“สมัครสมานสามัคคี ผองเรานี่นี้รวมเป็น......” เสียงเพลงโรงเรียนดังขึ้นเป็นสัญญาณบอกเวลาให้นักเรียนทุกคนเข้าแถวเพื่อทำพิธีในตอนเช้า ท้องฟ้ามืดครึ้มมีเมฆหนาพร้อมกับหยดน้ำฝนที่ค่อยๆพรำลงบนก้อนอิฐเป็นรอยน้ำเล็ก ๆบนพื้นผิวก่อนจะซึมเข้าไปในผิวอิฐนั้นทำให้นักเรียนทุกคนต้องขึ้นไปเข้าแถวหน้าห้องโฮมรูมของตนเองแทนที่จะเข้าแถวหน้าเสาธง
ผมเจมส์นักเรียนชั้นม.4/3 แห่งโรงเรียนมะขามวิทยา โรงเรียนรัฐบาลชื่อดังที่ปั้นนักเรียนและนักกีฬาเก่งๆเข้ามหาลัยอันดับต้นๆของประเทศอีกทั้งไปแข่งขันต่าง ๆทั่วโลกสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศได้มากมาย ณ เวลานี้เพลงประจำโรงเรียนดังขึ้น ทุกคนเร่งรีบเพื่อไปเข้าแถวหน้าห้องของตัวเองให้ทัน เด็กผู้ชายและผู้หญิงหลายคนวิ่งผ่านผมไปอย่างเร่งรีบ เสียงอ.ธนาผู้บ้าพลังแห่งฝ่ายปกครองตะโกนแหกปากเสียงดังให้เด็กนักเรียนทุกคนรีบวิ่งไปเข้าแถวพร้อมในมือมีไม้เรียวขนาดยาวเป็นพิเศษกวัดแกว่งไปมาเพื่อเสริมความดุดันให้นักเรียนเกรงกลัวและยำเกรงตน ตรงหน้าประตูรั้วเริ่มมีสารวัตรนักเรียนมาตั้งกลุ่มดักรอเพื่อดักจับเด็กที่มาสายให้เข้าแถวคนมาสายเพื่อลงโทษ หน้าตาท่าทางของสมาชิกประธานนักเรียนแต่ละคนนั้นเคร่งขรึมและวางมาดอย่างถึงที่สุด
“อาห์...พวกนี้ต้องโตไปเป็นตำรวจตั้งด่านลอยแบบที่พ่อเคยเล่าให้ฟังแน่นอน” เจมส์คิดแวบหนึ่งในใจพลางกลั้นหัวเราะพรืด
หลังจากเดินผ่านประตูกรงเหล็กบานใหญ่หน้าโรงเรียนมานั้นจุดหมายของเจมส์หาได้เป็นแถวหน้าห้องเรียนของตนไม่ ทว่าเขากลับเดินตรงดิ่งขึ้นบันไดไปเข้าห้องน้ำชั้น 6 อย่างรวดเร็ว เขาเลือกห้องที่5ในสุด ปิดประตูลงกลอนและหยิบสเปรย์ดับกลิ่นมาฉีดรอบ ๆ เอื้อมมือไปปิดฝารองนั่งชักโครกลง จากนั้นก็วางกระเป๋าลงบนฝาชักโครก หลังจากเตรียมการทุกอย่างจนเสร็จสิ้น เจมส์ก็นั่งเอนตัวไปข้างหลังหัวพิงกระเป๋าสะพายซึ่งทำหน้าที่ต่างหมอนและพล้อยหลับอย่างสบายใจ ใช่แล้วช่วงเวลาเข้าแถวของโรงเรียนนั้นคือช่วงเวลานอนเอ็กตร้าของเจมส์ การที่เขาเลือกห้องน้ำชั้น 6 นั้นก็เพราะว่าห้องน้ำชั้นนี้ไม่ค่อยมีคนเข้ามากนักทำให้ค่อนข้างสะอาดกว่าที่อื่น เขาเชื่อว่าการนอนอย่างพอเพียงนั้นจะทำให้สมองเติบโตพร้อมกับร่างกายที่แข็งแรง ซึ่งเด็กรุ่นเขานั้นต้องนอนถึงวันละ 10 ชั่วโมง (จริงแล้ว8ชั่วโมงก็พอแล้วนะ) ขณะกำลังดำดิ่งอยู่กับห้วงลึกอันเปี่ยมสุขของการนอนอยู่นั้นเสียงรองเท้ายางใหม่กระทบพื้นปูนมันแปล๊บดังอิ๊ดอ๊าดก็ดังมาเข้าหูจนทำให้เจมส์รู้สึกตัว เจมส์ดึงโทรศัพท์มือถือออกมาเพื่อดูเวลา ตัวเลข 8.05 สว่างวับขึ้นมาบนหน้าจอ เวลานี้ไม่น่าจะมีเด็กคนไหนมาเข้าห้องน้ำแล้วแน่ ๆ เพราะทุกคนกำลังสวดมนตร์กันอยู่ โดยเฉพาะชั้น 6 ในเวลานี้ถ้าจะมีคนขึ้นมาก็จะมีแค่สารวัตรนักเรียนขี้แอ็คที่มาคอยจับคนที่หนีเข้าแถวเท่านั้นแหละ ถ้าโดนจับได้แน่นอนว่าต้องถูกพาไปห้องปกครองแถมถูกทำให้เป็นเรื่องวุ่นวายแล้วก็โดนหมายหัวอีก แต่เขาหาได้สนใจหรือแยแสต่อเรื่องพวกนั้นไม่ สิ่งที่แย่ที่สุดก็คือมีโอกาศที่จะไม่ได้หนีแถวมานอนอย่างนี้อีกแล้วแน่ ๆ สถานการณ์ที่ดูเหมือนเป็นเรื่องเล่นๆนี้แต่สำหรับเขานั้นนับได้ว่าเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย ขณะนี้เจมส์ตื่นตัวสุดขีดเค้าสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่เคยอ่านเจอจากนิตยสาร “แปรว” ตอนที่ต้องไปนั่งรอแม่ทำผมเป็นเวลาสามชั่วโมง หัวข้อคือ “Fight or Flight สู้หรือหนี” ซึ่งขณะนี้หัวใจของเขาสูบฉีดเลือดอย่างรวดเร็วและบ้าคลั่งเพื่อส่งพลังงานจากข้าวเหนียวหมูปิ้งร้านนายชาที่กินเข้าไปเมื่อเช้าเข้าไปเลี้ยงสมองให้สมองสามารถคิดหาทางออกจากสถานการณ์คอขาดบาดตายนี้ให้ได้
เสียงรองเท้ายางเอี๊ยดอ๊าดฟืดฟาดค่อยๆดังขึ้น.... ดังขึ้นเรื่อย ๆ และค่อยๆ คืบคลานใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ
“เฮ้ยวิวนายได้ยินข่าวลือที่เค้าบอกว่าตอนปิดเทอมมีเด็กฆ่าตัวตายยังวะ” เสียงแหบน่ารำคาญของเด็กผู้ชายคนหนึ่งพูดกับเด็กผู้ชายอีกคนขณะที่เดินจนมาถึงหน้าประตูทางเข้าห้องน้ำ
“เออได้ยินมาเหมือนกันแต่ไม่รู้ว่าใครนะ วันก่อนน้ำฝนบอกเรามาว่าเป็นพวกเด็กห้อง 6 น่ะ” เสียงของเด็กผู้ชายอีกคนหนึ่งค่อนข้างใสตอบกลับเพื่อนของตน ขณะเดียวกันก็เดินเข้ามาในห้องน้ำพร้อมเปิดประตูและเดินเข้าไปเช็คในห้องแรก
“ห้อง 6 เรอะ งั้นก็ไม่เป็นไรหรอกมั้งเด็กพวกนี้โตไปก็เป็นขยะของชาติอยู่แล้วปะวะ” เสียงแหบแห้งตอบกลับปนเสียงหัวเราะน่ารังเกียจในขณะเดียวกันเสียงของประตูห้องน้ำห้องที่2ซึ่งส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดแสบหูก็ถูกเปิดออก
“เฮ้ยเราว่าเราได้กลิ่นหอมมิ้นแปลกๆว่ะ” เสียงใสของเด็กหนุ่มอีกคนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงประหลาดใจแล้วรีบเดินมาที่ห้องส้วมห้องสุดท้าย ผลักประตูเปิดออกพร้อมกับเดินเข้าไปมองด้านข้างประตูอย่างสงสัย
“สงสัยพวกมาสูบบุหรี่แล้วฉีดน้ำหอมดับกลิ่น พวกเด็กสวะก็ทำยังงี้ประจำ ไปกันเถอะเราต้องเช็คชั้น 6 ทั้งชั้นอีกนะ”
เสียงรองเท้ายางใหม่ดังอิ๊ดอ๊าดก็ค่อยๆห่างออกไป
ในห้องน้ำชายนั้นจะมีอยู่ทั้งหมด 6 ห้องซึ่งเป็นห้องส้วมทั้งหมด 5 ห้อง ส่วนห้องสุดท้ายนั้นเป็นห้องเก็บของภารโรงที่ใช้เก็บอุปกรณ์ทำความสะอาดทั้งหลาย ซึ่งเจมส์ได้เหวี่ยงกระเป๋าของตนข้ามไปยังห้องข้างๆแล้วปีนชักโครกข้ามไปแอบยังห้องเก็บของ ที่พวกสภานักเรียนไม่มาเช็คห้องนี้นั้นเพราะว่าประตูห้องเก็บของถูกล็อคเอาไว้ ซึ่งมีเพียงแม่บ้านทำความสะอาดของโรงเรียนที่มีกุญแจสำหรับเปิดเข้าไปได้เท่านั้น และแน่นอนว่าเจมก็ต้องปีนกลับไปยังห้องเดิมอีกเพราะเขาไม่สามารถออกจากประตูของห้องเก็บของได้
“นี่มันน้ำหอมกลิ่นมิ้นจาก V.S.1 เลยนะโว้ยใครเค้าจะเอามาฉีดดับกลิ่นบุหรี่วะ ไอแหบไร้รสนิยมเอ๊ย” เจมส์บ่นด้วยน้ำเสียงปนหอบขณะเดียวกันนั้นเขาก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อดูเวลาอีกซึ่งตอนนี้เป็นเวลา 8.30 แล้ว เขาต้องไปให้ถึงห้องโฮมรูมก่อน 8.45 เพื่อเช็คชื่อให้ทัน
1*V.S. Victoria Secret
ฝนตกพรำ ๆ ทำให้อากาศที่ร้อนอบอ้าวของไทยนั้นกลับรู้สึกเย็นสบาย หยดน้ำที่เกาะบนขอบหน้าต่างห้องเรียนที่ให้สัมผัสเย็น อีกทั้งลมจากพัดลมเพดานที่พัดเอื่อย ๆ ผสมกับลมเย็นที่พัดเข้ามาทางหน้าต่างกระทบลงบนผิวอย่างนุ่มนวลนั้นล้วนขับกล่อมให้ผมเคลิ้มหลับโดยไม่ทันรู้ตัว
