ขออนุญาตแชร์บทความที่ผมได้ไปอ่านมาจาก page facebook ครับ
ทั้งนี้ ผมได้ขออนุญาตเจ้าของบทความนี้ เพื่อมาเผยแพร่แล้วนะครับ
งั้นเรามาเริ่มกันเลยนะครับ
ความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืน (Durable Competitive Advantage – DCA)
บทที่ 12 ความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืน (Durable Competitive Advantage – DCA)
----เริ่มต้นบทนี้ ขอทบทวนกรอบความคิด ในบทที่ 10 – 11 กันสักนิดนึงก่อน ก็คือ ในบทที่ 10 เราก็จะเห็นว่า สมมติถ้าเราลงทุนในธุรกิจที่เติบโตต่อไปได้เรื่อยๆ “ในราคาที่เหมาะสม” เราก็จะได้ผลตอบแทนที่ดี และเงินออมของเราก็จะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับหุ้นหลายๆ ตัวที่เรายกตัวอย่างไปในบทก่อนหน้านี้ และในบทที่ 11 เราก็ได้คุยกันว่า ในแต่ละอุตสาหกรรมมันก็อาจจะไม่มีผู้ชนะ (winner) ที่ชัดเจน เวลาที่อุตสาหกรรมนั้นๆ เติบโต ก็อาจจะออกแนวว่า “แบ่งๆ กันกิน” แต่ถ้าเราสังเกตดู เราจะพบสาระสำคัญอยู่เรื่องหนึ่งตรงที่ว่า บริษัทที่เติบโตต่อไปได้เรื่อยๆ หรือมีความสามารถในการเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมหรือดีพอที่จะไปแบ่งเค๊กกับชาวบ้านชาวช่องเค้า “มันต้องมีดีอยู่บ้าง” ทางภาษาธุรกิจก็คือ “มีความสามารถในการแข่งขัน”
----และในบทนี้ เราจะมาขยายความกันตรงนี้ และเราเพิ่มเติมไปอีกด้วยว่า เราต้องการบริษัทที่มีความสามารถในการแข่งขัน “ที่ยั่งยืน” เพราะเรามองข้ามไปถึงว่า เราพยายามจะหา winner ให้ได้ ในราคาที่ไม่แพงมากนัก (ถ้ามันยังเหลืออยู่นะ กิกิ)
----ความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืนคืออะไร ก็ยกตัวอย่างเช่น เวลาที่เราเจอร้านสะดวกซื้อ “77” ที่เป็นผู้นำตลาดแล้วมีร้านอื่นอยู่รอบๆเราก็ยังเลือกไปร้าน 77 และในขณะเดียวกันกระบวนการภายในของร้าน 77 ก็น่าจะดีกว่าร้านอื่นๆ มาก คือ “ชนะทั้งภายนอกและภายใน” ปัญหาของเราคือ “พบรักแท้ในวันที่เค้าแต่งงานไปแล้ว” คือ “ราคาแพงจนซื้อไม่ลง” อะไรประมาณนั้น แต่ตรงนี้เราเริ่มพอเห็นภาพของความสามารถในการแข่งขัน และปัญหา “รักแท้ที่ไม่มีเรา” แล้วใช่ไม๊..
---- คือถ้าจะอธิบายแบบง่ายๆ และเข้าใจเร็วๆ ก็คือ การที่กิจการมีความสามารถในการขายได้ “ในจำนวนที่มากกว่า” ผู้เล่นรายอื่นในตลาด หรืออาจจะ “ขายแล้วได้กำไรต่อหน่วยดีกว่า” ผู้อื่นในตลาดแม้ว่าจะต้นทุนเท่ากัน หรือ “มีความสามารถในการบริหารต้นทุนได้ดีกว่า” ผู้เล่นคนอื่นในตลาด ฟังดูไม่มีอะไรนะ แต่สามประการนี้แหละ คือสาระสำคัญที่จะปรากฏในงบการเงิน และจะสะท้อนไปถึงงบการเงินในอนาคต เพราะถ้ามีความสามารถในการแข่งขันเหล่านี้แล้ว ต้นทุนย่อมจะต่ำและสู้กับรายอื่นๆ ได้ ในขณะที่สามารถ “จับกำลังซื้อในตลาด” ที่เติบโตได้ดีด้วย เรามาลงรายละเอียดกันอีกนิดดีกว่า..
