คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 18
คำพิพากษาศาลฎีกา 1989/2552
คดีนี้เป็นการฟ้องร้องของธนาคารต่อจำเลยที่เป็นผู้ถือบัตรเครดิตให้จ่ายหนี้ในขณะที่จำเลยไม่จ่ายโดยอ้างว่าตนเองไม่ได้เป็นผู้ใช้บัตร เนื่องจากได้เดินทางไปฮ่องกงและบัตรเครดิตได้สูญหายไปในระหว่างนั้น มีผู้ขโมยบัตรเครดิตของจำเลยไปและปลอมลายมือชื่อเพื่อใช้บัตรเครดิตนั้นเพื่อรูดซื้อสินค้า โดยโจทก์ได้อ้างถึงข้อตกลงการใช้บัตรวีซ่า ข้อ 8 ที่ให้จำเลยต้องรับผิดในกรณีบัตรเครดิตสูญหาย ถูกขโมย หรือถูกใช้โดยบุคคลอื่นด้วย โดยจำเลยได้โทรแจ้งเรื่องบัตรหายในวันที่ 21 กรกฎาคม 2544 เวลาประมาณบ่ายสามโมง ในขณะที่ยอดหนี้ที่รูดจากบัตรไปเป็นการรูดที่ร้านเจมาร์ท เซ็นทรัลลาดพร้าว ในวันที่ 21 กรกฎาคม 2544 เวลา 11.05 น. ซึ่งเกิดขึ้นก่อนที่ผู้ถือแจ้งอายัดบัตรกับทางธนาคาร ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยต้องรับผิดชอบต่อหนี้นี้ จำเลยยื่นอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
เรื่องต่อเนื่องถึงศาลฎีกา ศาลฎีกาได้พิจารณาเงื่อนไขและข้อกำหนดการใช้บัตรวีซ่า ข้อ 8 ว่าเป็นข้อสัญญาที่เป็นธรรมหรือไม่ โดยศาลฎีกาได้พิจารณาเห็นว่าข้อกำหนดข้อ 8 ที่ให้จำเลยเป็นผู้รับผิดชอบในกรณีบัตรสูญหายหรือถูกโจรกรรมก่อนที่จะแจ้งอายัดบัตรกับธนาคารนั้น ขัดแย้งกันเองกับข้อกำหนดในข้อ 6 ที่บอกไว้ว่า ธนาคารจะระงับการเรียกเก็บเงินจากผู้ถือบัตร หากผู้ถือบัตรปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นผู้สั่งซื้อสินค้าหรือไม่ได้เป็นผู้รับบริการ อีกทั้งโจทก์ยังมีช่องทางอื่นในการแก้ไขความเสียหายของโจทก์ได้ เนื่องจากหากโจทก์ทำการตรวจสอบว่าลายมือชื่อของผู้ใช้บัตรในเซลล์สลิปไม่ตรงกับลายมือที่แท้จริงของจำเลยซึ่งเป็นผู้ถือบัตร โจทก์ก็สามารถไปไล่เบี้ยเอากับร้านเจมาร์ทแทนการมาเรียกเก็บหนี้จากจำเลยได้ ร้านเจมาร์ทเองก็ไม่ได้ใช้ความระมัดระวังในการตรวจสอบลายมือชื่อในเซลล์สลิปก่อน ซึ่งหากลายมือชื่อไม่ตรงก็มีสิทธิปฏิเสธไม่รับบัตรเครดิตได้อยู่แล้ว ศาลฎีกาจึงตัดสินให้จำเลยไม่มีความผิดไม่ต้องชำระหนี้ให้กับโจทก์ เนื่องจากข้อตกลงเงื่อนไขการใช้บัตรวีซ่า ข้อ 8 นั้นไม่เป็นธรรม