เผียะ!!!! เสียงช็อคกระทบแก้ม ความรู้สึกเจ็บแปล๊บแผ่ซ่านขึ้นมาทั่วหน้าทำให้ผมสะดุ้งดีดผึงขึ้นมานั่งตัวตรง เสียงเพื่อน ๆ ในชั้นเรียนหัวเราะคิกคัก สายตาของผมมองไปที่ก้อนเล็ก ๆสีขาวที่ตกอยู่ตรงหน้าโต๊ะเรียนของตนเองคิ้วของผมขมวดเข้าหากันด้วยความงุนงง สมองเริ่มหาคำตอบของสิ่งที่เกิดขึ้นโดยเริ่มคำนวนโปรเจ็คไทล์ของวัตถุสีขาวเพื่อหาจุดเริ่มต้นก่อนที่วัตถุสีขาวชิ้นนี้จะวิ่งเข้ามาถึงแก้มของผม สายตาของผมไล่ไปจนถึงต้นตอ ปลายทางของวิถีชอล์คนั้นอยู่หน้าห้องเรียนซึ่งขณะนี้กำลังจ้องหน้าของผมด้วยตาถลึงพร้อมกับคิ้วดกหนาที่ไม่แน่ใจว่าเกิดจากดินสอเขียนคิ้วหรือเอาถ่านมาถูกันแน่ ปลายของคิ้วทั้งสองนั้นขณะนี้กำลังขมวดเข้ามาติดกันจนเป็นปมหนา
“นายธนินเธอรู้มั้ยว่านี่เวลาอะไร ลุกขึ้นยืนเดี๋ยวนี้......” เสียงเล็กแหลมแผดดังเป็นคำสั่งเด็ดขาดที่ผมไม่สามารถปฏิเสธได้ทำได้แค่เพียงดันเก้าอี้ของตนเองไปด้านหลังและลุกขึ้นยืนตามคำสั่งเท่านั้น เสียงของเพื่อน ๆ ในห้องพยายามกลั้นหัวเราะ ซึ่งสะกิดใจและทำให้ผมรู้สึกสงสัยจริง ๆ ว่าการที่ครูด่าคนอื่นให้ตัวเองฟังนั้นมันเป็นเรื่องน่าขันจริง ๆ หรือ
“ตอนนี้ชั้นหมายหัวเธอไว้แล้วนะ วันแรกก็.........” เสียงบ่นด่าเริ่มต้นขึ้นและสิ่งเดียวที่ผมควรทำตอนนี้คือยืนและทำหน้าสำนึกผิดเป็นหมาหงอย
“คาบนี้เธอยืนจนกว่าชั้นจะสอนเสร็จเลยจะได้ไม่หลับ” อา....นังคิ้วถ่านนี่เยี่ยมไปเลยผมคิดในใจแต่ยังคงคอตกและทำหน้าเศร้าต่อไป
ขณะที่ยืนอยู่เปลืองตาที่หนักคล้อยพร้อมจะตกลงมาบรรจบกันนั้นสีข้างขวาของผมก็ถูกกระแทกเบาๆสองสามทีผมจึงหันไปมอง
ทิสเพื่อนสนิทของผมซึ่งเป็นลูกครึ่งไทย-อังกฤษ เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ม.ต้น มันเป็นลูกครึ่งที่โคตรแปลก ภาษาไทยมันพูดได้แต่เขียนไม่เก่งส่วนภาษาอังกฤษนี่หนักกว่าคือไม่รู้เรื่องเลย จะมีดีอย่างเดียวก็คือหน้าตาลูกครึ่งของมันทำให้มีผู้หญิงมาชอบมันค่อนข้างเยอะ ตอนนี้มันใช้มือเลื่อนสมุดมาทางผมให้ผมเห็นข้อความที่มันเขียน
“ไปนอนในสวมมาแล้วไม่ใช่เรอะ ทำไมยังรั่บอีกวะ”
“ก็

มีคนมาเช็คห้องน้ำ กูก็ไม่ได้นอน ง่วง

” ผมตอบด้วยน้ำเสียงรำคาญ ๆ ปนง่วงนอน
จากนั้นมันดึงสมุดกลับไปขีดๆ เขียน ๆ ซักพักหนึ่งจากนั้นก็เลื่อนมาทางผมอีกครั้งหนึ่ง
“ตัวที่กูฝากซื่อ ซื่อใหกูแลวใช้ป่าว”
“เขียนเชี่ยไรของเนี่ยเขียนให้มันรู้เรื่องดิ้!!” ผมแหวใส่ด้วยน้ำเสียงรำคาญจากความง่วงนอนผสมกับการต้องมาอ่านภาษาไทยเทียมอีก
“พวกเธอสองคนออกไปยืนนอกห้องเรียนเดี๋ยวนี้!!” เสียงของครูสมศรีที่บ่งบอกถึงความโมโหพร้อมนิ้วมือที่ชี้ออกไปนอกห้องเป็นสัญลักษณ์ที่ชัดเจนว่าบัดนี้ผมกับไอทิสต้องออกไปยืนสำนึกผิดอยู่หน้าห้อง
ไอทิสลุกขึ้นเดินนำหน้าผมออกไปหน้าห้องผมเดินตามหลังไปติดๆ เราทั้งคู่ทำหน้าเศร้าพร้อมคอตกเดินออกไปจากห้องเรียนหลังจากออกมายืนหน้าห้องเราสองคนมองหน้ากันจากนั้นรอยยิ้มก็ค่อยๆออกมาจากมุมปากสุดท้ายเราสองคนก็ต้องกลั้นหัวเราะกันเพราะถ้าหัวเราะเสียงดังจนอ.สมศรีได้ยินเข้าทีนี้ไม่น่าจะจบสวยแน่ ๆ
