บทที่ 16
ตุลย์รอมานานแล้วจะรออีกหน่อยเป็นไร คืนนั้น ยังรอเกือบสามชั่วโมงเพื่อส่งดอกไม้สีเหลือที่เขาวิ่งไปเอาจากปากคลองตลาดมาวางไว้ให้ และรอแค่ให้เห็นว่าเอื้องคำกลับถึงห้องพักอย่างปลอดภัย แต่สิ่งที่เห็นกลับกลายเป็นดาบคมกริบที่ทิ่มลงกลางใจของเขา
วันนี้ ไม่ว่าจะเห็นหรือไม่เห็นอะไร หัวใจของเขาก็ไม่เจ็บปวดเท่าไรนัก ยิ่งเมื่อรับรู้อาการพร่ำเพ้อของไอ้สมหวังผ่านโซเชียล ที่พอจับใจความว่ามันกับเอื้องคำจบแล้ว วีดีโอที่มันถ่ายภาพในห้องของเอื้องคำเพื่อเก็บไว้ดูครั้งสุดท้าย…..
ลาก่อนที่ๆ เคยนอน
ลาก่อนด้วยความช้ำใจ
ตุลย์ทนดูวีดีโอ หากก็ต้องดูซ้ำเมื่อเห็นดอกไม้สีเหลืองที่ปักอยู่เต็มแจกันหน้าหิ้งพระ ดอกไม้ที่เขาสั่งด้วยความเกียจชังให้เอื้องคำให้เอาไปทิ้งเสีย ถูกจัดไว้อย่างสวยงาม วางบนหิ้งพระในห้องนอนเล็ก
ร่างสูงสูดลมหายใจเข้าลึก ยืนกอดอกไขว้ขาพิงราวบันไดที่อยู่ตรงข้ามกับประตูลิฟต์ของชั้น ไม่ว่าเวลาจะผ่านมากี่นาทีเขาก็ยังอยู่ในท่าเดิม ไม่ว่าประตูลิฟต์จะเปิดออกกี่ครั้งเขาก็นิ่งในท่าเดิม
เตือนตัวเองทุกวินาทีว่า…จะไม่ใจอ่อน
มาเพื่อบอกธุระ จะได้ไม่เป็นเวรเป็นกรรมต่อกัน แล้วก็จบๆ ไปเสีย กลับไปใช้ชีวิตต่อไป ลืมความผิดพลาด ลืม…mistake ที่เคยกระทำ
การเตือน…ยังมีอยู่แม้เมื่อประตูลิฟต์เปิดออกอีกครั้งปรากฏร่างของหญิงสาวในเสื้อขาวทาบลายดำเป็นเส้นกับกางเกงยีนส์สีซีดขาสั้นที่ก้าวออกมา
สีหน้าเธอประหลาดใจผสมแววดีใจที่แม้จะพยายามกลบแต่ก็ไม่สำเร็จ คงคล้ายๆ เขาที่ดวงตาแข็งกร้าวเย็นชา ทว่าไม่สามารถบดบังแววเสน่หาอาดูรได้หมด
เอื้องคำสาวเท้าเข้าไปใกล้ หากยังเว้นระยะห่างจากเขาพอสมควร
“มานานแล้วเหรอ ออกไปข้างนอกมา ไปตัดผม” เธอบอก ลำคอตีบตันไปหมด ความเงียบหลังจากนั้นมันช่างนานแสนนาน จนหญิงสาวต้องถาม พยายามยิ้ม “เข้าไปคุยในห้องไหม”
“ไม่” เสียงเฉียบเด็ดขาด ดวงตาสีอำพันแข็งกระด้าง และอีกครู่กว่าเสียงทุ้มเยือกเย็นจะถาม “เห็นคุณธัญญาบอกว่าจะออก”
นั่นทำให้เอื้องคำคลี่ยิ้มบางๆ อีกครั้ง มองร่างสูงในเสื้อยืดเนื้อดี รับกับยีนส์สีเข้มที่ยังคงยืนกอดอกนิ่งในท่าเดิม “ก็แค่คิดๆ ยังไม่ได้ตัดสินใจอะไร”
