อธิบายกลไกราคาน้ำมันอย่างง่าย(เด็กประถมเข้าใจ) สัปดาห์เดียวราคาหน้าปั๊มไทยลดลง 2 ครั้งเป็นเพราะราคาน้ำมันดิบหรือป่าว??

ช่วงนี้เป็นข่าวดีของคนใช้รถเพราะผู้ค้าน้ำมันในประเทศค่ายต่างๆมีการประกาศลดราคาน้ำมันโดยเฉพาะสัปดาห์นี้ประกาศปรับลดราคาไปถึงสองครั้งตามทิศทางของราคาน้ำมันดิบโลกที่ปรับลดลง แต่……..เอบางครั้งทำไมราคาน้ำมันดิบลงแต่ราคาในประเทศกลับปรับขึ้นสวนทางล่ะ?? มันไม่ได้ขึ้นลงตามราคาน้ำมันดิบเหรอ??  ความไม่มีเหตุผลแบบนี้คงสร้างความสับสันไม่น้อยเลยใช่มั๊ยคับ

นั่นเพราะจริงๆแล้วราคาหน้าปั๊มไทยมันไม่ได้อ้างอิงตามราคาน้ำมันดิบโลกคับ ซึ่งการจะเข้าใจกลไกของมัน มีปัจจัยหลักๆแค่ “สองอย่าง!!” เท่านั้นที่ต้องดูก็คือ “ราคาน้ำมันสำเร็จรูปตลาดสิงคโปร์” และ “ค่าการตลาดในประเทศ” แค่นั้น!

ทำไมต้องดูราคาตลาดสิงคโปร์??
นั่นก็เพราะราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นในประเทศไทยจะเปลี่ยนแปลงตามราคาน้ำมันสำเร็จรูปตลาดสิงคโปร์ และเมื่อราคาหน้าโรงกลั่นมีการเปลี่ยนแปลงก็จะทำให้ค่าการตลาดในประเทศเปลี่ยนตามไปด้วย (ดูอัตราการเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยประมาณ 3 วัน)

แล้วค่าการตลาดน้ำมันๆคืออะไรเหรอ?
อธิบายง่ายๆมันคือรายได้ที่ยังไม่หักค่าใช้จ่ายต่างๆ ของปั๊มเข้าไปด้วย เช่น ค่าไฟ ค่าแรงพนักงาน ค่าเช่าที่ ค่าดอกเบี้ยที่กู้มาลงทุน เป็นต้น และไอตัวนี้แหละคับที่ส่งผลต่อการปรับราคาน้ำมันหน้าปั๊มในประเทศไทยแบบตรงๆเลย

ยกตัวอย่างง่ายๆถ้าเราทำธุรกิจอะไรสักอย่าง แล้วในบางช่วงค่าใช้จ่ายในร้านเราสูงเพราะต้นทุนต่างๆมันขึ้นเลยทำให้เรามีรายได้(ค่าการตลาด)น้อยลงหรือต้องถึงกับเข้าเนื้อเราก็ต้องขึ้นราคาสินค้าที่ขายใช่มั๊ยคับ?

กลับกันในบางช่วงค่าใช้จ่ายต่างๆในร้านเราน้อยลง เลยทำให้เรามีรายได้(ค่าการตลาด)สูงขึ้นเราก็อาจจะลดราคาเพื่อคืนกำไรให้กับลูกค้า หรือเพื่ออะไรก็ว่าไปใช่ไหมคับ? ซึ่งกลไกการขึ้นลงของราคาน้ำมันหน้าปั๊มก็มีหลักการคล้ายๆแบบนี้ล่ะคับ

กรณีราคาหน้าปั๊มปรับขึ้น..เพราะ
ราคาน้ำมันสำเร็จรูปตลาดสิงคโปร์ปรับขึ้น > ทำให้ราคาหน้าโรงกลั่นไทยขึ้นตาม > ส่งผลให้ค่าการตลาดต่ำ(รายได้ลดลง) เพระต้นทุนสูงขึ้น = เลยทำให้ผู้ค้าน้ำมันต้องปรับราคาน้ำมันขึ้น