“กูถามว่าตั๋วที่ฝากซื้อได้ซื้อให้กูรึยัง” ทิสพูดขึ้นหลังจากหัวเราะเสร็จ
“นี่ปิดเทอมทำไมไม่ไปหัดเขียนไทยเพิ่มวะ ใครมันจะอ่านออกวะยิ่งง่วงๆอยู่” ผมตอบกลับด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร
“ตั๋วอ่ะกูไปขอซื้อมาได้แล้ว แต่อยากไปดูจริงๆเรอะ ไอดอลเต้นเหยงๆเนี่ยนะ เป็นลูกครึ่งอังกฤษแต่ดันชอบอะไรยังงี้อ่ะนะ” ผมถามด้วยความสงสัยพร้อมยื่นตั๋วดูไอดอลแถวหน้าให้มัน
“ของยังงี้มันไม่เกี่ยวกับเชื้อชาติ มันอยู่ที่ใจตังหากเพื่อน” ไอทิสตอบกลับมามือหยิบตั๋วจากมือผม นัยน์ตาของมันลุกวาวเป็นประกาย
ขณะที่ผมกำลังคุยกับทิสอยู่นั้นครูรวินทร์อาจารย์สอนวิชาพละได้วิ่งผ่านหน้าห้องของผมไปด้วยความเร็ว
“ฟิตตั้งแต่เปิดเทอมเลยนะครับครู” ผมทักครูรวินทร์ด้วยน้ำเสียงสนุกสนานทว่าครูรวินทร์ไม่ตอบกลับและวิ่งผ่านหัวมุมขึ้นบันไดไปต่อทันที
“เค้าจะรีบไปไหนของเค้าวะน่ะ” ผมชวนทิสคุยต่อทว่าในใจก็อดรู้สึกสงสัยไม่ได้
“ไม่รู้ว่ะเค้าอาจจะกำลังทำสถิติใหม่วิ่งรอบตึกก็ได้มั้ง ครูพละก็ว่างยังงี้มั้งกูว่านะ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า” ทิสหัวเราะปิดท้าย
ทว่าผมกลับรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติแต่ไม่สามารถอธิบายได้
เมฆหมอกแห่งความสงสัยภายในใจของผมนั้นยังไม่ทันได้หมดไป ก็เกิดเสียงกรีดร้องตกใจดังขึ้นมาจากชั้นบนตำแหน่งเดียวกับที่ผมอยู่
เพียงแค่เสี้ยววินาทีวัตถุสีขาววูบผ่านสายตาผมลงมาอย่างรวดเร็วพร้อมกับกระแทกลงบนขอบคอนกรีตตรงหน้าผมเสียงดัง ผลัก!!!!!!! และยังมีเสียง เป๊าะ! เบา ๆ ดังขึ้นพร้อมกับที่ร่างสีขาวกระแทกขอบระเบียงคอนกรีต ขณะเดียวกันนั้นหยดน้ำเล็ก ๆ สามสี่หยดกระเด็นเปรอะเต็มหน้าผม ภาพตรงหน้าของผมนั้นเป็นเด็กผู้ชายตกลงมาคอพาดอยู่บนขอบกั้นระเบียง กระดูกที่ครั้งหนึ่งเคยเรียงต่อกันอยู่บนคอของเด็กคนนั้นบัดนี้บิดเบี้ยวและไม่ได้ปะติดปะต่อกัน คอของเด็กชายคนนั้นที่ห้อยต่องแต่งประหนึ่ง
โยโย่ที่ผมเคยเล่นสมัยเด็กที่ห้อยโตงเตง
ผมได้ยินเสียงกระซิบเบาๆออกมาจากปากของเด็กชายคนนั้นว่า “สำเร็จแล้ว”
ด้วยความตกใจจนสุดขีดผมหันไปมองหน้าไอทิสซึ่งบัดนี้มีหยดน้ำสีแดงๆเปรอะเป็นจุดอยู่เต็มหน้าของมัน ผมยื่นมือขึ้นสัมผัสใบหน้าของตนเองลูบผ่านหยดน้ำแล้วเพ่งดูสิ่งที่อยู่บนมือผม เลือด มันคือเลือดของเด็กคนนั้นนั่นเอง
ผมนั่งอยู่ในห้องพักครูกับไอทิส ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากครูวรินทร์รีบวิ่งลงมากันผมและไอทิสออกไปและกันพื้นที่อย่างรวดเร็วจากนั้นครูศิวราคุณครูแนะแนวพาผมและทิสมายังห้องพักครูหลังจากมาถึงห้องพักครูแล้วครูศิวราก็นำผ้าห่มผืนเล็กมาห่มตัวเราทั้งคู่ไว้ ความรู้สึกในห้องพักครูขณะนั้นช่างเย็นยะเยือกลงไปจนถึงกระดูกซึ่งผมไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าความหนาวที่ผมรู้สึกนี้มาจากเครื่องปรับอากาศรุ่นโบราณในห้องพักครูหรือเป็นความหนาวสะท้านจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่ผมพึ่งได้พบกันแน่
