วันก่อนเห็นข่าวการจัดอันดับมหาเศรษฐี แต่พอมีข่าวแบบนี้ออกมาทีไร ก็จะเห็นวาทกรรมความเหลื่อมล้ำ รวยกระจุก จนกระจาย คนรวยรวยขึ้น คนจนจนลง เกิดเป็นมหกรรมรุมด่าคนรวยขึ้นมาในฉับพลัน สร้างพฤติกรรมของสังคมแห่งความเกลียดชังกันไป
บางทีถ้าเราหันมาทำอะไรในมุมที่สร้างสรรค์บ้าง คนไทยน่าจะมีความสุขมากขึ้น และประเทศไทยน่าจะไปได้ไกลกว่านี้มั้ย
ในประเทศที่เจริญแล้ว ประชากรของเขาไม่ใส่ใจความรวยจนของคนอื่น แต่เอาเวลาไปทำงานหรือพัฒนาตนเองให้ดีขึ้น คนรวยของเขาจึงมีมากกว่าคนจน เพราะเขาตั้งหน้าตั้งตาทำงานและพัฒนาอยู่ตลอดเวลา ส่วนที่ยังจนอยู่ก็เพราะเป็นประเภทไม่ทำอะไรเลย นั่งรอนอนรอเงินสนับสนุนจากรัฐบาลหรือเงินบริจาคอย่างเดียว หรือประเภททำเท่าเดิม ในขณะที่ค่าใช้จ่ายมากขึ้น ก็เลยมีเหลือน้อยลง

หลายคนบอกว่า ประเทศไทยล้าหลังมานาน ประเทศเพื่อนบ้านแซงหน้าไปหมดแล้ว เราจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง แต่พอทำการเปลี่ยนแปลงเข้าจริง ๆ ก็จะเกิดการกระทบกระทั่งกันระหว่างความคิดเก่ากับความคิดใหม่ หรือวิถีแบบเดิม ๆ ที่ไม่ยอมรับความเปลี่ยนแปลง ก้าวไม่ทันกระแสใหม่ของโลก จนกลายเป็นความเหลือมล้ำ
ว่าไปก็เหมือนตกอยู่ในภาวะมารขาวมารดำ เพราะในขณะที่เรากำลังเข้าสู่ยุคของเทคโนโลยีครองโลก ซึ่งจะได้ยินศัพท์ยาก ๆ เกิดขึ้นใหม่ทุกวัน อย่าง บิ๊กดาต้า, IoT, crypto currency, AI

หรือในขณะที่คนรุ่นใหม่กำลังนำโดรนเข้ามาช่วยงาน ชาวออฟฟิศกำลังวิตกว่าหุ่นยนต์ ปัญญาประดิษฐ์จะมาแย่งงาน รถไฟฟ้าความเร็วสูงกำลังจะมาจอดหน้าประตูบ้าน แต่ก็ยังมีคนอีกจำนวนหนึ่ง นั่งขูดต้นไม้หาเลข เร่ไปกราบไหว้บูชาหมูหมาสองหัวเกิดใหม่อยู่เลย

