ผมจำได้ว่าในช่วงที่มีการประกาศตั้งวง BNK48 ซึ่งเป็นวงน้องสาวของ AKB48 ในประเทศไทยนั้น
เหล่าแฟนๆ ของAKB48 ก็ได้ถกเถียงอภิปรายกันอย่างกว้างขวางว่า อนาคตของ BNK48 ในประเทศไทยนั้น จะมีทิศทางเป็นอย่างไร
ซึ่งผู้ที่ตอบก็มีทั้งฝ่ายที่สนับสนุน และฝ่ายค้าน
ตัวผมเอง ก็มีความยินดีในระดับหนึ่งว่า วงไอดอลที่ตัวเองเคยชื่นชอบนั้น จะมีสาขาในไทย และมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับประเทศไทยมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ผมเอง"ในตอนนั้น"ก็มองว่า โจทย์ของ BNK48 นั้น "ยากทีเดียวเหมือนกัน" ทั้งในส่วนของการสร้างแฟนกลุ่มใหม่ในประเทศไทย และการได้รับความเอ็นดูจากคนที่เป็นโอตะของ AKB48 มาตั้งแต่ดั้งเดิม โดยมีเหตุผลสนับสนุนอยู่หลายประการ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
- ตลาดไทยถูกกระแส K-pop ยึดครองมาเป็นเวลายาวนาน ส่วนลูกค้าตลาด J-pop ลดขนาดลงมาจนกลายเป็น Niche Market (แม้จะมีความพยายามในการจุดกระแสบันเทิง J-Pop ขึ้นมาใหม่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ก็ยังประสบความสำเร็จอย่างจำกัด) เท่านั้น
- คนไทยในสังคมกระแสหลัก ไม่ได้มอง AKB48 ในภาพลักษณ์ที่ดีสักเท่าไร ซึ่งเป็นผลมาจากการที่สื่อบันเทิงไทยนำเสนอข้อมูลอย่างผิดๆ ( และจากการฟังไม่ได้ศัพท์ จับไปตีความเอาเอง) ยังมีหลายๆคน ที่เชื่อแบบผิดๆว่า AKB48 เป็นวงที่เน้นเอาสาวเยอะๆมาใส่บิกินี่มาขายผู้ชาย สมาชิกที่สำเร็จการศึกษาแล้วจะไปเล่นหนังเอวี และมีการลงโทษสมาชิกคนหนึ่งที่ไปคบกับผู้ชายด้วยการโกนหัว ฯลฯ มาจนถึงปัจจุบัน
- concept "ไอดอลที่คุณสามารถพบได้" ไม่น่าดึงดูดนักในตลาดไทย เพราะดารานักร้องไทยนั้น ไม่ได้เข้าถึงยากเท่าดารานักร้องญี่ปุ่น ที่จะให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวมากถึงขนาดที่ต้องปิดบังหน้าตัวเองเวลาไปไหนมาไหน และก็มีดารานักร้องจำนวนหนึ่งที่เจอตัวแล้วก็เข้าไปคุยได้ ถ่ายรูปคู่ได้ ขอลายเซ็นได้
- คนไทยยังไม่คุ้นเคยกับ concept ของไอดอลเท่าไรนัก ตอนสมัยที่ยังไม่มี BNK48 นั้น คนไทยจำนวนมากก็ยังมองว่า การจ่ายเงินซื้อแผ่นเพลงเพื่อไปจับมือกับไอดอลเพียงแค่ไม่กี่วินาที หรือได้ถ่ายรูปคู่ไม่กี่ใบ หรือเพื่อได้ลายเซ็นของอีกฝ่ายนั้น เป็นกิจกรรมที่สิ้นเปลืองเกินไป และการที่ห้ามไอดอลมีแฟนนั้น ก็เป็นเรื่องที่กดขี่บังคับเกินไป ไม่ถูกจริตผู้รักความเสรี นอกจากนี้ยังมีประเด็นปัญหาเรื่องพฤติกรรมการเสพของละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้บริโภคสื่อบันเทิงในไทยด้วย