“ติดต่อผู้ปกครองของเด็กได้รึยัง” น้ำเสียงร้อนรนของอาจารย์ท่านหนึ่งที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของห้องพักครูแวบเข้ามาในหูของเจมส์
เจมส์ธนินกับอาภรรพ์ ม.4ห้อง6
ผมเจมส์นักเรียนชั้นม.4/3 แห่งโรงเรียนมะขามวิทยา โรงเรียนรัฐบาลชื่อดังที่ปั้นนักเรียนและนักกีฬาเก่งๆเข้ามหาลัยอันดับต้นๆของประเทศอีกทั้งไปแข่งขันต่าง ๆทั่วโลกสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศได้มากมาย ณ เวลานี้เพลงประจำโรงเรียนดังขึ้น ทุกคนเร่งรีบเพื่อไปเข้าแถวหน้าห้องของตัวเองให้ทัน เด็กผู้ชายและผู้หญิงหลายคนวิ่งผ่านผมไปอย่างเร่งรีบ เสียงอ.ธนาผู้บ้าพลังแห่งฝ่ายปกครองตะโกนแหกปากเสียงดังให้เด็กนักเรียนทุกคนรีบวิ่งไปเข้าแถวพร้อมในมือมีไม้เรียวขนาดยาวเป็นพิเศษกวัดแกว่งไปมาเพื่อเสริมความดุดันให้นักเรียนเกรงกลัวและยำเกรงตน ตรงหน้าประตูรั้วเริ่มมีสารวัตรนักเรียนมาตั้งกลุ่มดักรอเพื่อดักจับเด็กที่มาสายให้เข้าแถวคนมาสายเพื่อลงโทษ หน้าตาท่าทางของสมาชิกประธานนักเรียนแต่ละคนนั้นเคร่งขรึมและวางมาดอย่างถึงที่สุด
“อาห์...พวกนี้ต้องโตไปเป็นตำรวจตั้งด่านลอยแบบที่พ่อเคยเล่าให้ฟังแน่นอน” เจมส์คิดแวบหนึ่งในใจพลางกลั้นหัวเราะพรืด
หลังจากเดินผ่านประตูกรงเหล็กบานใหญ่หน้าโรงเรียนมานั้นจุดหมายของเจมส์หาได้เป็นแถวหน้าห้องเรียนของตนไม่ ทว่าเขากลับเดินตรงดิ่งขึ้นบันไดไปเข้าห้องน้ำชั้น 6 อย่างรวดเร็ว เขาเลือกห้องที่5ในสุด ปิดประตูลงกลอนและหยิบสเปรย์ดับกลิ่นมาฉีดรอบ ๆ เอื้อมมือไปปิดฝารองนั่งชักโครกลง จากนั้นก็วางกระเป๋าลงบนฝาชักโครก หลังจากเตรียมการทุกอย่างจนเสร็จสิ้น เจมส์ก็นั่งเอนตัวไปข้างหลังหัวพิงกระเป๋าสะพายซึ่งทำหน้าที่ต่างหมอนและพล้อยหลับอย่างสบายใจ ใช่แล้วช่วงเวลาเข้าแถวของโรงเรียนนั้นคือช่วงเวลานอนเอ็กตร้าของเจมส์ การที่เขาเลือกห้องน้ำชั้น 6 นั้นก็เพราะว่าห้องน้ำชั้นนี้ไม่ค่อยมีคนเข้ามากนักทำให้ค่อนข้างสะอาดกว่าที่อื่น เขาเชื่อว่าการนอนอย่างพอเพียงนั้นจะทำให้สมองเติบโตพร้อมกับร่างกายที่แข็งแรง ซึ่งเด็กรุ่นเขานั้นต้องนอนถึงวันละ 10 ชั่วโมง (จริงแล้ว8ชั่วโมงก็พอแล้วนะ) ขณะกำลังดำดิ่งอยู่กับห้วงลึกอันเปี่ยมสุขของการนอนอยู่นั้นเสียงรองเท้ายางใหม่กระทบพื้นปูนมันแปล๊บดังอิ๊ดอ๊าดก็ดังมาเข้าหูจนทำให้เจมส์รู้สึกตัว เจมส์ดึงโทรศัพท์มือถือออกมาเพื่อดูเวลา ตัวเลข 8.05 สว่างวับขึ้นมาบนหน้าจอ เวลานี้ไม่น่าจะมีเด็กคนไหนมาเข้าห้องน้ำแล้วแน่ ๆ เพราะทุกคนกำลังสวดมนตร์กันอยู่ โดยเฉพาะชั้น 6 ในเวลานี้ถ้าจะมีคนขึ้นมาก็จะมีแค่สารวัตรนักเรียนขี้แอ็คที่มาคอยจับคนที่หนีเข้าแถวเท่านั้นแหละ ถ้าโดนจับได้แน่นอนว่าต้องถูกพาไปห้องปกครองแถมถูกทำให้เป็นเรื่องวุ่นวายแล้วก็โดนหมายหัวอีก แต่เขาหาได้สนใจหรือแยแสต่อเรื่องพวกนั้นไม่ สิ่งที่แย่ที่สุดก็คือมีโอกาศที่จะไม่ได้หนีแถวมานอนอย่างนี้อีกแล้วแน่ ๆ สถานการณ์ที่ดูเหมือนเป็นเรื่องเล่นๆนี้แต่สำหรับเขานั้นนับได้ว่าเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย ขณะนี้เจมส์ตื่นตัวสุดขีดเค้าสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่เคยอ่านเจอจากนิตยสาร “แปรว” ตอนที่ต้องไปนั่งรอแม่ทำผมเป็นเวลาสามชั่วโมง หัวข้อคือ “Fight or Flight สู้หรือหนี” ซึ่งขณะนี้หัวใจของเขาสูบฉีดเลือดอย่างรวดเร็วและบ้าคลั่งเพื่อส่งพลังงานจากข้าวเหนียวหมูปิ้งร้านนายชาที่กินเข้าไปเมื่อเช้าเข้าไปเลี้ยงสมองให้สมองสามารถคิดหาทางออกจากสถานการณ์คอขาดบาดตายนี้ให้ได้