วาทกรรมความเหลื่อมล้ำ จึงใช้ได้ง่ายกับบริบทของสังคมไทย โดยเฉพาะเมื่อมาจากคนที่ดูเหมือนมีตัวตนในสังคม ที่มักจะใช้วาทกรรมความเหลื่อมล้ำมาเป็นประเด็นแบ่งแยก อ้างว่าเรียกร้องความเป็นธรรม
ทางที่จะหลุดพ้นจากวงจรนี้ เราก็ต้องยอมรับก่อนมั้ยว่าเรามีปัญหา แล้วยอมรับมิติของการเปลี่ยนแปลง เงยหน้ามองโลก มองสังคมว่าเขาไปถึงไหนกันแล้ว และปรับตัวก้าวตามความเปลี่ยนแปลง แม้จะก้าวช้าไปบ้าง แต่ก็ดีกว่าจมปลักอยู่กับที่ ไม่เช่นนั้น ก็จะไม่มีวันหนีพ้นกับดักความเหลื่อมล้ำไปได้เลย
เหลื่อมล้ำ วาทกรรมทำสะดุดหยุดเจริญ
บางทีถ้าเราหันมาทำอะไรในมุมที่สร้างสรรค์บ้าง คนไทยน่าจะมีความสุขมากขึ้น และประเทศไทยน่าจะไปได้ไกลกว่านี้มั้ย
ในประเทศที่เจริญแล้ว ประชากรของเขาไม่ใส่ใจความรวยจนของคนอื่น แต่เอาเวลาไปทำงานหรือพัฒนาตนเองให้ดีขึ้น คนรวยของเขาจึงมีมากกว่าคนจน เพราะเขาตั้งหน้าตั้งตาทำงานและพัฒนาอยู่ตลอดเวลา ส่วนที่ยังจนอยู่ก็เพราะเป็นประเภทไม่ทำอะไรเลย นั่งรอนอนรอเงินสนับสนุนจากรัฐบาลหรือเงินบริจาคอย่างเดียว หรือประเภททำเท่าเดิม ในขณะที่ค่าใช้จ่ายมากขึ้น ก็เลยมีเหลือน้อยลง
หลายคนบอกว่า ประเทศไทยล้าหลังมานาน ประเทศเพื่อนบ้านแซงหน้าไปหมดแล้ว เราจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง แต่พอทำการเปลี่ยนแปลงเข้าจริง ๆ ก็จะเกิดการกระทบกระทั่งกันระหว่างความคิดเก่ากับความคิดใหม่ หรือวิถีแบบเดิม ๆ ที่ไม่ยอมรับความเปลี่ยนแปลง ก้าวไม่ทันกระแสใหม่ของโลก จนกลายเป็นความเหลือมล้ำ
ว่าไปก็เหมือนตกอยู่ในภาวะมารขาวมารดำ เพราะในขณะที่เรากำลังเข้าสู่ยุคของเทคโนโลยีครองโลก ซึ่งจะได้ยินศัพท์ยาก ๆ เกิดขึ้นใหม่ทุกวัน อย่าง บิ๊กดาต้า, IoT, crypto currency, AI
หรือในขณะที่คนรุ่นใหม่กำลังนำโดรนเข้ามาช่วยงาน ชาวออฟฟิศกำลังวิตกว่าหุ่นยนต์ ปัญญาประดิษฐ์จะมาแย่งงาน รถไฟฟ้าความเร็วสูงกำลังจะมาจอดหน้าประตูบ้าน แต่ก็ยังมีคนอีกจำนวนหนึ่ง นั่งขูดต้นไม้หาเลข เร่ไปกราบไหว้บูชาหมูหมาสองหัวเกิดใหม่อยู่เลย
วาทกรรมความเหลื่อมล้ำ จึงใช้ได้ง่ายกับบริบทของสังคมไทย โดยเฉพาะเมื่อมาจากคนที่ดูเหมือนมีตัวตนในสังคม ที่มักจะใช้วาทกรรมความเหลื่อมล้ำมาเป็นประเด็นแบ่งแยก อ้างว่าเรียกร้องความเป็นธรรม
ทางที่จะหลุดพ้นจากวงจรนี้ เราก็ต้องยอมรับก่อนมั้ยว่าเรามีปัญหา แล้วยอมรับมิติของการเปลี่ยนแปลง เงยหน้ามองโลก มองสังคมว่าเขาไปถึงไหนกันแล้ว และปรับตัวก้าวตามความเปลี่ยนแปลง แม้จะก้าวช้าไปบ้าง แต่ก็ดีกว่าจมปลักอยู่กับที่ ไม่เช่นนั้น ก็จะไม่มีวันหนีพ้นกับดักความเหลื่อมล้ำไปได้เลย