หญิงสาวก้าวเข้าไปใกล้อีกหน่อย ยืนข้างๆ ในแนวเดียวกันกับเขา ห่างแค่ช่วงแขนเอื้อม
มีปัญหากับทั้งกำธรและกับองค์ชายน้อย…มันก็ต้องคิด
ต้องหาทาง…หนี
โดยเฉพาะเรื่องระหว่างเธอกับองค์ชายน้อยที่บัดนี้เป็นเรื่องที่ซุบซิบกันสนั่นเทวนิรมิต
“มานี่ก็แค่จะบอกว่า ไม่ต้องออกหรอก เรื่องส่วนตัวกับเรื่องงาน เราแยกแยะได้ เรื่องส่วนตัวไม่กระทบงานแน่นอน” หัวคิ้วขมวดเขม็ง ความคมเฉียบเยือกเย็นชัดเจนในน้ำเสียง แต่อีกฝ่ายก็ยังสามารถคลี่ยิ้มเศร้าๆ ที่คนชำเลืองทันมองเห็น “ไม่มีที่ไหนที่งานจะสบาย และให้เงินเดือนและสวัสดิการดีเท่าเทวนิรมิต ลูกๆ ยังเล็ก ค่าใช้จ่ายเยอะ ถ้าไม่อึดอัดใจจริงๆ ก็ทนทำไปก่อน ส่วนเราจะไปที่นิมมานให้น้อยลง เท่าที่จำเป็น มันจะได้ไม่ต้องลำบากใจกันทั้งคู่”
จบประโยค ร่างสูงก็พลันหันก้าวลงบันไดไป
การไป…ไม่มอง ไม้แม้แต่จะหันชำเลืองไปทางหญิงสาวที่บัดนี้ทรุดตัวลงนั่งบนขั้นบันได มือสั่นคว้าบุหรี่มาจุด สูดลมหายใจเข้าอย่างแรง
จนเมื่อลงมาถึงชั้นล่าง ตุลย์จึงหยุด หายใจเข้าลึกเป็นจังหวะ ลำคอตีบตัน พยายามระงับความรู้สึกทั้งหมดที่สุมในหัวใจและความคิด
วันทอง…กากี!
ผู้หญิงมากรัก มักมาก หลายใจ ไม่รู้จักพอ เอาตัวไปให้ไอ้คนกร่างโสมมมันเสพสม ปรนเปรอความใคร่
ผู้หญิงที่มีแต่ความสะสวยให้หลง หากไร้คุณงามความดีให้รัก!
หลงหน้าหลงรักให้หลงใหล หลงได้หลงลืมทุกแห่งหน
“เป็นอะไรเนี่ย” เขาสบถในใจ ท่ามกลางผู้อาศัยของตึกที่เดินผ่านไปมาในเวลาห้าโมงเย็น
ร่างสูงนั่งลงบนเก้าอี้สีแดงข้างร้านสะดวกซื้อเล็กๆใต้ตึก สับสน…ไม่เข้าใจตัวเองและความรู้สึกของตัวเอง
เอื้องคำควรเป็นอะไรเล่นๆ ไม่จริงจัง ไม่ซีเรียสเช่นที่จิตใต้สำนึกของเขาเคยประกาศไว้กับผู้หญิงคนนั้นในคืนนั้น
กับคนอื่นที่เขาเคยจริงจัง พอเรื่องของเรา…จบ ก็ลาจาก มีอาลัยอาวรณ์ โหยหา แต่ไม่รุ่มร้อน รัญจวนใจจนแทบคลั่งเช่นนี้
ลมหายใจเข้าออกรุนแรงเพราะเครียดกับความคิด หัวคิ้วยังไม่คลาย แววว้าวุ่นฉาบอยู่ในดวงตาคมจัดคู่นั้น ตุลย์หยิบมือถืออกมา โทรฯ เรียกคิมหันต์ให้มารับ
นี่เป็นครั้งแรกกระมังที่คิมหันต์มิได้มาให้ทันใจ เขารอเกือบสิบนาที เงยหน้าอีกครั้งก็เห็นเอื้องคำถือขวดน้ำลิตรเปล่าสองใบลงบันไดมา
