
สวัสดีครับ แฟนานุแฟนที่รักทุกท่าน
เป็นอย่างไรกันบ้างครับ หลังจากที่ห่างหายกันไปเกือบสัปดาห์
คงจะเฝ้าคอยตอนต่อไปอยู่ใช่ไหมครับ
ในวันนี้ ผมจะนำทุกท่านลัดฟ้าจากอังการา เมืองหลวงของตุรกี ไปยังนครอิสตันบูล ราชธานีเก่าที่ร่ำรวยด้วยสถาปัตยกรรมอันงดงาม
และสีสันชีวิตที่ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร อันเป็นที่หมายสุดท้าย (รวมถึงตอนสุดท้าย) สำหรับ 'ร้อยรูป...เรียงเรื่อง เมืองตุรกี' ในปีนี้นะนะครับ
ส่วนผู้ที่มิได้ติดตามตั้งแต่ตอนแรก ก็เชิญเข้าไปชมก่อนในลิงก์เหล่านี้นะครับ จะได้ตามรอยกันอย่างสนุกสนาน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ ก้าวแรกสู่อนาโตเลีย - https://pantip.com/topic/37343981
รอยเวลาอนาโตเลีย - Ephesus - https://pantip.com/topic/37345208
รอยเวลาอนาโตเลีย - จาก Göreme ถึง Ankara - https://pantip.com/topic/37346758
เอาละครับ มัวแต่พล่ามอยู่นั่น บัดนี้ก็ถึงเวลาที่ผมจะพาท่านเที่ยว 'นครอิสตันบูล' แล้ว ตามมาเลยนะคร้าบบ
--- จากอังการาถึงอิสตันบูล ---
เหินฟ้าฝ่าเมฆมุ้ง มุงเมือง
แลหมู่ขุนไศลเรือง ลิ่วรื้น
หิมะโปรยปกยอดเนือง คลุมอยู่
สลับราบเป็นริ้วพื้น ชุ่มชื้นดังดล
จากที่พักกลางกรุงอังการา ผมนั่งรถออกไปประมาณ 40 กิโลเมตร ยังสนามบินเอเซนโบก้า (Esenboga) เพื่อขึ้นเครื่องบินของ Pegasus Airlines เที่ยว 11.00 น. แต่เมื่อไปถึงสนามบินแล้ว กลับพบว่า ที่รีบห้อออกมาด้วยความกระวนกระวายใจนั้น ไม่เป็นประโยชน์เลย เพราะเครื่องบินเที่ยวที่จะเดินทางนั้น ดีเลย์ออกไปกว่าหนึ่งชั่วโมง ต้องนั่งแกร่วอยู่นานเลยทีเดียว แต่ว่า เมื่อถึงเวลาออกเดินทาง กัปตันก็ยังเก่งกาจเหมือนเดิมครับ ใช้เวลาไม่ถึง 1 ชั่วโมง ก็เหินฟ้าไปถึงอิสตันบูล ที่สนามบินซาบิฮา เกิคเช่น ได้โดยเร็วและสวัสดิภาพครับ
การที่เราจะเข้าเมืองจากสนามบินซาบิฮาฯ ซึ่งอยู่ในฝั่งอนาโตเลีย หรือเอเชียนั้น ก็ไม่ยากครับ ขอแค่หารถบัสของ Havabus ให้พบเท่านั้น (บอกก็ได้ครับ ว่าจอดอยู่ฝั่งตรงข้ามเทอร์มินัล) แล้วก็ขึ้นไปหาที่นั่ง รอกระเป๋ารถมาตีตั๋วเท่านั้น ก็ไม่มีปัญหาครับ อ้อ จากสนามบินนี้ มีรถออกไปสองทาง คือ ท่าคาดิเคยในฝั่งเอเชีย และจตุรัสทักษิ.. เอ้ย ทักซิม ในฝั่งยุโรป ดูดีๆ ก่อนขึ้นนะครับ
