[CR] --- ร้อยรูป...เรียงเรื่อง เมืองตุรกี : รอยเวลาอนาโตเลีย - Ephesus ---
สวัสดีครับ ชาวพันทิปที่รัก
ในวันนี้ ผมจะพาทุกท่านไปเยี่ยมเยือนเมืองตุรกีใน 'ดินแดนอนาโตเลีย' ซึ่งก็คือฝั่งทวีปเอเชีย ที่อาจกล่าวได้ว่า มีสายธารอารยธรรมที่สืบเนื่องยาวนานมากว่าสามพันปีก่อนคริสตกาล นับนิ้วดูแล้ว เวลาที่อารยธรรมได้สั่งสมมาถึงทุกวันนี้ ก็เกือบห้าพันปี โอ้โฮ ตั้งแต่ยุคหินนั่นเชียวครับ
ในตอนที่แล้ว ผมได้พาท่านจากกรุงเทพฯ มาจนถึงอิซเมียร์ เป็นอย่างไรกันบ้างครับ ผมเหนื่อยน่าดูเลยแหละ เพราะเดินทางตลอด 24 ชั่วโมงกว่าๆ นี่ขนาดไม่ได้บวกเวลาเมืองไทยไปด้วย ก็เกือบ 25 ชั่วโมง กว่าจะได้นอนจริงๆ ก็ปาเข้าไปดึกโขละครับ
ท่านใดที่ยังไม่ได้อ่านตอนแรก เชิญกดเข้าไปดูในนะนี้ครับ
https://pantip.com/topic/37343981 อ่านจบแล้วก็ขอเชิญมาเที่ยวกันต่อในตอนที่สอง..."รอยเวลาอนาโตเลีย"...กันได้เลยครับ
---อาหารเช้าเมืองตุรกี---
ผมเชื่อว่า ท่านที่ได้ไปเที่ยวตุรกีและเช่าโรงแรมนอนโดยตลอด จะพบว่า อาหารมื้อเช้าอย่างสแตนดาร์ดข้างเมืองตุรกีนั้น ไม่ว่าจะที่ใดก็ตาม ร้อยทั้งร้อยจะเป็นลักษณะนี้เสมอ คือไข่ต้ม ไส้กรอกแผ่นบางเฉียบ สีชมพูแปร๊ดหน้าตาเหมือนไส้กรอกหลอกเด็กหน้าโรงเรียน เป็นโปรตีนหลัก ส่วนคาร์โบไฮเดรตนั้น ก็จะมาในรูปขนมปังหลากหลายรูปแบบ ทั้งขนมปังบาแก็ตต์ เบเกิล หรือซีมิท มีมันฝรั่งอบ แป้งทอดทำนองซูโรสอย่างเมืองสเปน หรือเป็นแป้งทอดโรยด้วยน้ำตาลไอซิ่งคล้ายๆ ทองพลุบ้านเรา
ส่วนเกลือแร่และไวตามินนั้น โรงแรมบางแห่งก็อาจมีผักสลัดวางไว้บริการ แต่ไม่มีเดรสซิ่งให้ราด แต่ทุกที จะยืนพื้นด้วยแตงกวา และมะเขือเทศอันหวานกรอบ สด อร่อย เนื้อหนาแต่ไม่แข็ง ไม่เหลวอย่างที่วางเคียงข้าวผัด ผมซึ่งโดยปรกติแล้วไม่รับประทานมะเขือเทศ ก็ต้องสยบแก่มะเขือเทศตุรกีทุกทีไปครับ
สุดท้ายคือไขมัน อันเป็นสารอาหารสำคัญที่จะเพิ่มพลังงานแก่ร่างกายให้ต่อสู้กับอากาศหนาวโดยไม่ย่อท้อ ตุรกีเค้าก็จัดชีสมาให้หลากหลายครับ ทั้งชีสก้อน ชีสแผ่น ชีสสด หรือชีสฉีก ก็มีให้ท่านอิ่มหนำสำราญจนน้ำหนักขึ้นมาเกือบห้ากิโลได้
เห็นมีน้อยๆ แบบนี้ อย่าเพิ่งปรามาสนะครับว่าจะไม่ทำให้อิ่มได้ คนพุงโตเหมือนมีครรภ์อ่อนๆ อย่างผม แค่จานเดียวนี่ละครับ อิ่มแทบจุกเลยล่ะ