“อ้าว”
เธอหยุดอุทาน นัยน์ตาปรากฏรอยยิ้ม หากชายหนุ่มเบี่ยงหน้าไปทางอื่นราวว่าอีกฝ่ายเป็นขยะสายตา เมินแม้เมื่อเอื้องคำเดินลงไปหน้าตึกแล้ว บอกตัวเองว่าสายตามองหารถยนต์คันงามที่ต้องมารับเขาต่างหาก ไม่ได้มองร่างในเสื้อสีขาวลายดำนั่นสักนิด ไม่มองร่างนั้นที่หิ้วขวดน้ำลิตรหนักในทั้งสองมือกลับมากดเรียกลิฟต์
ดวงตาล้ำลึกของเอื้องคำส่องประกายมาทางเขาก่อนประตูลิฟต์จะปิด
ดวงตาที่ฉายแววเจิดจ้าจับเสน่ห์ที่สามารถทั้งยิ้มและเศร้าไปได้พร้อมๆ กัน
ดวงตาที่ทำให้ตุลย์หันเมินไปทางอื่น ไม่แน่ใจในความรู้สึกตัวเองนัก…หลง รัก เกลียด ชิงชัง ขยะแขยง!
แต่แววตาคู่นั้นยังคงผ่านเข้ามาในความคิด แล้วยังผิวนวลอมชมพูของเธอที่รับกับใบหน้าหวานผสมคมคายอย่างลงตัว…หลงละเมอเพ้อพกหลงคน
อาการถอนหายใจยาวยังไม่หยุด หัวใจเต้นแรง แน่นจนล้นทรวงอก
ไหนๆ ก็จบกันแล้ว…ให้เห็นหน้ากันอีกสักครั้ง ครั้งสุดท้ายจะเป็นไร มันไม่มีอะไรจะต้องเสีย
พูดกันดีๆ จบและจากกันด้วยดี เหมือนเช่นที่เขาทำกับคนอื่นๆ ที่ผ่านมา
ตุลย์ลุกขึ้นพรวด ก้าวฉับขึ้นบันไดจนถึงชั้นสี่ เห็นแล้วว่าประตูเหล็กดัดสีน้ำตาลซีดมุงด้วยมุ้งรวดนั้นเปิดออกกว้าง นำแสงสว่างจากภายในบ้านแตะบนพื้นปูนหน้าห้องในเวลาโพล้เพล้ ร่างสูงหยุดกึก สูดลมหายใจเข้าลึก สายตาจับนิ่งที่ประตูบานนั้น เขาหลับตา คิดตัดสินใจอีกครั้ง แล้วก้าวช้าๆ
ประตูไม้สีเข้มด้านในเปิดแง้มไว้ พอให้เห็นร่างของคนที่กำลังกวาดบ้าน ชายหนุ่มยืนนิ่ง สีหน้าเฉย จ้องเธอด้วยสายตาเจ็บปวดที่พลันเปลี่ยนเป็นชิงชัง เย็นชา เมื่อเอื้องคำเงยหน้าขึ้นมา
เธอพยายามยิ้มให้แจ่มใสที่สุดเท่าที่จะทำได้ ขณะพยักเพยิกหน้าบอก
“เข้ามาสิ” ทว่าผู้มาเยือนยังคงยืนอยู่ที่เดิม ปั้นหน้าตึงเช่นเดิม ไรกรามขบแน่นเหมือนเดิม แม้ว่าเธอจะยังคงยิ้มให้เขา “อ้าว จะเข้ามาก็เข้ามา”
หากตุลย์ลังเล มองพื้น มองไปทางอื่น แล้วมองหญิงสาวที่อยู่ด้านใน
“จะเข้ามาไหม” การถามแกมหัวเราะ เอื้องคำมองคนสาวท้าวก้าวแล้วชะงักดึงขากลับ ราวรังเกียจ
เขาลังเลอีกครู่แล้วจึงถอดรองเท้าคู่ใจราคาเหยียบหมื่นไว้หน้าประตูด้านนอก แล้วก้าวช้าๆ เข้าไปข้างใน มองไปรอบๆ