ผมไปถึงจตุรัสทักซิมเวลาเกือบๆ บ่าย 4 โมง ล่าช้าไปมากเพราะการจราจรติดขัดสาหัสในอิสตันบูล รวมถึงหิวไส้จะขาดเต็มที่ ต้องพึ่งร้านเบเกอรี่ Simit Sarayi แถวนั้น พอยาไส้ชิ้นสองชิ้น แล้วจึงขึ้นรถรางเชือกสาย F1 ไปยังคาบาทาส (Kabatas) เพื่อต่อรถรางสายสีน้ำเงิน นั่งยาวๆ ไปยังสถานีสุลต่านอาห์เม็ด เพื่อเดินต่อไปยังที่พักตลอดเวลาในอิสตันบูล คือโรงแรม Q Hotel ซึ่งเคยมีผู้รีวิวไว้ใน pantip แล้วครับ
สำหรับการเดินทางตลอดสี่วันในอิสตันบูล ตัวช่วยที่สะดวกสบายที่สุด ก็คงหนีไม่พ้นบัตร
Istanbulkart ครับ เพราะซื้อง่าย และใช้คล่อง เพียงแค่มองหาตู้สีเหลืองๆ ไว้ ทำตามคำบอกคำสั่งในตู้ พร้อมใส่เงินลงไป 10 ลีรา ลงไป ก็จะได้บัตรมาครอบครองสมใจนึกบางลำพู แล้วเจ้าบัตรนี้จะใช้กันกี่คนก็ได้ คนเดียวก็ได้ สามคนยิ่งดี หมุนเวียนกันติ๊ด (ก่อนที่เจ้าถิ่นจะมองค้อน) แล้วก็อย่าลืมเติมเงินนะครับ
รถไฟ รถเมล์ รถราง ที่นี่สะดวกมากๆ ครับ ไปได้ทั่วถึงไม่ว่าจะจุดใดก็ตาม การเข้าใช้บริการก็ไม่ยาก เผลอๆ ง่ายกว่าประเทศเกาะข้างๆ เมืองจีนอีก เข้าสถานีแบบเดียวกับรถไฟฟ้าบ้านเรา ต่างกันตรงที่ว่า ตอนออกไม่ต้องติ๊ดบัตร แค่นั้นเองครับ
--- ราตรีนี้ที่อิสตันบูล ---
พอถึงเช็กอินและเข้าสู่ห้องพักที่ Q Hotel แล้ว ผมแผ่พังพาบอยู่บนเตียงอย่างไม่รอช้า และหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า ตื่นมาอีกทีก็เกือบๆ ทุ่มแล้วครับ ผมจึงตัดสินใจใส่เสื้อโค้ท พร้อมหิ้วกล้องตัวจิ๋วไปเดินชมอิสตันบูลในยามค่ำคืน

เครื่องเทศมีให้เห็นทั่วไปในตลาด
จากที่พัก ผมเลี้ยวขวาออกไปทางสุเหร่าสีน้ำเงิน ตรงไปยังอารัสต้า บาซาร์ หวังจะเที่ยวดูของเล็กๆ น้อยๆ แต่พบว่าร้านค้าหลายแห่งปิดทำการแล้ว คงเหลืออยู่ไม่กี่เจ้าเท่านั้น เท่าที่ผมสังเกตเห็น พบว่าตลาดอารัสต้านี้มีของแปลกๆ สวยๆ หลายอย่างเชียวครับ โดยเฉพาะพวกของทำมือเก๋ไก๋ ก็มีอยู่มากร้าน ส่วนผู้ที่ต้องการซื้อของฝากเวอร์ชั่น 'สูตรสำเร็จ' ก็มีให้บริการเต็มที่ ทั้งชากาแฟ โลคุ่ม (Lokum) หรือ Turkish Delight ที่เรารู้จักกันดี ก็มีอยู่ทั่วไปในตลาดนี้ ราคาก็ไม่ถือว่าสูงจนน่าตกใจ เมื่อเทียบกับ 'ตลาดดัง' เช่นแกรนด์บาซาร์ หรือตลาดอียิปต์ คือ เหมาะสำหรับเดินช็อปสบายๆ ไม่ต้องต่อราคาหาของถูกครับ
