สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 23
ตามที่อ่านเจอใน Quora
กรดในกระเพาะอาหารที่สร้างจาก parietal cells จะเป็น hydrochloric acid ซึ่งเป็นกรดแก่ (แตกตัวให้ไฮโดรเนียมอิออน 100%) pH = 2
และหลั่งปริมาตรสูงสุด 60 มิลลิลิตร (0.06 ลิตร)
กำหนดว่า
1. เอนไซม์เปปซินที่สร้างจาก gastric cells (สร้าง pepsinogen แต่ถูกทำให้ active เป็น pepsin) จะทำงานดีที่สุดที่ pH = 3.5
2. หูรูด (sphincter) ของกระเพาะอาหารไปลำไส้เล็กส่วนต้น (duodenum) ถูกปิดสนิท
3. กระเพาะสามารถยืดได้ไม่จำกัด
แทนค่าลงในสมการ จะได้ว่า:
[H+(aq)] in pH=2 solution : 10^-2
[H+(aq)] in pH=2.5 solution : 10^-3.5
แทนค่า
(10^-2) * 0.06 = (10^-3.5) * (0.06+W)
ปริมาตรน้ำที่ต้องใช้ เท่ากับ 1.837366596 ลิตร หรือประมาณเกือบ 2 ลิตร
สรุปคือ ก่อนอาหารจะไม่ย่อย คนกินน้ำปริมาตรเยอะขนาดนี้ อาจต้องถูกหามส่งโรงพยาบาลก่อน เพราะภาวะ overhydration
(ความเป็นจริงคือ เนื่องจากกรดแก่มากๆ และระยะความต่าง pH ที่จะส่งผลต่อการทำงานเอนไซม์นั้นก็ค่อนข้างมาก (1.5 กับ 2) ทำให้ปริมาตรน้ำต้องมากตาม และทำให้เกิดผลต่อการย่อยสารอาหารกลุ่มโปรตีนน้อยมาก แม้ว่าจะกินข้าวคำน้ำคำ)
ที่มา: [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
กรดในกระเพาะอาหารที่สร้างจาก parietal cells จะเป็น hydrochloric acid ซึ่งเป็นกรดแก่ (แตกตัวให้ไฮโดรเนียมอิออน 100%) pH = 2
และหลั่งปริมาตรสูงสุด 60 มิลลิลิตร (0.06 ลิตร)
กำหนดว่า
1. เอนไซม์เปปซินที่สร้างจาก gastric cells (สร้าง pepsinogen แต่ถูกทำให้ active เป็น pepsin) จะทำงานดีที่สุดที่ pH = 3.5
2. หูรูด (sphincter) ของกระเพาะอาหารไปลำไส้เล็กส่วนต้น (duodenum) ถูกปิดสนิท
3. กระเพาะสามารถยืดได้ไม่จำกัด
แทนค่าลงในสมการ จะได้ว่า:
[H+(aq)] in pH=2 solution : 10^-2
[H+(aq)] in pH=2.5 solution : 10^-3.5
แทนค่า
(10^-2) * 0.06 = (10^-3.5) * (0.06+W)
ปริมาตรน้ำที่ต้องใช้ เท่ากับ 1.837366596 ลิตร หรือประมาณเกือบ 2 ลิตร
สรุปคือ ก่อนอาหารจะไม่ย่อย คนกินน้ำปริมาตรเยอะขนาดนี้ อาจต้องถูกหามส่งโรงพยาบาลก่อน เพราะภาวะ overhydration
(ความเป็นจริงคือ เนื่องจากกรดแก่มากๆ และระยะความต่าง pH ที่จะส่งผลต่อการทำงานเอนไซม์นั้นก็ค่อนข้างมาก (1.5 กับ 2) ทำให้ปริมาตรน้ำต้องมากตาม และทำให้เกิดผลต่อการย่อยสารอาหารกลุ่มโปรตีนน้อยมาก แม้ว่าจะกินข้าวคำน้ำคำ)
ที่มา: [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แสดงความคิดเห็น
ตอนเด็กๆเคยมีผู้ใหญ่ชอบสอนว่า "อย่ากินข้าวคำ น้ำคำ" บ้างหรือป่าวครับ
ส่วนตัวคิดว่านิสัยนี้ติดมาจนถึงตอนโต จะกินน้ำแค่เฉพาะหลังกินข้าวเสร็จเสมอๆ
ลองสังเกตดูน้องๆเพื่อนร่วมงานทุกคนที่เด็กๆหน่อย ก็จะประมาณว่ากินข้าวคำน้ำคำเหมือนกัน ในทางกลับกันลองสังเกตดูที่บ้านตัวเองพบว่ากินน้ำหลังกินข้าวกันแบบ 100%
เลยอยากรู้ว่าบ้านอื่นยังไงกันบ้าง คำพูด "อย่ากินข้าวคำน้ำคำ" นี้มันอยู่ในคำสอนทั่วๆไปของคนเฒ่าที่เลี้ยงเด็กที่เกิดช่วง 1980 หรือเป็นแต่เฉพาะบ้านผมบ้านเดียว ทุกวันนี้มีนิสัยในการกินน้ำตอนกินข้าวเป็นมื้อๆยังไงบ้างครับ
วัยรุ่นช่วงหลังๆคุณพ่อ-คุณแม่ยังสอนแบบนี้อยู่หรือเปล่า