เสียงรองเท้ายางเอี๊ยดอ๊าดฟืดฟาดค่อยๆดังขึ้น.... ดังขึ้นเรื่อย ๆ และค่อยๆ คืบคลานใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ
“เฮ้ยวิวนายได้ยินข่าวลือที่เค้าบอกว่าตอนปิดเทอมมีเด็กฆ่าตัวตายยังวะ” เสียงแหบน่ารำคาญของเด็กผู้ชายคนหนึ่งพูดกับเด็กผู้ชายอีกคนขณะที่เดินจนมาถึงหน้าประตูทางเข้าห้องน้ำ
“เออได้ยินมาเหมือนกันแต่ไม่รู้ว่าใครนะ วันก่อนน้ำฝนบอกเรามาว่าเป็นพวกเด็กห้อง 6 น่ะ” เสียงของเด็กผู้ชายอีกคนหนึ่งค่อนข้างใสตอบกลับเพื่อนของตน ขณะเดียวกันก็เดินเข้ามาในห้องน้ำพร้อมเปิดประตูและเดินเข้าไปเช็คในห้องแรก
“ห้อง 6 เรอะ งั้นก็ไม่เป็นไรหรอกมั้งเด็กพวกนี้โตไปก็เป็นขยะของชาติอยู่แล้วปะวะ” เสียงแหบแห้งตอบกลับปนเสียงหัวเราะน่ารังเกียจในขณะเดียวกันเสียงของประตูห้องน้ำห้องที่2ซึ่งส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดแสบหูก็ถูกเปิดออก
“เฮ้ยเราว่าเราได้กลิ่นหอมมิ้นแปลกๆว่ะ” เสียงใสของเด็กหนุ่มอีกคนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงประหลาดใจแล้วรีบเดินมาที่ห้องส้วมห้องสุดท้าย ผลักประตูเปิดออกพร้อมกับเดินเข้าไปมองด้านข้างประตูอย่างสงสัย
“สงสัยพวกมาสูบบุหรี่แล้วฉีดน้ำหอมดับกลิ่น พวกเด็กสวะก็ทำยังงี้ประจำ ไปกันเถอะเราต้องเช็คชั้น 6 ทั้งชั้นอีกนะ”
เสียงรองเท้ายางใหม่ดังอิ๊ดอ๊าดก็ค่อยๆห่างออกไป
ในห้องน้ำชายนั้นจะมีอยู่ทั้งหมด 6 ห้องซึ่งเป็นห้องส้วมทั้งหมด 5 ห้อง ส่วนห้องสุดท้ายนั้นเป็นห้องเก็บของภารโรงที่ใช้เก็บอุปกรณ์ทำความสะอาดทั้งหลาย ซึ่งเจมส์ได้เหวี่ยงกระเป๋าของตนข้ามไปยังห้องข้างๆแล้วปีนชักโครกข้ามไปแอบยังห้องเก็บของ ที่พวกสภานักเรียนไม่มาเช็คห้องนี้นั้นเพราะว่าประตูห้องเก็บของถูกล็อคเอาไว้ ซึ่งมีเพียงแม่บ้านทำความสะอาดของโรงเรียนที่มีกุญแจสำหรับเปิดเข้าไปได้เท่านั้น และแน่นอนว่าเจมก็ต้องปีนกลับไปยังห้องเดิมอีกเพราะเขาไม่สามารถออกจากประตูของห้องเก็บของได้
“นี่มันน้ำหอมกลิ่นมิ้นจาก V.S.1 เลยนะโว้ยใครเค้าจะเอามาฉีดดับกลิ่นบุหรี่วะ ไอแหบไร้รสนิยมเอ๊ย” เจมส์บ่นด้วยน้ำเสียงปนหอบขณะเดียวกันนั้นเขาก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อดูเวลาอีกซึ่งตอนนี้เป็นเวลา 8.30 แล้ว เขาต้องไปให้ถึงห้องโฮมรูมก่อน 8.45 เพื่อเช็คชื่อให้ทัน
1*V.S. Victoria Secret
ฝนตกพรำ ๆ ทำให้อากาศที่ร้อนอบอ้าวของไทยนั้นกลับรู้สึกเย็นสบาย หยดน้ำที่เกาะบนขอบหน้าต่างห้องเรียนที่ให้สัมผัสเย็น อีกทั้งลมจากพัดลมเพดานที่พัดเอื่อย ๆ ผสมกับลมเย็นที่พัดเข้ามาทางหน้าต่างกระทบลงบนผิวอย่างนุ่มนวลนั้นล้วนขับกล่อมให้ผมเคลิ้มหลับโดยไม่ทันรู้ตัว