บรรยากาศย่านสถานีบาสมาเน เวลาใกล้เก้าโมงเช้า

บรรยากาศในตู้รถไฟที่จะไปเซลจุก
ผมออกเดินทางสู่เซลจุกเวลาเก้าโมงเช้า ตั้งต้นจากบาสมาเน รถไฟที่นี่ดำเนินการโดย TCDD หรือการรถไฟตุรกี ออกตรงเวลาดีมากครับ ใช้เวลาเพียงชั่วโมงเศษ ก็ถึงเซลจุกแล้ว
ที่สถานีเซลจุก ผมได้พบกับสุภาพบุรุษชาวไทยท่านหนึ่ง อายุเข้าถึงหลัก 7 แล้ว แต่สุขภาพยังแข็งแรงดีมาก สอบถามทวนความได้ว่าท่านเคยเป็นอาจารย์ใหญ่โรงเรียนแห่งหนึ่ง เมื่อเกษียณอายุราชการแล้ว ท่านจึงออกตระเวนเดินทางไปรอบโลก ในเวลานั้น ท่านอยู่ท่องเที่ยวที่ตุรกีเป็นเวลากว่าเดือน ได้ความว่าท่านจะไปคาซัคสถานต่อ หากมีผู้ที่สนิทสนมคุ้นเคย หรือตัวท่านเองได้ผ่านมาอ่านกระทู้นี้ ผมขอกราบระลึกถึงท่านด้วยความคิดถึงและชื่นชมในความเป็น 'ส.ว. คุณภาพ' ครับ
สะพานส่งน้ำโบราณหน้าสถานีเซลจุก
จากสถานีเซลจุก ผมเดินลากกระเป๋าไปออกไปทางซ้าย เข้าสู่ตัวเมือง ระยะทางประมาณ 500 เมตร ก็จะพบสถานีรถบัสประจำเมือง ผมได้ทีจึงนำสัมภาระไปฝากไว้กับสำนักงานรถตู้สีเขียวที่จะไปเอเฟซุส โดยใช้บริการรถของเค้าด้วย เสียค่าฝากตลอดวันเป็นเงิน 5 ลีร่าต่อกระเป๋าหนึ่งใบ นับว่าดีกว่าลากกระเป๋าปุเลงๆ ไปในวันฝนพรำ ทั้งนี้ที่สถานีรถไฟไม่รับฝากครับ
รถที่จะไปเอเฟซุสคิดราคาต่อหัวคนละ 3 ลีราถ้วน พอคนเต็มแล้วก็ออกเดินทางได้ ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง รถก็มาจอดหน้าประตูล่างของเมืองโบราณเอเฟซุส คนรถชี้ให้ดูตารางเวลารถเที่ยวกลับ ที่จะมาทุกๆ นาทีที่ 15 และ 45 ทุกชั่วโมง
ตลอดทางทั้งแต่จุดจอดรถถึงปากประตูทางเข้าเมืองโบราณเอเฟซุส เรียงรางด้วยร้านขายของที่ระลึกสองข้างทาง รวมถึงไกด์จรที่จะมาเสนอบริการนำเที่ยวอยู่โดยตลอด งานนี้แล้วแต่สมัครใจนะครับ ส่วนผมเองขอเดินชมเรื่อยๆ ก็แล้วกัน หน้าปากประตูจะมีซุ้มขายตั๋วเข้าชม อันนี้ต้องซื้อทุกคนไม่มีข้อยกเว้นนะครับ ใบละ 40 ลีรา

นี่ละครับ พนักงานต้อนรับประจำเอเฟซุส แขกไปใครมาก็ต้องหยุดถ่ายรูป หรือเล่นกับนังพวกนี้ไม่มีเกี่ยงงอน แมวที่นี่ไม่อดอยากนะครับ เพราะมีคุณน้าคนนึงเรียกตัวเองว่า Papa Cat คอยดูแลให้อาหารอยู่ตลอด ใครผ่านไปมาจะสมทบค่าอาหารก็ตามแต่ศรัทธานะครับ
---เอเฟซุส (Ephesus)---
ซากโรงละครโบราณรูปครึ่งวงกลม

พื้นเวทีโรงละครโบราณ ใครไปยืนพูดอยู่ตรงนี้ เสียงจะก้องไปทั่วบริเวณ

หอสมุดเซลซุส รัตนะแห่งเอเฟซุส

ป้ายโฆษณายุคโบราณ เป็นรูปรอยเท้า สี่เหลี่ยม หัวใจ กับหญิงสาว คิดว่าเป็นโฆษณาอะไรครับ?