- ความแตกต่างในเชิงวัฒนธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการศึกษา ที่ญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นไม่ได้ถือสาอะไรมากกับคนที่ไม่จบระดับปริญญาตรี โดยเฉพาะในสายอาชีพที่ไม่ใช่งานบริษัท (อย่างเช่นคนในวงการบันเทิง) ดาราญี่ปุ่นดังๆที่จบถึงระดับปริญญาตรีนั้นมีนับคนได้ เพราะส่วนใหญ่จะเน้นทุ่มเวลาไปกับการฝึกฝนทักษะการแสดงหรือร้องเพลงเป็นหลัก แต่ในประเทศไทย แค่ไม่จบตรีก็โดนมองแปลกๆแล้ว
- ผมเห็นว่า character ของสาวไทยโดยรวมๆนั้น จะอยู่ใน concept "แข็งพิฆาตอ่อน" ซึ่งตรงกันข้ามกับ character สาวญี่ปุ่นที่มีแนวคิด "อ่อนสยบแข็ง" คนที่เป็นโอตะทางฝั่งญี่ปุ่นมาก่อน จึงไม่ควรที่จะคาดหวัง “ความเป็นญี่ปุ่น” จากวงน้องสาววงนี้มากเกินไปนัก
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบันก็พิสูจน์ให้เห็นว่า สิ่งที่ผมคาดการณ์ไว้นั้นผิดหมด เพราะ BNK48 นั้นได้กลายเป็นวงดังระดับแนวหน้าของประเทศในเวลาอันสั้น และได้รับความเอ็นดูจากกลุ่มคนมากมายทั้งชายหญิง ครอบคลุมทั้งคนดังสายวิชาการ สายสื่อ หรือแม้แต่ celeb สายโหดบนอินเตอร์เน็ต เพลง คุกกี้เสี่ยงทาย หรือ Koi Suru Fortune Cookie นั้น ก็ได้รับความนิยมกันไปทั่วทุกที่ แถมเหล่าแฟนๆในไทยนั้นก็ยินยอมพร้อมใจที่จะจ่ายเงินให้กับสินค้าต่างๆของเหล่าสาวๆ ทั้งๆที่ตัวเองก็ไม่ได้เป็นโอตะสายญี่ปุ่นมาแต่ดั้งเดิม
ผมจึงสงสัยว่า อะไรกันแน่คือเหตุผลที่ทำให้ BNK48 สามารถก้าวข้ามปัจจัยลบต่างๆ และประสบความสำเร็จในไทยได้ ซึ่งเหตุผลเหล่านี้น่าจะมีอะไรที่มากไปกว่ากลยุทธ์การตลาดสไตล์ AKB48 ของอากิพี และเพลงเพราะๆที่มาจากญี่ปุ่น (โดยเฉพาะ Koi Suru Fortune Cookie ที่เป็นเพลงดังระดับเพลงชาติ AKB48) และจากการที่ได้ลองวิเคราะห์ๆ ดู นั้น ผมเห็นว่าสิ่งที่ BNK48 สามารถตอบโจทย์คนไทยได้แบบเข้าเป้า มีดังต่อไปนี้ครับ (เนื่องจากผมเองไม่ได้ตาม BNK48 ละเอียดนัก จึงอาจจะมีจุดผิดพลาดบ้าง เชิญเสนอแนะได้ตามสะดวกครับ)
1.น้องสาวคนเล็กแห่งชาติ ผู้เข้ามาเยียวยาสังคมอันวุ่นวาย
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เหตุการณ์ความเปลี่ยนแปลงในบ้านเมือง ปัญหาทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมต่างๆนั้น ทำให้คนไทยจำนวนมาก อยู่ในสภาพที่ หงุดหงิด อ่อนล้า และหลงทาง
แต่การมาของสาวๆ BNK48 และวัฒนธรรมไอดอลนั้น ทำให้สังคมไทยรู้สึกว่า อยู่ๆก็มีน้องสาวคนเล็กที่น่ารัก เข้ามาในชีวิตให้ตัวเองได้เอ็นดูและดูแล เลยก่อให้เกิดพลัง กลายเป็นความหวังและความสดชื่นโดยไม่อิงสีเสื้อ หรือฝ่ายการเมืองใด
2.ภาพลักษณ์สดใส น่ารัก และสุภาพ (ในระดับหนึ่ง) ซึ่งหาได้ยากในสังคมไทยปัจจุบัน
ต้องยอมรับครับว่า ในช่วงกว่าสิบกว่าปีที่ผ่านมา นักแสดงตลก คนบันเทิงเพศที่สาม ผู้กำกับหนังและละครยอดนิยม และ คนดังบนอินเตอร์เน็ตสายโหด มี้อิทธิพลทางวัฒนธรรมครอบงำคนไทยเป็นอย่างมาก ส่งผลให้ สังคมเรานิยมการพูดแรงๆ และ ทำตัวแรงๆ และใช้คำหยาบกันเป็นปกติ สาวๆวัยรุ่นในสมัยปัจจุบัน ก็เลือกที่จะพูดจาแบบจิกๆ พ่วงคำหยาบ และศัพท์ไทยแปลกๆที่ประดิษฐ์โดยตลกหรือคนบันเทิงเพศที่สาม หรือ net celeb สายโหด หากไปตาม SNS ผู้หญิงจำนวนมากกล้าที่จะขึ้น ค. ขึ้น ห. เขียนตอบโพสต์ได้แบบไม่รู้สึกอะไร