คดีนี้เป็นการฟ้องร้องของธนาคารต่อจำเลยที่เป็นผู้ถือบัตรเครดิตให้จ่ายหนี้ในขณะที่จำเลยไม่จ่ายโดยอ้างว่าตนเองไม่ได้เป็นผู้ใช้บัตร เนื่องจากได้เดินทางไปฮ่องกงและบัตรเครดิตได้สูญหายไปในระหว่างนั้น มีผู้ขโมยบัตรเครดิตของจำเลยไปและปลอมลายมือชื่อเพื่อใช้บัตรเครดิตนั้นเพื่อรูดซื้อสินค้า โดยโจทก์ได้อ้างถึงข้อตกลงการใช้บัตรวีซ่า ข้อ 8 ที่ให้จำเลยต้องรับผิดในกรณีบัตรเครดิตสูญหาย ถูกขโมย หรือถูกใช้โดยบุคคลอื่นด้วย โดยจำเลยได้โทรแจ้งเรื่องบัตรหายในวันที่ 21 กรกฎาคม 2544 เวลาประมาณบ่ายสามโมง ในขณะที่ยอดหนี้ที่รูดจากบัตรไปเป็นการรูดที่ร้านเจมาร์ท เซ็นทรัลลาดพร้าว ในวันที่ 21 กรกฎาคม 2544 เวลา 11.05 น. ซึ่งเกิดขึ้นก่อนที่ผู้ถือแจ้งอายัดบัตรกับทางธนาคาร ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยต้องรับผิดชอบต่อหนี้นี้ จำเลยยื่นอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
เรื่องต่อเนื่องถึงศาลฎีกา ศาลฎีกาได้พิจารณาเงื่อนไขและข้อกำหนดการใช้บัตรวีซ่า ข้อ 8 ว่าเป็นข้อสัญญาที่เป็นธรรมหรือไม่ โดยศาลฎีกาได้พิจารณาเห็นว่าข้อกำหนดข้อ 8 ที่ให้จำเลยเป็นผู้รับผิดชอบในกรณีบัตรสูญหายหรือถูกโจรกรรมก่อนที่จะแจ้งอายัดบัตรกับธนาคารนั้น ขัดแย้งกันเองกับข้อกำหนดในข้อ 6 ที่บอกไว้ว่า ธนาคารจะระงับการเรียกเก็บเงินจากผู้ถือบัตร หากผู้ถือบัตรปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นผู้สั่งซื้อสินค้าหรือไม่ได้เป็นผู้รับบริการ อีกทั้งโจทก์ยังมีช่องทางอื่นในการแก้ไขความเสียหายของโจทก์ได้ เนื่องจากหากโจทก์ทำการตรวจสอบว่าลายมือชื่อของผู้ใช้บัตรในเซลล์สลิปไม่ตรงกับลายมือที่แท้จริงของจำเลยซึ่งเป็นผู้ถือบัตร โจทก์ก็สามารถไปไล่เบี้ยเอากับร้านเจมาร์ทแทนการมาเรียกเก็บหนี้จากจำเลยได้ ร้านเจมาร์ทเองก็ไม่ได้ใช้ความระมัดระวังในการตรวจสอบลายมือชื่อในเซลล์สลิปก่อน ซึ่งหากลายมือชื่อไม่ตรงก็มีสิทธิปฏิเสธไม่รับบัตรเครดิตได้อยู่แล้ว ศาลฎีกาจึงตัดสินให้จำเลยไม่มีความผิดไม่ต้องชำระหนี้ให้กับโจทก์ เนื่องจากข้อตกลงเงื่อนไขการใช้บัตรวีซ่า ข้อ 8 นั้นไม่เป็นธรรม
แสดงความคิดเห็น
ช่วยด้วยค่ะ!! โดนขโมยบัตรเครดิตไปรูด ตอนนี้ติดเครดิตบูโร