น้ำพุหน้าเทพทราจัน ซึ่งเป็นจักรพรรดิโรมันอันเป็นที่เคารพสักการะอย่างยิ่ง
แต่เดิมเคยมีรูปปั้นเทพทราจันวางพระบาทเหยียบโลก

เทพีไนกี้ เทพีแห่งชัยชนะ (มิน่าเล่า ทำไมถึงเอาชื่อท่านมาตั้งเป็นชื่อรองเท้ากีฬา ฮ่ะฮ่ะ)
เดินชมเมืองเอเฟซุสเรื่อยมาจนถึงจตุรัสโดมิเทียน ซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขา ฝนเจ้ากรรมที่ตั้งเค้าอยู่ตั้งแต่เช้าก็กระหน่ำลงมาอย่างไม่ปรานีปราศรัย ท่ามกลางอากาศอันหนาวเหน็บ ผมจึงต้องเดินลุยฝนลงมาตามถนนปูหินอ่อน มีลื่นบ้างเป็นช่วงๆ ลงมาถึงข้างล่างได้โดยไม่เปียกปอนมาก คงเป้นเพราะเทพเทพีทั้งหลายในนี้ท่านช่วยไว้แหละครับ
ผมนั่งรถเจ้าเดิมกลับเซลจุก โดยยกเลิกแผนที่จะไปเยือนวิหารพระแม่มารี และอายา โซจุกในบ่ายวันนั้นทั้งหมด หนทางที่ดีที่สุดสำหรับบ่ายวันนั้น ก็คงต้องหาที่ทางอุ่นๆ สำหรับมื้อเที่ยงและจัดการตัวเอง ผมเดินหาร้านอาหารในตัวเมืองเซลจุกไม่นาน ก็พบร้านอาหารร้านนึง ท่าทางสะอาดสะอ้านเชียวครับ ราคาอาหารอยู่ในระดับรับได้ จึงเข้าไปนั่งแล้วสั่งอาหารมาถึงสามอย่าง...
หนึ่งคือซุปเนื้อตุ๋น สร้างความอบอุ่นกันหน่อย เนื้อวัวเค้าตุ๋นดีมากนะครับ นุ่มลิ้น อร่อยไม่แพ้เจ้าดังทางกรุงเทพฯเลย

จานหลักที่สองคือไก่เสียบไม้ย่าง มีข้าวมันแกล้มมาด้วย จิ้มน้ำแจ่วคงได้รสเยี่ยมทีเดียวครับ

จานที่สามเป็นสเต็กเนื้อ แนมข้าวมันเช่นกัน อร่อย นุ่ม และไม่เหม็นคาวครับ

แล้วก็ตามประเพณีที่ทุกร้านในตุรกี เมื่อเข้าไปหย่อนก้นแล้ว ก็จะแถมขนมปังให้ตามจำนวนคน เย็นไปนิด แต่นุ่มอร่อย กินแกล้มกำลังดีครับ

อ้อ ลืมบอกไปครับว่า ร้านนี้มีนามว่า 'Seckin Cigerci' เค้าตั้งมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1956 โน่นละครับ อร่อยในราคามิตรภาพ จำชื่อไว้ให้ดีนะครับ
ข้างเคียงกัน มีร้านโดเนอร์ หรือที่เรารู้จักในชื่อเคบับ ตั้งอยู่ รวมถึงมีน้ำส้ม น้ำทับทิมคั้นสด และนมโยเกิร์ตใส่เกลือที่เรียกว่า อายรัน
น้ำผลไม้ราคาแก้วละ 3 ลีราเท่านั้นครับ ลองชิมดูได้