--- ข้อแรก “กิจการมีความสามารถในการขายได้มากกว่าคนอื่นในตลาด” หมายถึง “ลูกค้าเชื่อใจ” ว่าถ้ามีของเหมือนๆ กัน ราคาขายเดียวกัน ลูกค้าเลือกที่จะใช้เจ้านี้ ศัพท์ง่ายๆ คือ “มีตราสินค้าที่ดีหรือแบรนด์” ซึ่งการมีแบรนด์อาจจะมาจากภาพลักษณ์ของสินค้าที่ดูดีกว่า หรือมีมาตรฐานของสินค้าที่ลูกค้าเชื่อใจมากกว่ารายอื่น แต่ตรงนี้ต้องพิจารณาว่า “ใช้เงินสร้างมาเท่าไหร่” ซึ่งก็จะเข้าไปสู่ในข้อถัดมา
--- ข้อที่สองก็คือ “กิจการสามารถขายแล้วได้กำไรต่อหน่วยดีกว่าหรือไม่” คือบางที ลูกค้าเลือกซื้อของของเจ้านึง เพราะคุณภาพอาจจะดีกว่า หรือดู ”เรียบหรู” กว่าในราคาที่เท่ากัน แต่กิจการกลับต้อง “กลืนเลือด” แบกต้นทุนที่สูงกว่าเอาไว้ กิจการแบบนี้ต้องบอกว่ามีเยอะ เพราะอยากชิงยอดขายมาให้ได้ จึงต้องเขย่ง ซึ่งในอีกมุมนึง เหตุการณ์อาจจะเกิดขึ้นกับกิจการหน้าใหม่ที่เพิ่งเข้ามาในอุตสาหกรรม เพราะอาจจะต้องยอมลดราคาหรือเพิ่มคุณภาพให้ดีขึ้นในราคาขายเท่ากับเจ้าเดิมในตลาด ดังนั้น บางรายที่ขายได้แบบ “กำไรต่อหน่วยไม่ได้ดีขึ้น และอาจจะแย่ลง” ภาษาการค้าเค้าเรียก “ทุ่มตลาด” และสักพักทุกรายก็ต้องลดราคาตามลงมา ทำให้ “ตายกันทั้งอุตสาหกรรม” เพราะกำไรที่เคยได้แบบสมน้ำสมเนื้อ กำไรต่อปีที่เคย “จ๊าบ” กลับต้องลดลงมาจน "เจ๊ง" หรือ “พออยู่ได้” แล้วสุดท้ายต้องมาวัดกันที่สายป่านว่าใครยาวกว่ากัน ตัวอย่างมีให้เห็นอย่างเช่น อุตสาหกรรมที่เราใช้เล่นเน็ตกันทุกวันนี่ไง แต่ถ้าเราเป็นผู้บริโภค เราก็ชอบนะ..