ห้องนี้เล็กกว่าห้องของเขาที่ บ้านใหญ่ ที่กินบริเวณด้านหนึ่งของตัวบ้าน เล็กและคับแคบกว่าห้องชุดหรูกลางกรุงเทพฯ
ห้องนี้มีของน้อย ดูสะอาดสะอ้านเป็นระเบียบ
อย่างน้อยงานบ้าน…เอื้องคำก็ไม่ขาด ไม่บกพร่อง
เขายืนเก้งๆ ก้างๆ มองซ้ายขวา ทำตัวไม่ถูก หากสายตาจับอยู่ที่แจกันใหญ่บนหิ้งพระที่มีดอกมัมปิงปองสีเหลืองประดับอยู่จนเต็ม
เอื้องคำไม่ได้ทิ้งมันไปตามที่เขาสั่งอย่างโกรธแค้น ดอกไม้ที่เขาอุตส่าห์ขับไปเลือกที่ปากคลองตลาดเพื่อส่งให้เธอในคืนนั้น ถูกจัดอย่างสวยงาม ตุลย์มองอยู่นาน จะละสายตาเมื่อรับรู้ว่าเจ้าของห้องกำลังมองเขา
“นั่งสิ” เอื้องคำเลื่อนหนึ่งในสองเก้าอี้ของโต๊ะกินข้าวตัวเล็ก หากเขาไม่นั่ง แค่มองอย่างรังเกียจ เดินไปมาตามหลังเธออยู่ห่างๆ ไม่พูดอะไรสักคำ
สายตาคมจับอยู่ที่ร่างของหญิงสาว มองเธอกวาดบ้าน ถูพื้น เปลี่ยนผู้ปูที่นอน
ผ้าปูที่นอน…ผืนที่กำลังถูกถอดนี่ไงที่ไอ้สมหวังมันถ่ายแล้วโพสลงโซเชียล
…
ที่ๆ เคยนอน…
ดวงหน้าและสายตาของเขาพลันแสดงความขยะแขยง ร่างสูงในกางเกงยีนส์ราคาแพงถอยร่นออกมา ไม่อยากเฉียดใกล้ รับรู้แค่ว่าหญิงสาวยัดผ้าปู ปลอกหมอนและผ้าห่มชุดนั้นลงในตะกร้าผ้า จัดแจงปูผ้านอนชุดใหม่จนครบเซ็ท
“วันหยุดก็แบบนี้ ทำธุระ แล้วก็ทำงานบ้าน”
ระหว่างเล่าเอื้องคำก็พลางทำโน่นนี่ สายตาชำเลืองมองคนที่ยังคงยืนขบกรามแน่น เธอยิ้มให้เขา…รอยยิ้มลึกซึ้งแกมเศร้า ที่อีกฝ่ายพยายามไม่มอง เบือนหน้าหนีเมื่อหญิงสาวเดินผ่านเพื่อยกพัดลมอีกเครื่องในบริเวณห้องนอน มาเปิดให้เขา
ห้องเช่าราคาถูกไม่มีแอร์ อาศัยแค่พัดลมเก่าสองตัว และลมธรรมชาติจากหน้าต่างของห้องพัก และระเบียงแคบๆ ด้านหลัง
เจ้าของห้องเดินผ่านร่างของเขาอีกครั้งเพื่อไปยังบริเวณครัวเล็กๆ หลังห้อง ทว่าครั้งนี้ วงแขนแข็งแรงสวมกอดกระชับร่างของเธอจากด้านหลัง รั้งเข้าชิดแผ่นอกหนา
การกอด…
นิ่ง ใบหน้าก้มลงจนไออุ่นจากลมหายใจแนบชิดพวงแก้มนวล
เอื้องคำไม่ขยับตัว หัวใจกระตุกอย่างแรง กลืนความขมขื่นลงในลำคอ พยายามสะกดอารมณ์ที่พรั่งพรู ดวงตาเจิดจรัสวาดด้วยเสน่ห์ปิดแน่น…รอเขา
(ต่อ)