ผมเองโตมา ในยุคที่แค่คำว่า “แก” ก็จัดอยู่ในข่ายไม่ค่อยสุภาพแล้ว จึงรู้สึกปวดใจกับการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมในประการนี้ (สมัยเด็กๆ ญาติผู้ใหญ่ที่ผมรู้จักจะใช้คำว่าแกกับเด็ก เมื่อโมโหเท่านั้น แต่พอมายุคนี้ ผู้ใหญ่กลุ่มเดียวกันก็เปลี่ยนไปขึ้น ก. ขึ้น ม. และสบถเป็นชุด) และก็นึกอยู่เรื่อยๆว่า “สาวสมัยนี้ ที่พูดจาดีๆยังเหลืออยู่หรือเปล่านะ” เชื่อว่าหลายๆท่านเองก็คงรู้สึกอย่างเดียวกัน แม้แต่ในฝ่ายคนที่ชอบพูดคำหยาบเอง หากมีใครมาสนิทสนมโดยที่ยังพูดจาดีๆด้วย คนเหล่านี้ก็คงรู้สึกดีเป็นพิเศษเหมือนกัน เพราะคำหยาบนั้น แม้จะแสดงความสนิท ให้ความรู้สึกสนุก และตลกขบขันได้ แต่มันก็ไม่สามารถให้รู้สึกเยียวยาได้เท่าคำพูดดีๆ แต่อย่างใด
หากมองกันตามความเป็นจริง สาวๆ BNK48 เอง ก็เป็นสาววัยรุ่นไทยเหมือนกัน ก็คงจะพูดจาไม่ต่างกับคนในสังคมกระแสหลักเท่าไรนัก (ผมเคยเห็นบทสนทนาในไลน์ของสมาชิกกลุ่มหนึงที่หลุดรอดออกมาในเว็บข่าวแห่งหนึ่ง คนในกลุ่มไลน์นี้ ก็ขึ้น ก. ขึ้น ม. เรียกโปรดิวเซอร์เป็นสัตว์เลื้อยคลาน และกล่าวถึงกัปตันคนเก่งด้วยคำว่า E ด้วย--------> ****อย่างไรก็ตาม ปรากฎว่าเรื่องในไลน์เป็นข่าวปลอมครับ cr: คคห. 3 และ 14 ******) อย่างไรก็ตาม การที่ทีมงานสามารถควบคุม พฤติกรรมในที่สาธารณะและใน SNS ของสาวๆเมมเบอร์ได้ในระดับหนึ่ง คำพูดแรงๆ หยาบๆ จึงถูกกดให้กลับไปอยู่ใต้ดิน อย่างที่มันควรจะเป็น และทำให้สาวๆเมมเบอร์ BNK48 ดูสุภาพขึ้นมาทันที สิ่งเหล่านี้จึงเป็นการตอบโจทย์ในใจของใครหลายๆ
นอกจากเรื่องการใช้ภาษาแล้ว สาวๆ BNK ดังๆจำนวนหนึ่งก็มีภาพลักษณ์ที่ดูดี น่านับถือ ยกตัวอย่างเช่น แคปเฌอ นั้นก็เป็นตัวอย่างที่ดีว่า ไอดอลกับการเรียนนั้นไปด้วยกันได้ ด้วยดีกรีที่เป็นสาวคณะสายวิทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล เป็น research assistant และร่วมเขียนเปเปอร์วิชาการ (ซึ่งมองในแง่นี้แล้ว แม้แต่ คามิ 8 รุ่นดั้งเดิม หรือตำนานรุ่นใหม่อย่าง ซัซซี่ ซายะเน่ จูรินะ ก็ไม่สามารถเอาชนะได้ ) หรือมี เมมเบอร์อีกคนหนึ่งที่ให้ความเห็นเกี่ยวกับการจับมือกับผู้ป่วย HIV ได้อย่างน่าชื่นชม
3. ประกายความหวังเล็กๆในสังคมคนเหงา
ในปัจจุบัน การได้ลงเอยกับสาวที่ตัวเองถูกใจนั้น เป็นอะไรที่ลำบากกว่าแต่ก่อนมาก เพราะสาวๆเองก็สามารถเลือกได้เหมือนกัน และก็มีแนวโน้มที่จะเลือกมากกว่าเดิม และการที่จะได้ครองใจสาวที่ตนเองชอบในยุคนี้นั้นก็ต้องลงทุนสูงขึ้นเรื่อยๆ สโลแกน “หมดยุคกัดก้อนเกลือกิน” ได้รับการยึดถือเป็นการทั่วไป และสังคมกระแสหลักก็ให้ความสำคัญเป็นอย่างมากกับการใช้ชีวิตแบบเหนือระดับ และโพสต์ภาพลง SNS
