ธุรกิจโทรคมนาคมข้องใจ รบ.ลอยแพ “มือถือ” แต่อุ้ม “แบงก์” ที่มีกำไรแสนล้าน

เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม แหล่งข่าวจากวงการโทรคมนาคม กล่าวว่า หลังจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 17 เมษายนที่ผ่านมา มีมติอนุมัติมาตรการเยียวยาผู้ประกอบกิจการทีวีดิจิตอล ในการพักชำระหนี้ 3 ปี พร้อมให้สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ช่วยเหลือค่าเช่าโครงข่ายภาคพื้น 50% เป็นเวลา 2 ปี

ขณะที่มาตรการเยียวยาผู้ประกอบการโทรคมนาคม 2 ค่ายคือเอไอเอสและทรูมูฟ ที่ขอขยายเวลชำระค่างวดคลื่น 900 เมกะเฮิรตซ์ให้ระงับไว้ก่อนนั้น ทางผู้ประกอบการธุรกิจโทรคมนาคมตั้งข้อสังเกตต่อมาตรการที่รัฐออกมาล่าสุดเพื่อสนับสนุนการควบรวมกิจการหรือโอนกิจการระหว่างกันของธนาคารพาณิชย์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยยกเว้นภาษีเงินได้ให้ผู้ถือหุ้น ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะและอากรแสตมป์สำหรับการควบรวม การให้หักค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการควบรวมตั้งแต่ 1.25 ไปจนถึง 2 เท่า

ประเด็นที่สังคมถามคือ ที่ผ่านมาธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบยังคงมีกำไรจากการประกอบการปีละนับแสนล้านบาท เฉพาะปี 2560 ที่ผ่านมา ธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบมีกำไรไม่ต่ำกว่า 150,000 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาสแรกของปี 2561 ทั้งระบบยังคงมีกำไรมากกว่า 50,000 ล้านบาท แทบทุกธนาคารพาณิชย์มีกำไรอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา แต่เหตุใดกระทรวงการคลังและรัฐบาลยังออกมาตรการอุ้มธนาคารพาณิชย์ ยอมสูญเสียเม็ดเงินภาษีและค่าธรรมเนียมเป็นจำนวนมาก โดยอ้างเหตุผลเพื่อสร้างความแข็งแกร่งของระบบการเงิน ไม่รู้ว่าจะให้ธนาคารพาณิชย์แข็งแกร่งกันไปถึงไหน เพราะที่ผ่านมาธนาคารพาณิชย์คิดดอกเบี้ย รวมทั้งค่าธรรมเนียมต่างๆ จากประชาชนปีละนับหมื่นล้านบาท แหล่งข่าวกล่าว

หากจะถามว่ามาตรการที่ครม.อนุมัติไปน้ัน มันแตกต่างไปจากที่นักวิชาการบอกว่า รัฐกำลังอุ้มผู้ประกอบการทีวีดิจิตอลและธุรกิจมือถือตรงไหน ตรงกันข้ามออกจะหนักกว่าเสียด้วยซ้ำ เพราะมาตรการอุ้มธนาคารพาณิชย์ที่รัฐให้ไปนั้น คือภาษีรัฐที่ต้องสูญเม็ดเงินภาษีประมาณ 100- 1,000 ล้านบาท ขณะที่สิ่งที่ผู้ประกอบการทีวีดิจิตอลและมือถือร้องขอนั้น เป็นแค่ยืดเวลาการจ่ายค่าธรรมเนียมการประมูลออกไปจากเดิม 3-5 ปีเท่านั้นโดยที่รัฐยังคงมีรายได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ทั้งยังมีรายได้จากดอกเบี้ย 1.5% ซึ่งในส่วนของค่ายโทรศัพท์มือถือก็กว่า 3,500 ล้านบาทแล้ว แหล่งข่าวกล่าว

ที่มา : https://www.matichon.co.th/news/940394
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่