ร้านนี้ทำอายรันเองเลย แถมบอกว่ามาคราวหน้าจะสอนผมทำด้วยล่ะ

เราเดินเที่ยวชมร้านรวงในเซลจุกสักพัก ก่อนที่จะขึ้นรถไฟเที่ยวสี่โมงเย็นไปยัง 'เดนิซลี' เพื่อขึ้นรถบัสเที่ยวกลางคืนนั่งต่อไป 'เกอเรเม' ในช่วงเช้าวันรุ่งขึ้นครับ รถไฟวิ่งอยู่ 3 ชั่วโมงจนมาถึงเดนิซลีในเวลาสองทุ่มต้นๆ ขบวนนี้แน่นเชียวครับ ต้องทนตีตั๋วยืนไปนานเลยทีเดียวกว่าจะได้นั่ง
เมื่อรถไฟมาสุดทางที่เดนิซลี ผมต้องลากกระเป๋าไปที่สถานีขนส่งซึ่งตั้งตรงข้ามกัน ขนส่งเค้าใหญ่โตทีเดียวครับ ผู้คนหนาแน่น ผมตั้งใจว่าจะหาอะไรรับประทาน แต่ร้านอาหารก็ทยอยปิดไปแล้ว จนได้มาพบสิ่งนี้...
ใช่แล้วครับ นี่คือ 'มิดเย่ โดลมา' อาหารขึ้นชื่ออย่างหนึ่งของตุรกี รูปพรรณเป็นหอยแมลงภู่ขนาดพอๆ กับบ้านเรา แต่ยัดไส้ด้วยข้าวหุงกับเครื่องเทศ เช่น ผงยี่หร่า และพริก นำลงอบจนสุก แล้วบีบน้ำเลมอนก่อนกิน แต่ว่างานนี้ ผมพกน้ำจิ้มซีฟู้ดไปเป็นผู้ช่วยด้วย จึงอร่อยลิ้นขึ้นเป็นเท่าตัว
ผมจองรถบัสของ Kamil Koc เที่ยวสามทุ่มครึ่ง ราคา 70 ลีรา นั่งไปเกอเรเม พอขึ้นไปบนรถซึ่งออกตรงเวลา ก็จะมีพนักงานคอยไต่ถามว่าใครจะลงที่ไหนบ้าง ส่วนใหญ่ลงคอนย่า และเนฟเซฮีร์ กันทั้งนั้นครับ รถก็จะมีหยุดแวะพักให้ล้างหน้าล้างตากันกลางทางเป็นระยะๆ เพราะบนรถไม่มีห้องสุขานะครับ
สำหรับท่านผู้อ่านที่ตั้งตารอรีวิว 'ปามุกคาเล่' นั้น ผมขอเรียนไว้ตรงนี้ว่า มิได้บรรจุเมืองนี้ลงในแผนการ เพราะเห็นว่าจะนักหนาพอสมควรครับ
ใกล้หนึ่งหมื่นคำแล้ว ขออนุญาตหลับก่อน แล้วพบกันที่ 'เกอเรเม่' นะครับทุกท่าน!
คร่อก...ฟี้
[CR] --- ร้อยรูป...เรียงเรื่อง เมืองตุรกี : รอยเวลาอนาโตเลีย - Ephesus ---
ผมเชื่อว่า ท่านที่ได้ไปเที่ยวตุรกีและเช่าโรงแรมนอนโดยตลอด จะพบว่า อาหารมื้อเช้าอย่างสแตนดาร์ดข้างเมืองตุรกีนั้น ไม่ว่าจะที่ใดก็ตาม ร้อยทั้งร้อยจะเป็นลักษณะนี้เสมอ คือไข่ต้ม ไส้กรอกแผ่นบางเฉียบ สีชมพูแปร๊ดหน้าตาเหมือนไส้กรอกหลอกเด็กหน้าโรงเรียน เป็นโปรตีนหลัก ส่วนคาร์โบไฮเดรตนั้น ก็จะมาในรูปขนมปังหลากหลายรูปแบบ ทั้งขนมปังบาแก็ตต์ เบเกิล หรือซีมิท มีมันฝรั่งอบ แป้งทอดทำนองซูโรสอย่างเมืองสเปน หรือเป็นแป้งทอดโรยด้วยน้ำตาลไอซิ่งคล้ายๆ ทองพลุบ้านเรา
ส่วนเกลือแร่และไวตามินนั้น โรงแรมบางแห่งก็อาจมีผักสลัดวางไว้บริการ แต่ไม่มีเดรสซิ่งให้ราด แต่ทุกที จะยืนพื้นด้วยแตงกวา และมะเขือเทศอันหวานกรอบ สด อร่อย เนื้อหนาแต่ไม่แข็ง ไม่เหลวอย่างที่วางเคียงข้าวผัด ผมซึ่งโดยปรกติแล้วไม่รับประทานมะเขือเทศ ก็ต้องสยบแก่มะเขือเทศตุรกีทุกทีไปครับ