สำหรับผู้ที่ต้องการฝากท้องที่นี่ ก็มีร้านอาหารตุรกีอยู่ช่วงท้ายตลาด ใกล้ทางออกไปสุเหร่าสีน้ำเงิน เป็นร้านแบบ Open Air ทั้งนั้น ถ้าใครมาตอนกลางคืน ราวๆ ทุ่มสองทุ่มเหมือนผม ก็จะได้ชมการแสดง Whirling Dervishes หรือ ระบำลมวน ประกอบดนตรีตุรกี ซึ่งเป็นการทำสมาธิภาวนารูปแบบหนึ่งตามหลักนิกายซูฟี ในศาสนาอิสลาม นิกายซูฟีนี้มีต้นกำเนิดจากท่านเมฟลานา มีถิ่นฐานสำคัญทางเมืองคอนย่า ใจกลางประเทศตุรกีครับ

การสาธิตระบำลมวนในสวนอาหารหลางตลาดอารัสต้า
จากอารัสต้า เลี้ยวซ้ายออกไปไม่ไกล ก็จะพบกับสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคกลางทางเบื้องขวา และสุเหร่าอันงามสง่าแห่งหนึ่งของโลกทางเบื้องซ้าย ... ใช่แล้วครับ ตอนนี้ผมยืนอยู่ระหว่าง 'ฮาเกียโซเฟีย' และ 'มัสยิดสุลต่านอาห์เหม็ด' ที่เรารู้จักกันดีในนาม Blue Mosque นั่นเอง ภาพตรงหน้าผม คือสองศาสนสถานสำคัญของโลก ตั้งตระหง่านกลางแสงไฟในยามค่ำคืน เป็นภาพที่ผมไม่มีวันลืมชั่วชีวิต ...ถ้ามากับทัวร์ คงไม่ได้นำภาพนี้มาฝากแฟนๆ ทุกท่านแน่นอนครับ
ยืนเคว้งคว้างกลานลานวิหารใหญ่
ข้างหนึ่งไบเซนไทน์สร้างตระการสถาน
คือฮาเกียโซเฟียทิพยพิมาน
ยืนนานกว่าพันปีเป็นศรีเมือง
อีกฝั่งคือมัสยิดออตโตมัน
Blue Mosque นั้นคือนามอันกระเดื่อง
ยามพลบค่ำแลอร่ามงามประเทือง
เราลือเลื่องทุกค่ำเช้าไม่เบื่อเลย
จากตรงนี้ ผมเดินตรงไปตามถนนดีวานโยลู หรือราชดำเนินบ้านเรา มุ่งไปทางด้านหลังฮาเกียโซเฟีย เบื้องหน้าผม คือซุ้มประตูหินใหญ่ มีช่องทางเข้าสองช่อง ช่องหนึ่งไปทางขวา คือพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ และพระราชวังทอปกาปึ ซึ่งผมจะมาในวันรุ่งขึ้น ส่วนอีกช่อง คือสวนกุลฮาเน่ อดีตพระราชอุทยานสมัยออตโตมัน
พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมุสลิมภายในสวนกุลฮาเน่
ผมเดินลัดเลาะในสวนกุลฮาเน่เรื่อยๆ อากาศเย็นสบายดีมากครับ ภายในสวนมีหอสมุด และพิพิธภัณฑ์ด้ายวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีที่ชาวมุสลิมคิดประดิษฐ์ขึ้น รวมถึงมีแหล่งเพาะชำพันธุ์ไม้ รวมถึงคาเฟ่ให้บริการ ในสวนก็มีพรรณไม้หลายชนิด ทั้งไม้ใบ ไม้ดอก และไม้- อร่ามอย่างโกร๋นๆ ด้วยเป็นช่วงฤดูหนาว

สะพานกาลาต้าและอ่าวโกลเด้นฮอร์นยามค่ำ
ผมเดินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งออกทางประตูหลังสวน ก็ได้เห็นภาพช่องแคบบอสฟอรัส และอ่าวโกลเด้นฮอร์นในยามค่ำคืนเต็มตา แล้วจึงเดินไปทางซ้าย มุ่งไปทางสะพานกาลาต้า หวังจะหาอาหารจำพวกซีฟู้ดรับประทาน ตามที่ไกด์บุ๊คบอกกันต่อๆ มาว่า ร้านอาหารใต้สะพานกาลาต้า เป็นเหมาะที่สุดที่เราจะทานอาหารทะเลพร้อมวิวงาม แต่เมื่อผมไปถึงตรงที่แล้ว ได้อ่านเมนู และประสบกับลีลาการ ฉุด กระชาก ลาก ดึง อย่างเมามันส์ของเฮียๆ ชาวตุรกีแล้ว ผมตัดสินใจเดินย้อนกลับมาทางฝั่งเมืองเก่า เพื่อทานอาหารทะเลขึ้นชื่ออีกอย่างของอิสตันบูล คืออะไร พอทราบไหมครับ....
นี่ไงครับ มื้อเย็นของผม เป็นแซนด์วิชปลาย่าง ขนมปังก็คือขนมปังฝรั่งเศสชนิดปาหัวคนได้ดีๆ นี่เอง สอดไส้ผักกาดหั่นฝอย และปลาแม็คคอเรลชิ้นโต ย่างร้อนๆ จนสุกหอม มีกลิ่นน้ำทะเลพอให้ทราบว่าเป็นปลาทะเล มื้อนี้ ผมไม่ลืมที่จะเอาตัวช่วย คือน้ำจิ้มซีฟู้ดติดไปเยาะสักสองสามหยด แหม... อร่อยจนฝันถึงอีกแล้วครับ (ขณะที่กำลังเขียนอยู่ ได้กลิ่นโชยมาอ่อนๆ ฮ่าฮ่า) มื้อนี่แค่ 10 ลีราเท่านั้น ถูกและอร่อย
เมื่อทานเสร็จ ผมค่อยๆเดินเลียบทางรถรางกลับไปโรงแรม ไม่ไกลเลยครับ ยิ่งอากาศเย็นก็ทำให้เดินสบายขึ้นอีก ขากลับ ผมผ่านไปทางจตุรัสฮิปโปโดรม ด้านหลังสุเหร่าสีน้ำเงิน ฮิปโปรโดรมนั้น เคยเป็นสนามแข่งรถม้าในยุคโรมัน ว่ากันว่า มีอาณาเขตกว้างขวางตั้งแต่ช่องแคบบอสฟอรัสมาถึงตรงนี้เลยครับ
กลางจตุรัสฮิปโปโดรม หรือชื่อทางการว่าจตุรัสสุลต่านอาเหม็ด ประกอบด้วยเสา 3 ต้น เรียงกันตามแนวยาว ได้แก่
'เสาโอเบลิสก์' สร้างด้วยหินแกรนิต ตรงฐานมีรูปสลักจักรพรรดิโรมันทอดพระเนตรการแข่งรถม้ากับพระประยูรญาติ
'เสางู' เป็นเสาโลหะทองแดงแบบกรีก สันนิษฐานว่าเป็นรูปงู 3 ตัวเกี่ยวกระหวัดกัน แต่เดิมสูง 8 เมตร แต่ปัจจุบันเหลือ 5 เมตร
ต้นที่สาม 'เสาคอนสแตนติน' แต่เดิมเป็นสำริด แต่ถูกศัตรูหลอมเอาไปหมดในช่วงสงครามครูเสด
หน้าจตุรัสอีกฝั่งหนึ่ง คือ 'น้ำพุเยอรมัน' จักรพรรดิไกเซอร์วิลเฮล์ม สร้างถวายสุลต่านออตโตมัน เพื่อแสดงถึงพระราชไมตรีอันแน่นแฟ้นระหว่าง 2 ชาติ ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 จะอุบัติขึ้น
ด้านหนึ่งของจตุรัส คืออาคารหลังงามของวิทยาลัยศิลปะ แห่งมหาวิทยาลัยมาร์มาร่า
เอาล่ะนะครับ เห็นจะพอสมควรกับการชิมลางอิสตันบูลเพียงเท่านี้ พรุ่งนี้เช้า 'จัดเต็ม' แน่นอนครับ....