เปลวพิศวาส (บทที่ 16) โดย มานัส
ตุลย์รอมานานแล้วจะรออีกหน่อยเป็นไร คืนนั้น ยังรอเกือบสามชั่วโมงเพื่อส่งดอกไม้สีเหลือที่เขาวิ่งไปเอาจากปากคลองตลาดมาวางไว้ให้ และรอแค่ให้เห็นว่าเอื้องคำกลับถึงห้องพักอย่างปลอดภัย แต่สิ่งที่เห็นกลับกลายเป็นดาบคมกริบที่ทิ่มลงกลางใจของเขา
วันนี้ ไม่ว่าจะเห็นหรือไม่เห็นอะไร หัวใจของเขาก็ไม่เจ็บปวดเท่าไรนัก ยิ่งเมื่อรับรู้อาการพร่ำเพ้อของไอ้สมหวังผ่านโซเชียล ที่พอจับใจความว่ามันกับเอื้องคำจบแล้ว วีดีโอที่มันถ่ายภาพในห้องของเอื้องคำเพื่อเก็บไว้ดูครั้งสุดท้าย…..ลาก่อนที่ๆ เคยนอน
ลาก่อนด้วยความช้ำใจ
ตุลย์ทนดูวีดีโอ หากก็ต้องดูซ้ำเมื่อเห็นดอกไม้สีเหลืองที่ปักอยู่เต็มแจกันหน้าหิ้งพระ ดอกไม้ที่เขาสั่งด้วยความเกียจชังให้เอื้องคำให้เอาไปทิ้งเสีย ถูกจัดไว้อย่างสวยงาม วางบนหิ้งพระในห้องนอนเล็ก
ร่างสูงสูดลมหายใจเข้าลึก ยืนกอดอกไขว้ขาพิงราวบันไดที่อยู่ตรงข้ามกับประตูลิฟต์ของชั้น ไม่ว่าเวลาจะผ่านมากี่นาทีเขาก็ยังอยู่ในท่าเดิม ไม่ว่าประตูลิฟต์จะเปิดออกกี่ครั้งเขาก็นิ่งในท่าเดิม
เตือนตัวเองทุกวินาทีว่า…จะไม่ใจอ่อน
มาเพื่อบอกธุระ จะได้ไม่เป็นเวรเป็นกรรมต่อกัน แล้วก็จบๆ ไปเสีย กลับไปใช้ชีวิตต่อไป ลืมความผิดพลาด ลืม…mistake ที่เคยกระทำ
การเตือน…ยังมีอยู่แม้เมื่อประตูลิฟต์เปิดออกอีกครั้งปรากฏร่างของหญิงสาวในเสื้อขาวทาบลายดำเป็นเส้นกับกางเกงยีนส์สีซีดขาสั้นที่ก้าวออกมา
สีหน้าเธอประหลาดใจผสมแววดีใจที่แม้จะพยายามกลบแต่ก็ไม่สำเร็จ คงคล้ายๆ เขาที่ดวงตาแข็งกร้าวเย็นชา ทว่าไม่สามารถบดบังแววเสน่หาอาดูรได้หมด
เอื้องคำสาวเท้าเข้าไปใกล้ หากยังเว้นระยะห่างจากเขาพอสมควร
“มานานแล้วเหรอ ออกไปข้างนอกมา ไปตัดผม” เธอบอก ลำคอตีบตันไปหมด ความเงียบหลังจากนั้นมันช่างนานแสนนาน จนหญิงสาวต้องถาม พยายามยิ้ม “เข้าไปคุยในห้องไหม”
“ไม่” เสียงเฉียบเด็ดขาด ดวงตาสีอำพันแข็งกระด้าง และอีกครู่กว่าเสียงทุ้มเยือกเย็นจะถาม “เห็นคุณธัญญาบอกว่าจะออก”
นั่นทำให้เอื้องคำคลี่ยิ้มบางๆ อีกครั้ง มองร่างสูงในเสื้อยืดเนื้อดี รับกับยีนส์สีเข้มที่ยังคงยืนกอดอกนิ่งในท่าเดิม “ก็แค่คิดๆ ยังไม่ได้ตัดสินใจอะไร”