--- ข้อที่สาม “มีความสามารถในการบริหารต้นทุนได้ดีกว่าหรือไม่” สำหรับหมีส้ม ตัวนี้เป็นความสามารถในการแข่งขันที่ดูแล้วน่าจะยั่งยืนที่สุด หมายถึงว่า ถ้าผลิตสินค้าในระดับเดียวกันเป๊ะๆ จนขายออกไปแล้ว เรามีต้นทุนสูงกว่ารายอื่นหรือไม่ ซึ่งถ้าเรามีต้นทุนที่ถูกกว่า ในระยะยาวเราได้เปรียบมหาศาล ตรงนี้ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีและการบริหารจัดการ ยกตัวอย่างให้เห็นภาพกันสักนิด
---สมมติมีโรงงานผลิตปากกา 2 แห่ง เดิมต้นทุนการผลิตไปจนขายออกถึงมือลูกค้าเท่ากัน ที่ด้ามละ 10 บาท และราคาขายในตลาดของปากกา อยู่ที่ด้ามละ 11 บาท ต่อมาถ้ามีรายหนึ่งใช้เทคโนโลยีที่ดีกว่าในการผลิต ทำให้ต้นทุนลดลงเหลือด้ามละ 9 บาท อะไรจะเกิดขึ้น... สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ถ้าหากรายที่ต้นทุนต่ำกว่าเลือกที่จะขายในราคาเดิม ก็ย่อมจะมีกำไรต่อหน่วยที่สูงกว่า “แฮปปี้กว่า” แต่ถ้าเลือกที่จะทุ่มตลาด ลดราคาขายลงมาเหลือ 10 บาท กำลังซื้อทั้งหมดจะเทมาที่รายที่ขายถูกกว่าทันที และอีกรายก็เจ๊งไปตามระเบียบ.. ตรงนี้บางคนอาจจะคิดว่าเป็นการยกตัวอย่างที่สุดโต่งรึเปล่า แต่ในข้อเท็จจริงที่ปรากฏคือ หมีส้มเจออยู่เรื่อยๆ และถ้าจะให้มองภาพง่ายๆ ก็คือ มักจะเกิดกับผู้เล่นรายเดิมท่ต้นทุนค่าเสื่อมราคาของเครื่องจักรบางอย่างหมดไปแล้ว พอมีเจ้าใหม่มาแข่งก็ลดราคาลงมาเลย คือกะว่าเอาให้ตาย รายใหม่ถ้าสายป่านไม่ยาวก็ “จอดสนิท” แต่บางครั้งถ้ารายใหม่มีทุน มีสายป่านยาว ก็อาจจะลดราคาตามลงมาเลย อารมณ์ประมาณว่า “ตบเกรียนโชว์” ว่าถึงจะเป็นรายใหม่ก็ไม่กลัว สุดท้ายต้องมานั่งเคลียร์กันว่า “แบ่งกันกิน” แบบนี้ก็มีให้เห็นเรื่อยๆ
----สามประเด็นนี้แหละที่เราผู้เป็นนักลงทุนต้องพยายามแสวงหา และต้องพยายามแสวงหากิจการที่มีความสามารถในการแข่งขันแบบยั่งยืนด้วย ซึ่งในบางอุตสาหกรรมภาพเหล่านี้อาจจะมีไม่ครบ คือ ไม่มีผู้ชนะชัดเจนหรือว่าไม่มีใครที่ได้เปรียบชัดเจน ยกตัวอย่างเช่น ในกลุ่มผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่เดิมทีพอมีการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีในการก่อสร้าง ช่วยลดต้นทุนและลดระยะเวลาในการสร้างต่อหน่วยลง สร้างความได้เปรียบให้กับบางบริษัท ซึ่งเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลง ทำให้ “แฮปปี้” กันไปพักใหญ่ แต่มันเป็นสิ่งที่ในวันๆนึงใครๆ ก็สามารถทำได้ "เป็นความได้เปรียบที่ไม่ได้ยั่งยืน" พอจนกระทั่งรายอื่นๆ ตามมาทัน ความได้เปรียบตรงนี้ก็ลดลงหรือหมดไป ทีนี้ ปัจจัยที่ทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อกลับกลายเป็นว่าเรื่องของ “การตั้งราคาขายและทำเลที่ตั้ง” จนสุดท้ายมาแข่งกันในเรื่องของ “แบรนด์” ในที่สุด แต่ถ้าทั้งเกตดู การแพ้ชนะกันในอุตสาหกรรมนี้ กลับกลายเป็นการ “เวียนว่ายตายเกิด” ต่างจากบางอุตสาหกรรมที่ “ผู้ชนะ” ควบคุมตลาดและใหญ่ต่อไปเรื่อยๆ ในขณะที่รายใหม่อาจจะเข้าทำนองว่า “ยิ่งแข่งยิ่งแพ้”
----ทั้งหมดนี้คือข้อมูลเชิงคุณภาพ ซึ่งถ้าเราตีความได้อย่างถูกต้อง คือ เข้าใจในแต่ละอุตสาหกรรมหรือแต่ละธุรกิจดีพอ เราจะพอเห็นถึงแนวโน้มของกิจการและแนวโน้มของงบการเงินที่กำลังจะประกาศออกมาในแต่ละไตรมาส ซึ่งจะช่วยให้เราประเมินมูลค่าของกิจการที่เหมาะสมได้ในระดับหนึ่ง คืออย่างน้อยก็พอมี “ลายแทง” อยู่บ้าง และถ้าเราแม่นๆ เราก็จะพอรู้ว่าบางกิจการเป็นกิจการที่ดี แต่มันอาจจะ “แพงเกินไปในวันนี้ สู่ขอไม่ไหว” หรือในทางกลับกัน เราอาจจะไปเจอ "ช้างเผือก" ก็ได้นะ