เผียะ!!!! เสียงช็อคกระทบแก้ม ความรู้สึกเจ็บแปล๊บแผ่ซ่านขึ้นมาทั่วหน้าทำให้ผมสะดุ้งดีดผึงขึ้นมานั่งตัวตรง เสียงเพื่อน ๆ ในชั้นเรียนหัวเราะคิกคัก สายตาของผมมองไปที่ก้อนเล็ก ๆสีขาวที่ตกอยู่ตรงหน้าโต๊ะเรียนของตนเองคิ้วของผมขมวดเข้าหากันด้วยความงุนงง สมองเริ่มหาคำตอบของสิ่งที่เกิดขึ้นโดยเริ่มคำนวนโปรเจ็คไทล์ของวัตถุสีขาวเพื่อหาจุดเริ่มต้นก่อนที่วัตถุสีขาวชิ้นนี้จะวิ่งเข้ามาถึงแก้มของผม สายตาของผมไล่ไปจนถึงต้นตอ ปลายทางของวิถีชอล์คนั้นอยู่หน้าห้องเรียนซึ่งขณะนี้กำลังจ้องหน้าของผมด้วยตาถลึงพร้อมกับคิ้วดกหนาที่ไม่แน่ใจว่าเกิดจากดินสอเขียนคิ้วหรือเอาถ่านมาถูกันแน่ ปลายของคิ้วทั้งสองนั้นขณะนี้กำลังขมวดเข้ามาติดกันจนเป็นปมหนา
“นายธนินเธอรู้มั้ยว่านี่เวลาอะไร ลุกขึ้นยืนเดี๋ยวนี้......” เสียงเล็กแหลมแผดดังเป็นคำสั่งเด็ดขาดที่ผมไม่สามารถปฏิเสธได้ทำได้แค่เพียงดันเก้าอี้ของตนเองไปด้านหลังและลุกขึ้นยืนตามคำสั่งเท่านั้น เสียงของเพื่อน ๆ ในห้องพยายามกลั้นหัวเราะ ซึ่งสะกิดใจและทำให้ผมรู้สึกสงสัยจริง ๆ ว่าการที่ครูด่าคนอื่นให้ตัวเองฟังนั้นมันเป็นเรื่องน่าขันจริง ๆ หรือ
“ตอนนี้ชั้นหมายหัวเธอไว้แล้วนะ วันแรกก็.........” เสียงบ่นด่าเริ่มต้นขึ้นและสิ่งเดียวที่ผมควรทำตอนนี้คือยืนและทำหน้าสำนึกผิดเป็นหมาหงอย
“คาบนี้เธอยืนจนกว่าชั้นจะสอนเสร็จเลยจะได้ไม่หลับ” อา....นังคิ้วถ่านนี่เยี่ยมไปเลยผมคิดในใจแต่ยังคงคอตกและทำหน้าเศร้าต่อไป
ขณะที่ยืนอยู่เปลืองตาที่หนักคล้อยพร้อมจะตกลงมาบรรจบกันนั้นสีข้างขวาของผมก็ถูกกระแทกเบาๆสองสามทีผมจึงหันไปมอง
ทิสเพื่อนสนิทของผมซึ่งเป็นลูกครึ่งไทย-อังกฤษ เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ม.ต้น มันเป็นลูกครึ่งที่โคตรแปลก ภาษาไทยมันพูดได้แต่เขียนไม่เก่งส่วนภาษาอังกฤษนี่หนักกว่าคือไม่รู้เรื่องเลย จะมีดีอย่างเดียวก็คือหน้าตาลูกครึ่งของมันทำให้มีผู้หญิงมาชอบมันค่อนข้างเยอะ ตอนนี้มันใช้มือเลื่อนสมุดมาทางผมให้ผมเห็นข้อความที่มันเขียน
“ไปนอนในสวมมาแล้วไม่ใช่เรอะ ทำไมยังรั่บอีกวะ”
“ก็
จากนั้นมันดึงสมุดกลับไปขีดๆ เขียน ๆ ซักพักหนึ่งจากนั้นก็เลื่อนมาทางผมอีกครั้งหนึ่ง
“ตัวที่กูฝากซื่อ ซื่อใหกูแลวใช้ป่าว”
“เขียนเชี่ยไรของเนี่ยเขียนให้มันรู้เรื่องดิ้!!” ผมแหวใส่ด้วยน้ำเสียงรำคาญจากความง่วงนอนผสมกับการต้องมาอ่านภาษาไทยเทียมอีก
“พวกเธอสองคนออกไปยืนนอกห้องเรียนเดี๋ยวนี้!!” เสียงของครูสมศรีที่บ่งบอกถึงความโมโหพร้อมนิ้วมือที่ชี้ออกไปนอกห้องเป็นสัญลักษณ์ที่ชัดเจนว่าบัดนี้ผมกับไอทิสต้องออกไปยืนสำนึกผิดอยู่หน้าห้อง
ไอทิสลุกขึ้นเดินนำหน้าผมออกไปหน้าห้องผมเดินตามหลังไปติดๆ เราทั้งคู่ทำหน้าเศร้าพร้อมคอตกเดินออกไปจากห้องเรียนหลังจากออกมายืนหน้าห้องเราสองคนมองหน้ากันจากนั้นรอยยิ้มก็ค่อยๆออกมาจากมุมปากสุดท้ายเราสองคนก็ต้องกลั้นหัวเราะกันเพราะถ้าหัวเราะเสียงดังจนอ.สมศรีได้ยินเข้าทีนี้ไม่น่าจะจบสวยแน่ ๆ
“กูถามว่าตั๋วที่ฝากซื้อได้ซื้อให้กูรึยัง” ทิสพูดขึ้นหลังจากหัวเราะเสร็จ