สุดท้ายคือไขมัน อันเป็นสารอาหารสำคัญที่จะเพิ่มพลังงานแก่ร่างกายให้ต่อสู้กับอากาศหนาวโดยไม่ย่อท้อ ตุรกีเค้าก็จัดชีสมาให้หลากหลายครับ ทั้งชีสก้อน ชีสแผ่น ชีสสด หรือชีสฉีก ก็มีให้ท่านอิ่มหนำสำราญจนน้ำหนักขึ้นมาเกือบห้ากิโลได้
เห็นมีน้อยๆ แบบนี้ อย่าเพิ่งปรามาสนะครับว่าจะไม่ทำให้อิ่มได้ คนพุงโตเหมือนมีครรภ์อ่อนๆ อย่างผม แค่จานเดียวนี่ละครับ อิ่มแทบจุกเลยล่ะ
ที่สถานีเซลจุก ผมได้พบกับสุภาพบุรุษชาวไทยท่านหนึ่ง อายุเข้าถึงหลัก 7 แล้ว แต่สุขภาพยังแข็งแรงดีมาก สอบถามทวนความได้ว่าท่านเคยเป็นอาจารย์ใหญ่โรงเรียนแห่งหนึ่ง เมื่อเกษียณอายุราชการแล้ว ท่านจึงออกตระเวนเดินทางไปรอบโลก ในเวลานั้น ท่านอยู่ท่องเที่ยวที่ตุรกีเป็นเวลากว่าเดือน ได้ความว่าท่านจะไปคาซัคสถานต่อ หากมีผู้ที่สนิทสนมคุ้นเคย หรือตัวท่านเองได้ผ่านมาอ่านกระทู้นี้ ผมขอกราบระลึกถึงท่านด้วยความคิดถึงและชื่นชมในความเป็น 'ส.ว. คุณภาพ' ครับ
จากสถานีเซลจุก ผมเดินลากกระเป๋าไปออกไปทางซ้าย เข้าสู่ตัวเมือง ระยะทางประมาณ 500 เมตร ก็จะพบสถานีรถบัสประจำเมือง ผมได้ทีจึงนำสัมภาระไปฝากไว้กับสำนักงานรถตู้สีเขียวที่จะไปเอเฟซุส โดยใช้บริการรถของเค้าด้วย เสียค่าฝากตลอดวันเป็นเงิน 5 ลีร่าต่อกระเป๋าหนึ่งใบ นับว่าดีกว่าลากกระเป๋าปุเลงๆ ไปในวันฝนพรำ ทั้งนี้ที่สถานีรถไฟไม่รับฝากครับ
รถที่จะไปเอเฟซุสคิดราคาต่อหัวคนละ 3 ลีราถ้วน พอคนเต็มแล้วก็ออกเดินทางได้ ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง รถก็มาจอดหน้าประตูล่างของเมืองโบราณเอเฟซุส คนรถชี้ให้ดูตารางเวลารถเที่ยวกลับ ที่จะมาทุกๆ นาทีที่ 15 และ 45 ทุกชั่วโมง
ตลอดทางทั้งแต่จุดจอดรถถึงปากประตูทางเข้าเมืองโบราณเอเฟซุส เรียงรางด้วยร้านขายของที่ระลึกสองข้างทาง รวมถึงไกด์จรที่จะมาเสนอบริการนำเที่ยวอยู่โดยตลอด งานนี้แล้วแต่สมัครใจนะครับ ส่วนผมเองขอเดินชมเรื่อยๆ ก็แล้วกัน หน้าปากประตูจะมีซุ้มขายตั๋วเข้าชม อันนี้ต้องซื้อทุกคนไม่มีข้อยกเว้นนะครับ ใบละ 40 ลีรา
เดินชมเมืองเอเฟซุสเรื่อยมาจนถึงจตุรัสโดมิเทียน ซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขา ฝนเจ้ากรรมที่ตั้งเค้าอยู่ตั้งแต่เช้าก็กระหน่ำลงมาอย่างไม่ปรานีปราศรัย ท่ามกลางอากาศอันหนาวเหน็บ ผมจึงต้องเดินลุยฝนลงมาตามถนนปูหินอ่อน มีลื่นบ้างเป็นช่วงๆ ลงมาถึงข้างล่างได้โดยไม่เปียกปอนมาก คงเป้นเพราะเทพเทพีทั้งหลายในนี้ท่านช่วยไว้แหละครับ