--- บทนี้ก็ขอจบเท่านี้ก่อน บทต่อไปเราก็จะมาแตะกันในเรื่องของความคุ้มค่าเชิงตัวเลขกันสักหน่อย เพราะเล่มนี้ส่วนใหญ่เราเน้น “ปัจจัยเชิงคุณภาพ” กันไปซะเยอะแล้ว
----สิ่งที่ได้เรียนรู้ร่วมกันในบทนี้
---- สิ่งที่เราควรเน้นแสวงหาสำหรับการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนที่ยั่งยืน ก็คือ การหากิจการที่ดี มีการเติบโตที่สม่ำเสมอ “ในราคาที่เหมาะสม” ซึ่งการรองบการเงินประกาศออกมาแต่ละไตรมาส เป็นเพียงการ “ตรวจสุขภาพกิจการ” กับสิ่งที่ผ่านไปแล้วเท่านั้น ถ้าเราวิเคราะห์ถึงความสามารถในการแข่งขันของกิจการและเข้าใจธรรมชาติของแต่ละอุตสาหกรรม ก็จะทำให้เราสามารถลงทุนได้อย่างมั่นใจมากขึ้น และอาจจะสามารถมองเห็น “ผู้ชนะในอุตสาหกรรม” ที่จะเติบโตต่อไปในอนาคตได้อีกด้วย
สุดท้ายนี้ ผมหวังว่าเพื่อนๆ จะได้ประโยชน์จากบทความนี้นะครับ
credit by fanpage facebook " มีความสุขกับหุ้นปันผล by หมีส้ม "
ความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืน (Durable Competitive Advantage – DCA)
ทั้งนี้ ผมได้ขออนุญาตเจ้าของบทความนี้ เพื่อมาเผยแพร่แล้วนะครับ
งั้นเรามาเริ่มกันเลยนะครับ
ความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืน (Durable Competitive Advantage – DCA)
บทที่ 12 ความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืน (Durable Competitive Advantage – DCA)
----เริ่มต้นบทนี้ ขอทบทวนกรอบความคิด ในบทที่ 10 – 11 กันสักนิดนึงก่อน ก็คือ ในบทที่ 10 เราก็จะเห็นว่า สมมติถ้าเราลงทุนในธุรกิจที่เติบโตต่อไปได้เรื่อยๆ “ในราคาที่เหมาะสม” เราก็จะได้ผลตอบแทนที่ดี และเงินออมของเราก็จะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับหุ้นหลายๆ ตัวที่เรายกตัวอย่างไปในบทก่อนหน้านี้ และในบทที่ 11 เราก็ได้คุยกันว่า ในแต่ละอุตสาหกรรมมันก็อาจจะไม่มีผู้ชนะ (winner) ที่ชัดเจน เวลาที่อุตสาหกรรมนั้นๆ เติบโต ก็อาจจะออกแนวว่า “แบ่งๆ กันกิน” แต่ถ้าเราสังเกตดู เราจะพบสาระสำคัญอยู่เรื่องหนึ่งตรงที่ว่า บริษัทที่เติบโตต่อไปได้เรื่อยๆ หรือมีความสามารถในการเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมหรือดีพอที่จะไปแบ่งเค๊กกับชาวบ้านชาวช่องเค้า “มันต้องมีดีอยู่บ้าง” ทางภาษาธุรกิจก็คือ “มีความสามารถในการแข่งขัน”
----และในบทนี้ เราจะมาขยายความกันตรงนี้ และเราเพิ่มเติมไปอีกด้วยว่า เราต้องการบริษัทที่มีความสามารถในการแข่งขัน “ที่ยั่งยืน” เพราะเรามองข้ามไปถึงว่า เราพยายามจะหา winner ให้ได้ ในราคาที่ไม่แพงมากนัก (ถ้ามันยังเหลืออยู่นะ กิกิ)
----ความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืนคืออะไร ก็ยกตัวอย่างเช่น เวลาที่เราเจอร้านสะดวกซื้อ “77” ที่เป็นผู้นำตลาดแล้วมีร้านอื่นอยู่รอบๆเราก็ยังเลือกไปร้าน 77 และในขณะเดียวกันกระบวนการภายในของร้าน 77 ก็น่าจะดีกว่าร้านอื่นๆ มาก คือ “ชนะทั้งภายนอกและภายใน” ปัญหาของเราคือ “พบรักแท้ในวันที่เค้าแต่งงานไปแล้ว” คือ “ราคาแพงจนซื้อไม่ลง” อะไรประมาณนั้น แต่ตรงนี้เราเริ่มพอเห็นภาพของความสามารถในการแข่งขัน และปัญหา “รักแท้ที่ไม่มีเรา” แล้วใช่ไม๊..