หญิงสาวก้าวเข้าไปใกล้อีกหน่อย ยืนข้างๆ ในแนวเดียวกันกับเขา ห่างแค่ช่วงแขนเอื้อม
มีปัญหากับทั้งกำธรและกับองค์ชายน้อย…มันก็ต้องคิด
ต้องหาทาง…หนี
โดยเฉพาะเรื่องระหว่างเธอกับองค์ชายน้อยที่บัดนี้เป็นเรื่องที่ซุบซิบกันสนั่นเทวนิรมิต
“มานี่ก็แค่จะบอกว่า ไม่ต้องออกหรอก เรื่องส่วนตัวกับเรื่องงาน เราแยกแยะได้ เรื่องส่วนตัวไม่กระทบงานแน่นอน” หัวคิ้วขมวดเขม็ง ความคมเฉียบเยือกเย็นชัดเจนในน้ำเสียง แต่อีกฝ่ายก็ยังสามารถคลี่ยิ้มเศร้าๆ ที่คนชำเลืองทันมองเห็น “ไม่มีที่ไหนที่งานจะสบาย และให้เงินเดือนและสวัสดิการดีเท่าเทวนิรมิต ลูกๆ ยังเล็ก ค่าใช้จ่ายเยอะ ถ้าไม่อึดอัดใจจริงๆ ก็ทนทำไปก่อน ส่วนเราจะไปที่นิมมานให้น้อยลง เท่าที่จำเป็น มันจะได้ไม่ต้องลำบากใจกันทั้งคู่”
จบประโยค ร่างสูงก็พลันหันก้าวลงบันไดไป
การไป…ไม่มอง ไม้แม้แต่จะหันชำเลืองไปทางหญิงสาวที่บัดนี้ทรุดตัวลงนั่งบนขั้นบันได มือสั่นคว้าบุหรี่มาจุด สูดลมหายใจเข้าอย่างแรง
จนเมื่อลงมาถึงชั้นล่าง ตุลย์จึงหยุด หายใจเข้าลึกเป็นจังหวะ ลำคอตีบตัน พยายามระงับความรู้สึกทั้งหมดที่สุมในหัวใจและความคิด
วันทอง…กากี!
ผู้หญิงมากรัก มักมาก หลายใจ ไม่รู้จักพอ เอาตัวไปให้ไอ้คนกร่างโสมมมันเสพสม ปรนเปรอความใคร่
ผู้หญิงที่มีแต่ความสะสวยให้หลง หากไร้คุณงามความดีให้รัก!
หลงหน้าหลงรักให้หลงใหล หลงได้หลงลืมทุกแห่งหน
“เป็นอะไรเนี่ย” เขาสบถในใจ ท่ามกลางผู้อาศัยของตึกที่เดินผ่านไปมาในเวลาห้าโมงเย็น
ร่างสูงนั่งลงบนเก้าอี้สีแดงข้างร้านสะดวกซื้อเล็กๆใต้ตึก สับสน…ไม่เข้าใจตัวเองและความรู้สึกของตัวเอง
เอื้องคำควรเป็นอะไรเล่นๆ ไม่จริงจัง ไม่ซีเรียสเช่นที่จิตใต้สำนึกของเขาเคยประกาศไว้กับผู้หญิงคนนั้นในคืนนั้น
กับคนอื่นที่เขาเคยจริงจัง พอเรื่องของเรา…จบ ก็ลาจาก มีอาลัยอาวรณ์ โหยหา แต่ไม่รุ่มร้อน รัญจวนใจจนแทบคลั่งเช่นนี้
ลมหายใจเข้าออกรุนแรงเพราะเครียดกับความคิด หัวคิ้วยังไม่คลาย แววว้าวุ่นฉาบอยู่ในดวงตาคมจัดคู่นั้น ตุลย์หยิบมือถืออกมา โทรฯ เรียกคิมหันต์ให้มารับ
นี่เป็นครั้งแรกกระมังที่คิมหันต์มิได้มาให้ทันใจ เขารอเกือบสิบนาที เงยหน้าอีกครั้งก็เห็นเอื้องคำถือขวดน้ำลิตรเปล่าสองใบลงบันไดมา