ระหว่าง 2559 เป็นต้นมา ดิชั้นถูกธนาคารนี้ติดตามทวงถาม และดิชั้นเคยชี้แจงกับธนาคารและส่งหลักฐานเอกสารใบแจ้งความดำเนินคดีกับคนร้าย และหลักฐานอื่นๆไปจนหมดแล้ว. แต่ธนาคารก็ยังติดตาม สุดท้ายส่งข้อมูลของดิชั้นไปเครดิตบูโรค่ะ
การติดเครดิตบูโรครั้งแรกในชีวิต ทำให้ดิชั้นไม่สามารถขอสินเชื่อจากธนาคารอื่นเพื่อไปทำงานต่างประเทศได้ หรือ ขอกู้ซื้อบ้านหรือคอนโดได้ ทั้งๆที่ดิชั้นกำลังอยู่ในวัยสร้างเนื้อสร้างตัวค่ะ ดิชั้นเดือดร้อนมาก
เคยไปเจรจากับธนาคารค่ะ เค้าบอกว่าเราประมาทเอง ยังไงก็ต้องจ่าย สุดท้ายเค้าลดเงินต้นให้ให้จ่าย 25,000 บาท แต่ดิชั้นก็ยังไม่ตกลงค่ะ ดิชั้นจึงร้องไปยังธนาคารแห่งประเทศไทย ทาง ธนาคารแห่งประเทศไทยก็ได้แนะนำมาว่าให้เจรจาตกลงและเขียนเป็นจดหมายลายลักอักษรไปยังธนาคาร ซึ่งดิชั้นก็ทำแล้วแต่ธนาคารก็ยังเงียบค่ะ
ดิชั้นเลยไปฟ้องศาลแพ่งรัชดา แผนกคดีผู้บริโภค ให้ธนาคารยกยอดหนี้และแก้ข้อมูลเครดิตบูโรให้ดิชั้น (ไม่ได้ฟ้องเรียกค่าเสียหายนะคะ) ถึงวันนัดครั้งแรก ธนาคารส่งทนายมาค่ะ ดิชั้นไปเองไม่มีทนาย ท่านผู้พิพากษาก็ได้พูดเจรจาให้ แต่ธนาคารก็ฟ้องแย้งกลับมาว่าดิชั้นประมาทเอง ยังไงก็ต้องจ่าย สรุปตอนนี้อยู่ในขั้นตอนการไกล่เกลี่ยค่ะ จะนัดอีกทีเดือนเมษายนว่าจะเอายังไง
เลยอยากถามเพื่อนๆที่มีประสบการณ์ค่ะว่า
1.ถ้าดิชั้นถอนคำฟ้องออกคือไม่ฟ้องเค้าแล้ว แล้วปล่อยให้เวลาผ่านไป เกิน 3 ปี และดิชั้นก็ไม่จ่ายด้วย ดิชั้นจะหลุดจากเครดิตบูโรไหมคะ
2.ดิชั้นสามารถปรึกษาทนายด้านนี้ได้ที่ไหนคะ ขอราคาไม่แพง เพราะยอดเงินไม่ได้มาก กลัวไม่คุ้มค่าทนายค่ะ
3.ถ้าดิชั้นถอนฟ้อง แล้วฟ้องใหม่ โดยเรียกค่าเสียหายจากธนาคารในฐานะที่ให้เราไปติดบูโรทั้งที่เราไม่ได้เป็นคนใช้บัตร และทำให้เราเดือดร้อน สามารถทำได้หรือไม่คะ
4. ถ้าดิชั้นยอมจ่ายตามที่เค้าบอก ดิชั้นถือว่าโง่ไหมค่ะ เพราะตอนนี้อยากกู้ซื้อบ้านจริงๆ
ปล.ในข้อกำหนดบัตรเครดิตมีข้อหนึ่งที่บอกว่า ถ้าธนาคารพิสูจน์ได้ภายหลังว่าเราไม่ได้ใช้บัตร ธนาคารจะงดเว้นการเรียกเก็บยอดหนี้นั้น ซึ่งกรณีดิชั้นชัดเจนอยู่แล้วว่าไม่ได้ยินยอมให้คนร้ายเอาบัตรไปใช้ และได้แจ้งความดำเนินคดีข้อหาลักทรัพย์กับคนร้ายแล้วด้วยค่ะ
ขอบคุนค่ะ