---- คือถ้าจะอธิบายแบบง่ายๆ และเข้าใจเร็วๆ ก็คือ การที่กิจการมีความสามารถในการขายได้ “ในจำนวนที่มากกว่า” ผู้เล่นรายอื่นในตลาด หรืออาจจะ “ขายแล้วได้กำไรต่อหน่วยดีกว่า” ผู้อื่นในตลาดแม้ว่าจะต้นทุนเท่ากัน หรือ “มีความสามารถในการบริหารต้นทุนได้ดีกว่า” ผู้เล่นคนอื่นในตลาด ฟังดูไม่มีอะไรนะ แต่สามประการนี้แหละ คือสาระสำคัญที่จะปรากฏในงบการเงิน และจะสะท้อนไปถึงงบการเงินในอนาคต เพราะถ้ามีความสามารถในการแข่งขันเหล่านี้แล้ว ต้นทุนย่อมจะต่ำและสู้กับรายอื่นๆ ได้ ในขณะที่สามารถ “จับกำลังซื้อในตลาด” ที่เติบโตได้ดีด้วย เรามาลงรายละเอียดกันอีกนิดดีกว่า..
--- ข้อแรก “กิจการมีความสามารถในการขายได้มากกว่าคนอื่นในตลาด” หมายถึง “ลูกค้าเชื่อใจ” ว่าถ้ามีของเหมือนๆ กัน ราคาขายเดียวกัน ลูกค้าเลือกที่จะใช้เจ้านี้ ศัพท์ง่ายๆ คือ “มีตราสินค้าที่ดีหรือแบรนด์” ซึ่งการมีแบรนด์อาจจะมาจากภาพลักษณ์ของสินค้าที่ดูดีกว่า หรือมีมาตรฐานของสินค้าที่ลูกค้าเชื่อใจมากกว่ารายอื่น แต่ตรงนี้ต้องพิจารณาว่า “ใช้เงินสร้างมาเท่าไหร่” ซึ่งก็จะเข้าไปสู่ในข้อถัดมา
--- ข้อที่สองก็คือ “กิจการสามารถขายแล้วได้กำไรต่อหน่วยดีกว่าหรือไม่” คือบางที ลูกค้าเลือกซื้อของของเจ้านึง เพราะคุณภาพอาจจะดีกว่า หรือดู ”เรียบหรู” กว่าในราคาที่เท่ากัน แต่กิจการกลับต้อง “กลืนเลือด” แบกต้นทุนที่สูงกว่าเอาไว้ กิจการแบบนี้ต้องบอกว่ามีเยอะ เพราะอยากชิงยอดขายมาให้ได้ จึงต้องเขย่ง ซึ่งในอีกมุมนึง เหตุการณ์อาจจะเกิดขึ้นกับกิจการหน้าใหม่ที่เพิ่งเข้ามาในอุตสาหกรรม เพราะอาจจะต้องยอมลดราคาหรือเพิ่มคุณภาพให้ดีขึ้นในราคาขายเท่ากับเจ้าเดิมในตลาด ดังนั้น บางรายที่ขายได้แบบ “กำไรต่อหน่วยไม่ได้ดีขึ้น และอาจจะแย่ลง” ภาษาการค้าเค้าเรียก “ทุ่มตลาด” และสักพักทุกรายก็ต้องลดราคาตามลงมา ทำให้ “ตายกันทั้งอุตสาหกรรม” เพราะกำไรที่เคยได้แบบสมน้ำสมเนื้อ กำไรต่อปีที่เคย “จ๊าบ” กลับต้องลดลงมาจน "เจ๊ง" หรือ “พออยู่ได้” แล้วสุดท้ายต้องมาวัดกันที่สายป่านว่าใครยาวกว่ากัน ตัวอย่างมีให้เห็นอย่างเช่น อุตสาหกรรมที่เราใช้เล่นเน็ตกันทุกวันนี่ไง แต่ถ้าเราเป็นผู้บริโภค เราก็ชอบนะ..