[CR] --- ร้อยรูป...เรียงเรื่อง เมืองตุรกี : สีสันชีวิต ที่ Istanbul ---
สวัสดีครับ แฟนานุแฟนที่รักทุกท่าน
คงจะเฝ้าคอยตอนต่อไปอยู่ใช่ไหมครับ
ในวันนี้ ผมจะนำทุกท่านลัดฟ้าจากอังการา เมืองหลวงของตุรกี ไปยังนครอิสตันบูล ราชธานีเก่าที่ร่ำรวยด้วยสถาปัตยกรรมอันงดงาม
และสีสันชีวิตที่ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร อันเป็นที่หมายสุดท้าย (รวมถึงตอนสุดท้าย) สำหรับ 'ร้อยรูป...เรียงเรื่อง เมืองตุรกี' ในปีนี้นะนะครับ
ส่วนผู้ที่มิได้ติดตามตั้งแต่ตอนแรก ก็เชิญเข้าไปชมก่อนในลิงก์เหล่านี้นะครับ จะได้ตามรอยกันอย่างสนุกสนาน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เอาละครับ มัวแต่พล่ามอยู่นั่น บัดนี้ก็ถึงเวลาที่ผมจะพาท่านเที่ยว 'นครอิสตันบูล' แล้ว ตามมาเลยนะคร้าบบ
แลหมู่ขุนไศลเรือง ลิ่วรื้น
หิมะโปรยปกยอดเนือง คลุมอยู่
สลับราบเป็นริ้วพื้น ชุ่มชื้นดังดล
จากที่พักกลางกรุงอังการา ผมนั่งรถออกไปประมาณ 40 กิโลเมตร ยังสนามบินเอเซนโบก้า (Esenboga) เพื่อขึ้นเครื่องบินของ Pegasus Airlines เที่ยว 11.00 น. แต่เมื่อไปถึงสนามบินแล้ว กลับพบว่า ที่รีบห้อออกมาด้วยความกระวนกระวายใจนั้น ไม่เป็นประโยชน์เลย เพราะเครื่องบินเที่ยวที่จะเดินทางนั้น ดีเลย์ออกไปกว่าหนึ่งชั่วโมง ต้องนั่งแกร่วอยู่นานเลยทีเดียว แต่ว่า เมื่อถึงเวลาออกเดินทาง กัปตันก็ยังเก่งกาจเหมือนเดิมครับ ใช้เวลาไม่ถึง 1 ชั่วโมง ก็เหินฟ้าไปถึงอิสตันบูล ที่สนามบินซาบิฮา เกิคเช่น ได้โดยเร็วและสวัสดิภาพครับ
การที่เราจะเข้าเมืองจากสนามบินซาบิฮาฯ ซึ่งอยู่ในฝั่งอนาโตเลีย หรือเอเชียนั้น ก็ไม่ยากครับ ขอแค่หารถบัสของ Havabus ให้พบเท่านั้น (บอกก็ได้ครับ ว่าจอดอยู่ฝั่งตรงข้ามเทอร์มินัล) แล้วก็ขึ้นไปหาที่นั่ง รอกระเป๋ารถมาตีตั๋วเท่านั้น ก็ไม่มีปัญหาครับ อ้อ จากสนามบินนี้ มีรถออกไปสองทาง คือ ท่าคาดิเคยในฝั่งเอเชีย และจตุรัสทักษิ.. เอ้ย ทักซิม ในฝั่งยุโรป ดูดีๆ ก่อนขึ้นนะครับ