“อ้าว”
เธอหยุดอุทาน นัยน์ตาปรากฏรอยยิ้ม หากชายหนุ่มเบี่ยงหน้าไปทางอื่นราวว่าอีกฝ่ายเป็นขยะสายตา เมินแม้เมื่อเอื้องคำเดินลงไปหน้าตึกแล้ว บอกตัวเองว่าสายตามองหารถยนต์คันงามที่ต้องมารับเขาต่างหาก ไม่ได้มองร่างในเสื้อสีขาวลายดำนั่นสักนิด ไม่มองร่างนั้นที่หิ้วขวดน้ำลิตรหนักในทั้งสองมือกลับมากดเรียกลิฟต์
ดวงตาล้ำลึกของเอื้องคำส่องประกายมาทางเขาก่อนประตูลิฟต์จะปิด
ดวงตาที่ฉายแววเจิดจ้าจับเสน่ห์ที่สามารถทั้งยิ้มและเศร้าไปได้พร้อมๆ กัน
ดวงตาที่ทำให้ตุลย์หันเมินไปทางอื่น ไม่แน่ใจในความรู้สึกตัวเองนัก…หลง รัก เกลียด ชิงชัง ขยะแขยง!
แต่แววตาคู่นั้นยังคงผ่านเข้ามาในความคิด แล้วยังผิวนวลอมชมพูของเธอที่รับกับใบหน้าหวานผสมคมคายอย่างลงตัว…หลงละเมอเพ้อพกหลงคน
อาการถอนหายใจยาวยังไม่หยุด หัวใจเต้นแรง แน่นจนล้นทรวงอก
ไหนๆ ก็จบกันแล้ว…ให้เห็นหน้ากันอีกสักครั้ง ครั้งสุดท้ายจะเป็นไร มันไม่มีอะไรจะต้องเสีย
พูดกันดีๆ จบและจากกันด้วยดี เหมือนเช่นที่เขาทำกับคนอื่นๆ ที่ผ่านมา
ตุลย์ลุกขึ้นพรวด ก้าวฉับขึ้นบันไดจนถึงชั้นสี่ เห็นแล้วว่าประตูเหล็กดัดสีน้ำตาลซีดมุงด้วยมุ้งรวดนั้นเปิดออกกว้าง นำแสงสว่างจากภายในบ้านแตะบนพื้นปูนหน้าห้องในเวลาโพล้เพล้ ร่างสูงหยุดกึก สูดลมหายใจเข้าลึก สายตาจับนิ่งที่ประตูบานนั้น เขาหลับตา คิดตัดสินใจอีกครั้ง แล้วก้าวช้าๆ
ประตูไม้สีเข้มด้านในเปิดแง้มไว้ พอให้เห็นร่างของคนที่กำลังกวาดบ้าน ชายหนุ่มยืนนิ่ง สีหน้าเฉย จ้องเธอด้วยสายตาเจ็บปวดที่พลันเปลี่ยนเป็นชิงชัง เย็นชา เมื่อเอื้องคำเงยหน้าขึ้นมา
เธอพยายามยิ้มให้แจ่มใสที่สุดเท่าที่จะทำได้ ขณะพยักเพยิกหน้าบอก
“เข้ามาสิ” ทว่าผู้มาเยือนยังคงยืนอยู่ที่เดิม ปั้นหน้าตึงเช่นเดิม ไรกรามขบแน่นเหมือนเดิม แม้ว่าเธอจะยังคงยิ้มให้เขา “อ้าว จะเข้ามาก็เข้ามา”
หากตุลย์ลังเล มองพื้น มองไปทางอื่น แล้วมองหญิงสาวที่อยู่ด้านใน
“จะเข้ามาไหม” การถามแกมหัวเราะ เอื้องคำมองคนสาวท้าวก้าวแล้วชะงักดึงขากลับ ราวรังเกียจ