--- ข้อที่สาม “มีความสามารถในการบริหารต้นทุนได้ดีกว่าหรือไม่” สำหรับหมีส้ม ตัวนี้เป็นความสามารถในการแข่งขันที่ดูแล้วน่าจะยั่งยืนที่สุด หมายถึงว่า ถ้าผลิตสินค้าในระดับเดียวกันเป๊ะๆ จนขายออกไปแล้ว เรามีต้นทุนสูงกว่ารายอื่นหรือไม่ ซึ่งถ้าเรามีต้นทุนที่ถูกกว่า ในระยะยาวเราได้เปรียบมหาศาล ตรงนี้ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีและการบริหารจัดการ ยกตัวอย่างให้เห็นภาพกันสักนิด
---สมมติมีโรงงานผลิตปากกา 2 แห่ง เดิมต้นทุนการผลิตไปจนขายออกถึงมือลูกค้าเท่ากัน ที่ด้ามละ 10 บาท และราคาขายในตลาดของปากกา อยู่ที่ด้ามละ 11 บาท ต่อมาถ้ามีรายหนึ่งใช้เทคโนโลยีที่ดีกว่าในการผลิต ทำให้ต้นทุนลดลงเหลือด้ามละ 9 บาท อะไรจะเกิดขึ้น... สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ถ้าหากรายที่ต้นทุนต่ำกว่าเลือกที่จะขายในราคาเดิม ก็ย่อมจะมีกำไรต่อหน่วยที่สูงกว่า “แฮปปี้กว่า” แต่ถ้าเลือกที่จะทุ่มตลาด ลดราคาขายลงมาเหลือ 10 บาท กำลังซื้อทั้งหมดจะเทมาที่รายที่ขายถูกกว่าทันที และอีกรายก็เจ๊งไปตามระเบียบ.. ตรงนี้บางคนอาจจะคิดว่าเป็นการยกตัวอย่างที่สุดโต่งรึเปล่า แต่ในข้อเท็จจริงที่ปรากฏคือ หมีส้มเจออยู่เรื่อยๆ และถ้าจะให้มองภาพง่ายๆ ก็คือ มักจะเกิดกับผู้เล่นรายเดิมท่ต้นทุนค่าเสื่อมราคาของเครื่องจักรบางอย่างหมดไปแล้ว พอมีเจ้าใหม่มาแข่งก็ลดราคาลงมาเลย คือกะว่าเอาให้ตาย รายใหม่ถ้าสายป่านไม่ยาวก็ “จอดสนิท” แต่บางครั้งถ้ารายใหม่มีทุน มีสายป่านยาว ก็อาจจะลดราคาตามลงมาเลย อารมณ์ประมาณว่า “ตบเกรียนโชว์” ว่าถึงจะเป็นรายใหม่ก็ไม่กลัว สุดท้ายต้องมานั่งเคลียร์กันว่า “แบ่งกันกิน” แบบนี้ก็มีให้เห็นเรื่อยๆ
----สามประเด็นนี้แหละที่เราผู้เป็นนักลงทุนต้องพยายามแสวงหา และต้องพยายามแสวงหากิจการที่มีความสามารถในการแข่งขันแบบยั่งยืนด้วย ซึ่งในบางอุตสาหกรรมภาพเหล่านี้อาจจะมีไม่ครบ คือ ไม่มีผู้ชนะชัดเจนหรือว่าไม่มีใครที่ได้เปรียบชัดเจน ยกตัวอย่างเช่น ในกลุ่มผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่เดิมทีพอมีการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีในการก่อสร้าง ช่วยลดต้นทุนและลดระยะเวลาในการสร้างต่อหน่วยลง สร้างความได้เปรียบให้กับบางบริษัท