ผมไปถึงจตุรัสทักซิมเวลาเกือบๆ บ่าย 4 โมง ล่าช้าไปมากเพราะการจราจรติดขัดสาหัสในอิสตันบูล รวมถึงหิวไส้จะขาดเต็มที่ ต้องพึ่งร้านเบเกอรี่ Simit Sarayi แถวนั้น พอยาไส้ชิ้นสองชิ้น แล้วจึงขึ้นรถรางเชือกสาย F1 ไปยังคาบาทาส (Kabatas) เพื่อต่อรถรางสายสีน้ำเงิน นั่งยาวๆ ไปยังสถานีสุลต่านอาห์เม็ด เพื่อเดินต่อไปยังที่พักตลอดเวลาในอิสตันบูล คือโรงแรม Q Hotel ซึ่งเคยมีผู้รีวิวไว้ใน pantip แล้วครับ
สำหรับการเดินทางตลอดสี่วันในอิสตันบูล ตัวช่วยที่สะดวกสบายที่สุด ก็คงหนีไม่พ้นบัตร Istanbulkart ครับ เพราะซื้อง่าย และใช้คล่อง เพียงแค่มองหาตู้สีเหลืองๆ ไว้ ทำตามคำบอกคำสั่งในตู้ พร้อมใส่เงินลงไป 10 ลีรา ลงไป ก็จะได้บัตรมาครอบครองสมใจนึกบางลำพู แล้วเจ้าบัตรนี้จะใช้กันกี่คนก็ได้ คนเดียวก็ได้ สามคนยิ่งดี หมุนเวียนกันติ๊ด (ก่อนที่เจ้าถิ่นจะมองค้อน) แล้วก็อย่าลืมเติมเงินนะครับ
รถไฟ รถเมล์ รถราง ที่นี่สะดวกมากๆ ครับ ไปได้ทั่วถึงไม่ว่าจะจุดใดก็ตาม การเข้าใช้บริการก็ไม่ยาก เผลอๆ ง่ายกว่าประเทศเกาะข้างๆ เมืองจีนอีก เข้าสถานีแบบเดียวกับรถไฟฟ้าบ้านเรา ต่างกันตรงที่ว่า ตอนออกไม่ต้องติ๊ดบัตร แค่นั้นเองครับ
พอถึงเช็กอินและเข้าสู่ห้องพักที่ Q Hotel แล้ว ผมแผ่พังพาบอยู่บนเตียงอย่างไม่รอช้า และหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า ตื่นมาอีกทีก็เกือบๆ ทุ่มแล้วครับ ผมจึงตัดสินใจใส่เสื้อโค้ท พร้อมหิ้วกล้องตัวจิ๋วไปเดินชมอิสตันบูลในยามค่ำคืน
จากที่พัก ผมเลี้ยวขวาออกไปทางสุเหร่าสีน้ำเงิน ตรงไปยังอารัสต้า บาซาร์ หวังจะเที่ยวดูของเล็กๆ น้อยๆ แต่พบว่าร้านค้าหลายแห่งปิดทำการแล้ว คงเหลืออยู่ไม่กี่เจ้าเท่านั้น เท่าที่ผมสังเกตเห็น พบว่าตลาดอารัสต้านี้มีของแปลกๆ สวยๆ หลายอย่างเชียวครับ โดยเฉพาะพวกของทำมือเก๋ไก๋ ก็มีอยู่มากร้าน ส่วนผู้ที่ต้องการซื้อของฝากเวอร์ชั่น 'สูตรสำเร็จ' ก็มีให้บริการเต็มที่ ทั้งชากาแฟ โลคุ่ม (Lokum) หรือ Turkish Delight ที่เรารู้จักกันดี ก็มีอยู่ทั่วไปในตลาดนี้ ราคาก็ไม่ถือว่าสูงจนน่าตกใจ เมื่อเทียบกับ 'ตลาดดัง' เช่นแกรนด์บาซาร์ หรือตลาดอียิปต์ คือ เหมาะสำหรับเดินช็อปสบายๆ ไม่ต้องต่อราคาหาของถูกครับ