เขาลังเลอีกครู่แล้วจึงถอดรองเท้าคู่ใจราคาเหยียบหมื่นไว้หน้าประตูด้านนอก แล้วก้าวช้าๆ เข้าไปข้างใน มองไปรอบๆ
ห้องนี้เล็กกว่าห้องของเขาที่ บ้านใหญ่ ที่กินบริเวณด้านหนึ่งของตัวบ้าน เล็กและคับแคบกว่าห้องชุดหรูกลางกรุงเทพฯ
ห้องนี้มีของน้อย ดูสะอาดสะอ้านเป็นระเบียบ
อย่างน้อยงานบ้าน…เอื้องคำก็ไม่ขาด ไม่บกพร่อง
เขายืนเก้งๆ ก้างๆ มองซ้ายขวา ทำตัวไม่ถูก หากสายตาจับอยู่ที่แจกันใหญ่บนหิ้งพระที่มีดอกมัมปิงปองสีเหลืองประดับอยู่จนเต็ม
เอื้องคำไม่ได้ทิ้งมันไปตามที่เขาสั่งอย่างโกรธแค้น ดอกไม้ที่เขาอุตส่าห์ขับไปเลือกที่ปากคลองตลาดเพื่อส่งให้เธอในคืนนั้น ถูกจัดอย่างสวยงาม ตุลย์มองอยู่นาน จะละสายตาเมื่อรับรู้ว่าเจ้าของห้องกำลังมองเขา
“นั่งสิ” เอื้องคำเลื่อนหนึ่งในสองเก้าอี้ของโต๊ะกินข้าวตัวเล็ก หากเขาไม่นั่ง แค่มองอย่างรังเกียจ เดินไปมาตามหลังเธออยู่ห่างๆ ไม่พูดอะไรสักคำ
สายตาคมจับอยู่ที่ร่างของหญิงสาว มองเธอกวาดบ้าน ถูพื้น เปลี่ยนผู้ปูที่นอน
ผ้าปูที่นอน…ผืนที่กำลังถูกถอดนี่ไงที่ไอ้สมหวังมันถ่ายแล้วโพสลงโซเชียล
…ที่ๆ เคยนอน…
ดวงหน้าและสายตาของเขาพลันแสดงความขยะแขยง ร่างสูงในกางเกงยีนส์ราคาแพงถอยร่นออกมา ไม่อยากเฉียดใกล้ รับรู้แค่ว่าหญิงสาวยัดผ้าปู ปลอกหมอนและผ้าห่มชุดนั้นลงในตะกร้าผ้า จัดแจงปูผ้านอนชุดใหม่จนครบเซ็ท
“วันหยุดก็แบบนี้ ทำธุระ แล้วก็ทำงานบ้าน”
ระหว่างเล่าเอื้องคำก็พลางทำโน่นนี่ สายตาชำเลืองมองคนที่ยังคงยืนขบกรามแน่น เธอยิ้มให้เขา…รอยยิ้มลึกซึ้งแกมเศร้า ที่อีกฝ่ายพยายามไม่มอง เบือนหน้าหนีเมื่อหญิงสาวเดินผ่านเพื่อยกพัดลมอีกเครื่องในบริเวณห้องนอน มาเปิดให้เขา
ห้องเช่าราคาถูกไม่มีแอร์ อาศัยแค่พัดลมเก่าสองตัว และลมธรรมชาติจากหน้าต่างของห้องพัก และระเบียงแคบๆ ด้านหลัง
เจ้าของห้องเดินผ่านร่างของเขาอีกครั้งเพื่อไปยังบริเวณครัวเล็กๆ หลังห้อง ทว่าครั้งนี้ วงแขนแข็งแรงสวมกอดกระชับร่างของเธอจากด้านหลัง รั้งเข้าชิดแผ่นอกหนา
การกอด…นิ่ง ใบหน้าก้มลงจนไออุ่นจากลมหายใจแนบชิดพวงแก้มนวล
เอื้องคำไม่ขยับตัว หัวใจกระตุกอย่างแรง กลืนความขมขื่นลงในลำคอ พยายามสะกดอารมณ์ที่พรั่งพรู ดวงตาเจิดจรัสวาดด้วยเสน่ห์ปิดแน่น…รอเขา
(ต่อ)