กรณีราคาหน้าปั๊มปรับลง..เพราะ
ราคาน้ำมันสำเร็จรูปตลาดสิงคโปร์ปรับลง > ทำให้ราคาหน้าโรงกลั่นไทยลงตาม > ส่งผลให้ค่าการตลาดสูง(รายได้สูงขึ้น)เพราะต้นทุนถูกลง = เลยทำให้ผู้ค้าน้ำมันต้องปรับราคาน้ำมันลง

แล้วปั๊มควรจะมีค่าการตลาดเท่าไรดีล่ะถึงจะเหมาะสม?? มากไปก็ไม่ดี น้อยไปก็คงไม่ดี อมยิ้ม01
** จากการศึกษาของสถาบันปิโตรเลียมพบว่าค่าการตลาดที่เหมาะสมจะอยู่ที่ 1.7 – 2 บ. **

ไปดูภาพเลยดีกว่าจะได้ชัดเจนกันไปเลย
จากภาพจะเห็นว่าค่าการตลาดแต่ละตัวก่อนที่จะขึ้นราคาน้ำมันอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างสูงเลยทำให้ต้องมีการประกาศลดราคาในวันถัดมา


แต่ช่วงเดือนก่อนค่าการตลาดค่อนข้างจะต่ำพอสมควร เลยทำให้เดือนที่แล้วมีการประกาศปรับขึ้นราคาน้ำมัน


โครงสร้างราคาน้ำมัน อัตราแรกเปลี่ยน ราคาเอทานอล รวมไปถึงค่าการตลาดสามารถเข้าไปดูได้ที่ =publishUp&issearch=1]http://www.eppo.go.th/index.php/th/petroleum/price/structure-oil-price?orders[publishUp]=publishUp&issearch=1

เห็นมั๊ยคับกลไกการปรับราคาหน้าปั๊มไม่ใช่เรื่องซับซ้อนเลย แต่ที่มักสับสนกันเพราะมัวแต่ไปยึดกับราคาน้ำมันดิบที่มีการประกาศขึ้นลงทุกวัน ซึ่งในความเป็นจริงมันไม่สามารถมาเทียบกันได้อยู่แล้วเนื่องจากเป็นสินค้าคนละประเภทกันและกว่าน้ำมันดิบจะกลายมาเป็นน้ำมันสำเร็จรูปที่ใช้กันนั้นต้องผ่านกระบวนการกลั่นซึ่งมีระยะเวลาและมีค่าใช้จ่ายต่างๆเพิ่มขึ้น การขึ้นลงของน้ำมันดิบในแต่ละวันจึงไม่สามารถสะท้อนถึงทิศทางของราคาน้ำมันสำเร็จรูปแบบทันทีทันใดได้ หรืออาจมีปัจจัยเรื่อง ตลาดน้ำมันสำเร็จรูป ณ ตลาดสิงคโปร์ ที่ซื้อขายกันมีการปิดซ่อมโรงกลั่นในภูมิภาค หรือ ความต้องการเพิ่มเข้ามาเกี่ยวข้อง ราคาน้ำมันสำเร็จรูปก็จะปรับเพิ่มขึ้นได้เช่นกัน

ถ้าสงสัยว่าราคาน้ำมันในประเทศจะปรับเมื่อไรแนะนำให้ดูที่ค่าการตลาดไปเลยคับจะทำให้เราคาดเดาราคาน้ำมันได้ง่ายขึ้น และระหว่างที่กำลังเขียนกระทู้จบวันนี้ราคาน้ำมันสำเร็จรูปตลาดสิงคโปร์ก็มีการปรับขึ้นครั้งแรกในรอบ 9 วัน หึหึ

ซึ่งจะส่งผลให้ค่าการตลาดน้ำมันในประเทศต่ำลงแน่ๆ และไม่แน่ว่าถ้ายังขึ้นติดต่อกันแบบนี้ (มาเท่าก่อนที่ปรับราคาลงเมื่อช่วงต้นเดือน) ในสัปดาห์หน้าราคาน้ำมันในประเทศคงจะมีการปรับขึ้นตามในไม่ช้า ...แต่ไม่เป็นไร จขกท จัดมาแล้วเต็มถังน่าจะอยู่ได้เป็นอาทิตย์ อิอิ
ส่วนใครยังไม่รีบไปเติมก็โชคดีคับผม กราบสวัสดีคับ อมยิ้ม17
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่