สำหรับผู้ที่ต้องการฝากท้องที่นี่ ก็มีร้านอาหารตุรกีอยู่ช่วงท้ายตลาด ใกล้ทางออกไปสุเหร่าสีน้ำเงิน เป็นร้านแบบ Open Air ทั้งนั้น ถ้าใครมาตอนกลางคืน ราวๆ ทุ่มสองทุ่มเหมือนผม ก็จะได้ชมการแสดง Whirling Dervishes หรือ ระบำลมวน ประกอบดนตรีตุรกี ซึ่งเป็นการทำสมาธิภาวนารูปแบบหนึ่งตามหลักนิกายซูฟี ในศาสนาอิสลาม นิกายซูฟีนี้มีต้นกำเนิดจากท่านเมฟลานา มีถิ่นฐานสำคัญทางเมืองคอนย่า ใจกลางประเทศตุรกีครับ
จากอารัสต้า เลี้ยวซ้ายออกไปไม่ไกล ก็จะพบกับสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคกลางทางเบื้องขวา และสุเหร่าอันงามสง่าแห่งหนึ่งของโลกทางเบื้องซ้าย ... ใช่แล้วครับ ตอนนี้ผมยืนอยู่ระหว่าง 'ฮาเกียโซเฟีย' และ 'มัสยิดสุลต่านอาห์เหม็ด' ที่เรารู้จักกันดีในนาม Blue Mosque นั่นเอง ภาพตรงหน้าผม คือสองศาสนสถานสำคัญของโลก ตั้งตระหง่านกลางแสงไฟในยามค่ำคืน เป็นภาพที่ผมไม่มีวันลืมชั่วชีวิต ...ถ้ามากับทัวร์ คงไม่ได้นำภาพนี้มาฝากแฟนๆ ทุกท่านแน่นอนครับ
ข้างหนึ่งไบเซนไทน์สร้างตระการสถาน
คือฮาเกียโซเฟียทิพยพิมาน
ยืนนานกว่าพันปีเป็นศรีเมือง
อีกฝั่งคือมัสยิดออตโตมัน
Blue Mosque นั้นคือนามอันกระเดื่อง
ยามพลบค่ำแลอร่ามงามประเทือง
เราลือเลื่องทุกค่ำเช้าไม่เบื่อเลย
จากตรงนี้ ผมเดินตรงไปตามถนนดีวานโยลู หรือราชดำเนินบ้านเรา มุ่งไปทางด้านหลังฮาเกียโซเฟีย เบื้องหน้าผม คือซุ้มประตูหินใหญ่ มีช่องทางเข้าสองช่อง ช่องหนึ่งไปทางขวา คือพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ และพระราชวังทอปกาปึ ซึ่งผมจะมาในวันรุ่งขึ้น ส่วนอีกช่อง คือสวนกุลฮาเน่ อดีตพระราชอุทยานสมัยออตโตมัน
ผมเดินลัดเลาะในสวนกุลฮาเน่เรื่อยๆ อากาศเย็นสบายดีมากครับ ภายในสวนมีหอสมุด และพิพิธภัณฑ์ด้ายวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีที่ชาวมุสลิมคิดประดิษฐ์ขึ้น รวมถึงมีแหล่งเพาะชำพันธุ์ไม้ รวมถึงคาเฟ่ให้บริการ ในสวนก็มีพรรณไม้หลายชนิด ทั้งไม้ใบ ไม้ดอก และไม้- อร่ามอย่างโกร๋นๆ ด้วยเป็นช่วงฤดูหนาว
ผมเดินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งออกทางประตูหลังสวน ก็ได้เห็นภาพช่องแคบบอสฟอรัส และอ่าวโกลเด้นฮอร์นในยามค่ำคืนเต็มตา แล้วจึงเดินไปทางซ้าย มุ่งไปทางสะพานกาลาต้า หวังจะหาอาหารจำพวกซีฟู้ดรับประทาน ตามที่ไกด์บุ๊คบอกกันต่อๆ มาว่า ร้านอาหารใต้สะพานกาลาต้า เป็นเหมาะที่สุดที่เราจะทานอาหารทะเลพร้อมวิวงาม แต่เมื่อผมไปถึงตรงที่แล้ว ได้อ่านเมนู และประสบกับลีลาการ ฉุด กระชาก ลาก ดึง อย่างเมามันส์ของเฮียๆ ชาวตุรกีแล้ว ผมตัดสินใจเดินย้อนกลับมาทางฝั่งเมืองเก่า เพื่อทานอาหารทะเลขึ้นชื่ออีกอย่างของอิสตันบูล คืออะไร พอทราบไหมครับ....
นี่ไงครับ มื้อเย็นของผม เป็นแซนด์วิชปลาย่าง ขนมปังก็คือขนมปังฝรั่งเศสชนิดปาหัวคนได้ดีๆ นี่เอง สอดไส้ผักกาดหั่นฝอย และปลาแม็คคอเรลชิ้นโต ย่างร้อนๆ จนสุกหอม มีกลิ่นน้ำทะเลพอให้ทราบว่าเป็นปลาทะเล มื้อนี้ ผมไม่ลืมที่จะเอาตัวช่วย คือน้ำจิ้มซีฟู้ดติดไปเยาะสักสองสามหยด แหม... อร่อยจนฝันถึงอีกแล้วครับ (ขณะที่กำลังเขียนอยู่ ได้กลิ่นโชยมาอ่อนๆ ฮ่าฮ่า) มื้อนี่แค่ 10 ลีราเท่านั้น ถูกและอร่อย
เมื่อทานเสร็จ ผมค่อยๆเดินเลียบทางรถรางกลับไปโรงแรม ไม่ไกลเลยครับ ยิ่งอากาศเย็นก็ทำให้เดินสบายขึ้นอีก ขากลับ ผมผ่านไปทางจตุรัสฮิปโปโดรม ด้านหลังสุเหร่าสีน้ำเงิน ฮิปโปรโดรมนั้น เคยเป็นสนามแข่งรถม้าในยุคโรมัน ว่ากันว่า มีอาณาเขตกว้างขวางตั้งแต่ช่องแคบบอสฟอรัสมาถึงตรงนี้เลยครับ
กลางจตุรัสฮิปโปโดรม หรือชื่อทางการว่าจตุรัสสุลต่านอาเหม็ด ประกอบด้วยเสา 3 ต้น เรียงกันตามแนวยาว ได้แก่
หน้าจตุรัสอีกฝั่งหนึ่ง คือ 'น้ำพุเยอรมัน' จักรพรรดิไกเซอร์วิลเฮล์ม สร้างถวายสุลต่านออตโตมัน เพื่อแสดงถึงพระราชไมตรีอันแน่นแฟ้นระหว่าง 2 ชาติ ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 จะอุบัติขึ้น
เอาล่ะนะครับ เห็นจะพอสมควรกับการชิมลางอิสตันบูลเพียงเท่านี้ พรุ่งนี้เช้า 'จัดเต็ม' แน่นอนครับ....