ซึ่งเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลง ทำให้ “แฮปปี้” กันไปพักใหญ่ แต่มันเป็นสิ่งที่ในวันๆนึงใครๆ ก็สามารถทำได้ "เป็นความได้เปรียบที่ไม่ได้ยั่งยืน" พอจนกระทั่งรายอื่นๆ ตามมาทัน ความได้เปรียบตรงนี้ก็ลดลงหรือหมดไป ทีนี้ ปัจจัยที่ทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อกลับกลายเป็นว่าเรื่องของ “การตั้งราคาขายและทำเลที่ตั้ง” จนสุดท้ายมาแข่งกันในเรื่องของ “แบรนด์” ในที่สุด แต่ถ้าทั้งเกตดู การแพ้ชนะกันในอุตสาหกรรมนี้ กลับกลายเป็นการ “เวียนว่ายตายเกิด” ต่างจากบางอุตสาหกรรมที่ “ผู้ชนะ” ควบคุมตลาดและใหญ่ต่อไปเรื่อยๆ ในขณะที่รายใหม่อาจจะเข้าทำนองว่า “ยิ่งแข่งยิ่งแพ้”
----ทั้งหมดนี้คือข้อมูลเชิงคุณภาพ ซึ่งถ้าเราตีความได้อย่างถูกต้อง คือ เข้าใจในแต่ละอุตสาหกรรมหรือแต่ละธุรกิจดีพอ เราจะพอเห็นถึงแนวโน้มของกิจการและแนวโน้มของงบการเงินที่กำลังจะประกาศออกมาในแต่ละไตรมาส ซึ่งจะช่วยให้เราประเมินมูลค่าของกิจการที่เหมาะสมได้ในระดับหนึ่ง คืออย่างน้อยก็พอมี “ลายแทง” อยู่บ้าง และถ้าเราแม่นๆ เราก็จะพอรู้ว่าบางกิจการเป็นกิจการที่ดี แต่มันอาจจะ “แพงเกินไปในวันนี้ สู่ขอไม่ไหว” หรือในทางกลับกัน เราอาจจะไปเจอ "ช้างเผือก" ก็ได้นะ
--- บทนี้ก็ขอจบเท่านี้ก่อน บทต่อไปเราก็จะมาแตะกันในเรื่องของความคุ้มค่าเชิงตัวเลขกันสักหน่อย เพราะเล่มนี้ส่วนใหญ่เราเน้น “ปัจจัยเชิงคุณภาพ” กันไปซะเยอะแล้ว
----สิ่งที่ได้เรียนรู้ร่วมกันในบทนี้
---- สิ่งที่เราควรเน้นแสวงหาสำหรับการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนที่ยั่งยืน ก็คือ การหากิจการที่ดี มีการเติบโตที่สม่ำเสมอ “ในราคาที่เหมาะสม” ซึ่งการรองบการเงินประกาศออกมาแต่ละไตรมาส เป็นเพียงการ “ตรวจสุขภาพกิจการ” กับสิ่งที่ผ่านไปแล้วเท่านั้น ถ้าเราวิเคราะห์ถึงความสามารถในการแข่งขันของกิจการและเข้าใจธรรมชาติของแต่ละอุตสาหกรรม ก็จะทำให้เราสามารถลงทุนได้อย่างมั่นใจมากขึ้น และอาจจะสามารถมองเห็น “ผู้ชนะในอุตสาหกรรม” ที่จะเติบโตต่อไปในอนาคตได้อีกด้วย
สุดท้ายนี้ ผมหวังว่าเพื่อนๆ จะได้ประโยชน์จากบทความนี้นะครับ
credit by fanpage facebook " มีความสุขกับหุ้นปันผล by หมีส้ม "