ผมนั่งรถเจ้าเดิมกลับเซลจุก โดยยกเลิกแผนที่จะไปเยือนวิหารพระแม่มารี และอายา โซจุกในบ่ายวันนั้นทั้งหมด หนทางที่ดีที่สุดสำหรับบ่ายวันนั้น ก็คงต้องหาที่ทางอุ่นๆ สำหรับมื้อเที่ยงและจัดการตัวเอง ผมเดินหาร้านอาหารในตัวเมืองเซลจุกไม่นาน ก็พบร้านอาหารร้านนึง ท่าทางสะอาดสะอ้านเชียวครับ ราคาอาหารอยู่ในระดับรับได้ จึงเข้าไปนั่งแล้วสั่งอาหารมาถึงสามอย่าง...
หนึ่งคือซุปเนื้อตุ๋น สร้างความอบอุ่นกันหน่อย เนื้อวัวเค้าตุ๋นดีมากนะครับ นุ่มลิ้น อร่อยไม่แพ้เจ้าดังทางกรุงเทพฯเลย
อ้อ ลืมบอกไปครับว่า ร้านนี้มีนามว่า 'Seckin Cigerci' เค้าตั้งมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1956 โน่นละครับ อร่อยในราคามิตรภาพ จำชื่อไว้ให้ดีนะครับ
ข้างเคียงกัน มีร้านโดเนอร์ หรือที่เรารู้จักในชื่อเคบับ ตั้งอยู่ รวมถึงมีน้ำส้ม น้ำทับทิมคั้นสด และนมโยเกิร์ตใส่เกลือที่เรียกว่า อายรัน
น้ำผลไม้ราคาแก้วละ 3 ลีราเท่านั้นครับ ลองชิมดูได้
ร้านนี้ทำอายรันเองเลย แถมบอกว่ามาคราวหน้าจะสอนผมทำด้วยล่ะ
เราเดินเที่ยวชมร้านรวงในเซลจุกสักพัก ก่อนที่จะขึ้นรถไฟเที่ยวสี่โมงเย็นไปยัง 'เดนิซลี' เพื่อขึ้นรถบัสเที่ยวกลางคืนนั่งต่อไป 'เกอเรเม' ในช่วงเช้าวันรุ่งขึ้นครับ รถไฟวิ่งอยู่ 3 ชั่วโมงจนมาถึงเดนิซลีในเวลาสองทุ่มต้นๆ ขบวนนี้แน่นเชียวครับ ต้องทนตีตั๋วยืนไปนานเลยทีเดียวกว่าจะได้นั่ง
เมื่อรถไฟมาสุดทางที่เดนิซลี ผมต้องลากกระเป๋าไปที่สถานีขนส่งซึ่งตั้งตรงข้ามกัน ขนส่งเค้าใหญ่โตทีเดียวครับ ผู้คนหนาแน่น ผมตั้งใจว่าจะหาอะไรรับประทาน แต่ร้านอาหารก็ทยอยปิดไปแล้ว จนได้มาพบสิ่งนี้...
ผมจองรถบัสของ Kamil Koc เที่ยวสามทุ่มครึ่ง ราคา 70 ลีรา นั่งไปเกอเรเม พอขึ้นไปบนรถซึ่งออกตรงเวลา ก็จะมีพนักงานคอยไต่ถามว่าใครจะลงที่ไหนบ้าง ส่วนใหญ่ลงคอนย่า และเนฟเซฮีร์ กันทั้งนั้นครับ รถก็จะมีหยุดแวะพักให้ล้างหน้าล้างตากันกลางทางเป็นระยะๆ เพราะบนรถไม่มีห้องสุขานะครับ
สำหรับท่านผู้อ่านที่ตั้งตารอรีวิว 'ปามุกคาเล่' นั้น ผมขอเรียนไว้ตรงนี้ว่า มิได้บรรจุเมืองนี้ลงในแผนการ เพราะเห็นว่าจะนักหนาพอสมควรครับ
ใกล้หนึ่งหมื่นคำแล้ว ขออนุญาตหลับก่อน แล้วพบกันที่ 'เกอเรเม่' นะครับทุกท่าน!
คร่อก...ฟี้