สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 33
การทำงานของจิตแบ่งเป็นสองช่วงคือ
๑..ช่วงที่จิตพัก คือ มีภวังค์จิตเกิดดับ ต่อเนื่องกันไปตลอด เป็นชาติวิบาก ไม่ขึ้นวิถี ไม่สร้างกรรมใหม่ ไม่ร้ับรู้อารมณ์อะไรใหม่ๆ รู้เพียงอารมณ์เดียวกันกับปฏิสนธิจิต เท่านั้น
๒..ช่วงที่จิตทำงาน คือ จิตจะเกิดดับเรียงลำดับกันอย่างเป็นระเบียบ เรียกว่า เกิด"วิถีจิต"ในรูปแบบต่างๆ กัน ในช่วงหนึ่งของวิถี จะมี"ชวนจิต"ที่มีหน้าทีสร้างกรรมใหม่ ถ้า ชวนจิตเป็นกุศล วิถีนั้นก็เป็นกุศล ถ้าชวนจิตเป็นอกุศล วิถีนั้นก็เป็นอกุศล
ในขณะนอนหลับ มีทั้งสองช่วงเวลา คือ ขณะพัก และทำงาน
-ขณะหลับสนิท ภวังคจิตจะเกิดตลอด เป็นการหลับของทุกคนที่หลับสนิท เป็นจิตขณะพัก
-ขณะฝัน จิตจะทำงานขึ้นวิถี เป็นกามมโนทวารวิถีจิต ซึ่งมีทั้งกุศล(เช่นฝันถึงเหตุการณ์ที่ได้ทำบุญมา)และอกุศล(เช่นฝันเรื่อยเปื่อย งงๆงวยๆ)
เมื่อเกิดกุศลจิต จะมีสติเจตสิกเกิดประกอบ ดังนั้นในฝันก็อาจมีสติเกิดร่วมบ้างก็ได้
แต่หากจะใช้สติกำหนดสติปัฏฐาน ซึ่งเป็นขณะที่สติเกิดสัมปยุตต์กับปัญญา
สภาพจิตจะแจ่มใสมาก รู้อารมณ์ได้ชัดเจน ก็จะรู้สึกตัวตื่นขึ้นทันที
การที่พระอรหันต์ไม่ฝัน ไม่ใช่เพราะพระพุทธเจ้าทรงห้ามท่านฝัน
แต่เป็นเพราะท่านปราศจากกามราคะแล้ว ท่านไม่มีสิ่งปรุงแต่งให้วิปลาสสร้างเหตุกุศลหรืออกุศลใดๆ ได้อีกแล้ว
๑..ช่วงที่จิตพัก คือ มีภวังค์จิตเกิดดับ ต่อเนื่องกันไปตลอด เป็นชาติวิบาก ไม่ขึ้นวิถี ไม่สร้างกรรมใหม่ ไม่ร้ับรู้อารมณ์อะไรใหม่ๆ รู้เพียงอารมณ์เดียวกันกับปฏิสนธิจิต เท่านั้น
๒..ช่วงที่จิตทำงาน คือ จิตจะเกิดดับเรียงลำดับกันอย่างเป็นระเบียบ เรียกว่า เกิด"วิถีจิต"ในรูปแบบต่างๆ กัน ในช่วงหนึ่งของวิถี จะมี"ชวนจิต"ที่มีหน้าทีสร้างกรรมใหม่ ถ้า ชวนจิตเป็นกุศล วิถีนั้นก็เป็นกุศล ถ้าชวนจิตเป็นอกุศล วิถีนั้นก็เป็นอกุศล
ในขณะนอนหลับ มีทั้งสองช่วงเวลา คือ ขณะพัก และทำงาน
-ขณะหลับสนิท ภวังคจิตจะเกิดตลอด เป็นการหลับของทุกคนที่หลับสนิท เป็นจิตขณะพัก
-ขณะฝัน จิตจะทำงานขึ้นวิถี เป็นกามมโนทวารวิถีจิต ซึ่งมีทั้งกุศล(เช่นฝันถึงเหตุการณ์ที่ได้ทำบุญมา)และอกุศล(เช่นฝันเรื่อยเปื่อย งงๆงวยๆ)
เมื่อเกิดกุศลจิต จะมีสติเจตสิกเกิดประกอบ ดังนั้นในฝันก็อาจมีสติเกิดร่วมบ้างก็ได้
แต่หากจะใช้สติกำหนดสติปัฏฐาน ซึ่งเป็นขณะที่สติเกิดสัมปยุตต์กับปัญญา
สภาพจิตจะแจ่มใสมาก รู้อารมณ์ได้ชัดเจน ก็จะรู้สึกตัวตื่นขึ้นทันที
การที่พระอรหันต์ไม่ฝัน ไม่ใช่เพราะพระพุทธเจ้าทรงห้ามท่านฝัน
แต่เป็นเพราะท่านปราศจากกามราคะแล้ว ท่านไม่มีสิ่งปรุงแต่งให้วิปลาสสร้างเหตุกุศลหรืออกุศลใดๆ ได้อีกแล้ว
ความคิดเห็นที่ 3
หลับเป็นภวังคจิต มีชาติวิบาก ... เป็นจิตชาติวิบาก (ผลของกรรม) เป็นวิบาก ไม่ใช่กุศลจิต อกุศลจิต เป็นกิเลส เป็นตัณหาได้อย่างไร (ก็จิตตอนนั้น ภวังคจิตเป็นชาติวิบาก) เจตนาเป็นเจตสิก แต่เกิดกับจิตประเภทวิบาก (ภวังคจิต) เจตนาตอนนั้นก็เป็นเจตสิก (จากวิบาก) อีก เจตนาตอนนั้นก็ไม่กรรม ไม่เป็นตัณหาอีกเพราะตอนนั้นก็วิบากอีก ไม่ใช่ชาติอกุศล
แสดงความคิดเห็น
ทำหมู กับเม็ดมะม่วง "ขณะนอนหลับสนิท เป็นภวังคจิต มีชาติวิบาก " แสดงว่าหลับสนิทเป็นกิเลสตัณหา เป็นเจตนา เป็นกรรม
ความคิดเห็นที่ 8-2 ทำหมู
จุดหมายคือ ให้มีความเพียรตลอดเวลา แต่สำหรับผู้ปฏิบัติ การไม่หลับเป็นไปไม่ได้ครับ
จึงให้หลับอย่างสำรวมระวัง หลับก็ไม่เผลอ ตื่นก็ไม่หลง... หากจะหลับก็หลับไปตามกำลังของร่างกาย
และเมื่อตื่น ก็ตื่นพร้อมกับการมีสติระลึกรู้
ตถาคตไสยา นอนด้วยจตุตถฌาน
http://www.dhammahome.com/webboard/topic/5705
ความไม่อิ่ม 3 อย่างคือ
1. ไม่อิ่มด้วยการนอน
2. ไม่อื่มด้วยการเสพสุรา
3. ไม่อิ่มด้วยการเสพเมถุน
ขณะนอนหลับสนิท เป็นภวังคจิต มีชาติวิบาก ไม่อาจจะเจริญปัญญาได้ ทว่า เมื่อมีเหตุมีปัจจัยให้นอนก็ต้องนอน การไม่ยอมนอนเพราะอกุศล และการยินดีในการนอนมากไปก็ไม่ทำให้ปัญญาเจริญขึ้นได้เช่นกันครับขออนุโมทนาครับ