาหาร
ร้านแมคมีป้ามารับออเดอร์ ซึ่งแตกต่างจากบ้านเราที่จะเห็นเป็นเด็กอายุ 18-19 มากกว่า ประเทศไทยมีแนวโน้มจะเป็นเช่นนั้นมั๊ย
แล้วคนวัยทำงานที่สิงคโปร์ส่วนมากประกอบอาชีพอะไรครับ