“นี่ปิดเทอมทำไมไม่ไปหัดเขียนไทยเพิ่มวะ ใครมันจะอ่านออกวะยิ่งง่วงๆอยู่” ผมตอบกลับด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร
“ตั๋วอ่ะกูไปขอซื้อมาได้แล้ว แต่อยากไปดูจริงๆเรอะ ไอดอลเต้นเหยงๆเนี่ยนะ เป็นลูกครึ่งอังกฤษแต่ดันชอบอะไรยังงี้อ่ะนะ” ผมถามด้วยความสงสัยพร้อมยื่นตั๋วดูไอดอลแถวหน้าให้มัน
“ของยังงี้มันไม่เกี่ยวกับเชื้อชาติ มันอยู่ที่ใจตังหากเพื่อน” ไอทิสตอบกลับมามือหยิบตั๋วจากมือผม นัยน์ตาของมันลุกวาวเป็นประกาย
ขณะที่ผมกำลังคุยกับทิสอยู่นั้นครูรวินทร์อาจารย์สอนวิชาพละได้วิ่งผ่านหน้าห้องของผมไปด้วยความเร็ว
“ฟิตตั้งแต่เปิดเทอมเลยนะครับครู” ผมทักครูรวินทร์ด้วยน้ำเสียงสนุกสนานทว่าครูรวินทร์ไม่ตอบกลับและวิ่งผ่านหัวมุมขึ้นบันไดไปต่อทันที
“เค้าจะรีบไปไหนของเค้าวะน่ะ” ผมชวนทิสคุยต่อทว่าในใจก็อดรู้สึกสงสัยไม่ได้
“ไม่รู้ว่ะเค้าอาจจะกำลังทำสถิติใหม่วิ่งรอบตึกก็ได้มั้ง ครูพละก็ว่างยังงี้มั้งกูว่านะ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า” ทิสหัวเราะปิดท้าย
ทว่าผมกลับรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติแต่ไม่สามารถอธิบายได้
เมฆหมอกแห่งความสงสัยภายในใจของผมนั้นยังไม่ทันได้หมดไป ก็เกิดเสียงกรีดร้องตกใจดังขึ้นมาจากชั้นบนตำแหน่งเดียวกับที่ผมอยู่
เพียงแค่เสี้ยววินาทีวัตถุสีขาววูบผ่านสายตาผมลงมาอย่างรวดเร็วพร้อมกับกระแทกลงบนขอบคอนกรีตตรงหน้าผมเสียงดัง ผลัก!!!!!!! และยังมีเสียง เป๊าะ! เบา ๆ ดังขึ้นพร้อมกับที่ร่างสีขาวกระแทกขอบระเบียงคอนกรีต ขณะเดียวกันนั้นหยดน้ำเล็ก ๆ สามสี่หยดกระเด็นเปรอะเต็มหน้าผม ภาพตรงหน้าของผมนั้นเป็นเด็กผู้ชายตกลงมาคอพาดอยู่บนขอบกั้นระเบียง กระดูกที่ครั้งหนึ่งเคยเรียงต่อกันอยู่บนคอของเด็กคนนั้นบัดนี้บิดเบี้ยวและไม่ได้ปะติดปะต่อกัน คอของเด็กชายคนนั้นที่ห้อยต่องแต่งประหนึ่ง
โยโย่ที่ผมเคยเล่นสมัยเด็กที่ห้อยโตงเตง
ผมได้ยินเสียงกระซิบเบาๆออกมาจากปากของเด็กชายคนนั้นว่า “สำเร็จแล้ว”
ด้วยความตกใจจนสุดขีดผมหันไปมองหน้าไอทิสซึ่งบัดนี้มีหยดน้ำสีแดงๆเปรอะเป็นจุดอยู่เต็มหน้าของมัน ผมยื่นมือขึ้นสัมผัสใบหน้าของตนเองลูบผ่านหยดน้ำแล้วเพ่งดูสิ่งที่อยู่บนมือผม เลือด มันคือเลือดของเด็กคนนั้นนั่นเอง
ผมนั่งอยู่ในห้องพักครูกับไอทิส ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากครูวรินทร์รีบวิ่งลงมากันผมและไอทิสออกไปและกันพื้นที่อย่างรวดเร็วจากนั้นครูศิวราคุณครูแนะแนวพาผมและทิสมายังห้องพักครูหลังจากมาถึงห้องพักครูแล้วครูศิวราก็นำผ้าห่มผืนเล็กมาห่มตัวเราทั้งคู่ไว้ ความรู้สึกในห้องพักครูขณะนั้นช่างเย็นยะเยือกลงไปจนถึงกระดูกซึ่งผมไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าความหนาวที่ผมรู้สึกนี้มาจากเครื่องปรับอากาศรุ่นโบราณในห้องพักครูหรือเป็นความหนาวสะท้านจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่ผมพึ่งได้พบกันแน่
“ติดต่อผู้ปกครองของเด็กได้รึยัง” น้ำเสียงร้อนรนของอาจารย์ท่านหนึ่งที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของห้องพักครูแวบเข้ามาในหูของเจมส์