คนที่เข้าสู่วัยทำงานโดยที่ยังโสด หากยังไม่เจอคนโสดที่ตัวเองชอบในที่ทำงาน โอกาสจะเจอสาวจากที่อื่นนั้นก็ยากมาก เพราะในประเทศไทย ไม่ค่อยมีกิจกรรมที่ให้คนที่ไม่รู้จักกันมาก่อนมาสนิทกันสักเท่าไรนัก หากไม่ไปเที่ยวกลางคืน (ซึ่งให้ความรู้สึกเทาๆ) ก็ต้องลงทุนจ่ายเงินเรียนปริญญาโท หรือคอร์สอะไรบางอย่าง
อย่างไรก็ดี concept ของไอดอลที่สามารถพบได้ ซึ่งมากับ BNK48 นั้น จะช่วยให้ความรู้สึกของการไปจีบสาวน่ารักๆที่เราสนใจคนหนึ่ง ที่ถึงแม้เราจะรู้ว่าโอกาสสำเร็จนั้นมันแทบไม่มีเลย แต่เราก็จะได้ชื่นใจไปกับการรับรู้เรื่องราวของเธอมากขึ้นเรื่อยๆ ตามกาลเวลาผ่านไป พร้อมทั้งหลักประกันที่ว่า ถ้าเราได้ไปเจอกับเธอ (ตามเงื่อนไข) เราก็ได้คุยกับเธอแน่ๆ และตลอดระยะเวลาที่เธอยังอยู่ในวงนั้น เธอก็จะยังโสดอยู่ (ตามหลักการ) สิ่งเหล่านี้สามารถเยียวยาหัวใจของคนโสดได้เป็นอย่างดี ซึ่งแหล่งท่องเที่ยวสายมืด (ออน. เลาจน์ ฯลฯ)ในไทยนั้น ไม่สามารถมอบให้ได้แต่อย่างใด
และเหตุผลลึกๆเหล่านี้ล่ะครับ ที่ทำให้ BNK48 สามารถเกาได้ถูกที่คันของสังคมไทย และได้รับการต้อนรับสู่อ้อมใจของคนจำนวนมากได้ในเวลาอันรวดเร็วครับ
อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้ BNK48 ประสบความสำเร็จในไทยแบบพลิกความคาดหมาย (ของใครๆหลายๆคน)
เหล่าแฟนๆ ของAKB48 ก็ได้ถกเถียงอภิปรายกันอย่างกว้างขวางว่า อนาคตของ BNK48 ในประเทศไทยนั้น จะมีทิศทางเป็นอย่างไร
ซึ่งผู้ที่ตอบก็มีทั้งฝ่ายที่สนับสนุน และฝ่ายค้าน
ตัวผมเอง ก็มีความยินดีในระดับหนึ่งว่า วงไอดอลที่ตัวเองเคยชื่นชอบนั้น จะมีสาขาในไทย และมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับประเทศไทยมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ผมเอง"ในตอนนั้น"ก็มองว่า โจทย์ของ BNK48 นั้น "ยากทีเดียวเหมือนกัน" ทั้งในส่วนของการสร้างแฟนกลุ่มใหม่ในประเทศไทย และการได้รับความเอ็นดูจากคนที่เป็นโอตะของ AKB48 มาตั้งแต่ดั้งเดิม โดยมีเหตุผลสนับสนุนอยู่หลายประการ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบันก็พิสูจน์ให้เห็นว่า สิ่งที่ผมคาดการณ์ไว้นั้นผิดหมด เพราะ BNK48 นั้นได้กลายเป็นวงดังระดับแนวหน้าของประเทศในเวลาอันสั้น และได้รับความเอ็นดูจากกลุ่มคนมากมายทั้งชายหญิง ครอบคลุมทั้งคนดังสายวิชาการ สายสื่อ หรือแม้แต่ celeb สายโหดบนอินเตอร์เน็ต เพลง คุกกี้เสี่ยงทาย หรือ Koi Suru Fortune Cookie นั้น ก็ได้รับความนิยมกันไปทั่วทุกที่ แถมเหล่าแฟนๆในไทยนั้นก็ยินยอมพร้อมใจที่จะจ่ายเงินให้กับสินค้าต่างๆของเหล่าสาวๆ ทั้งๆที่ตัวเองก็ไม่ได้เป็นโอตะสายญี่ปุ่นมาแต่ดั้งเดิม
ผมจึงสงสัยว่า อะไรกันแน่คือเหตุผลที่ทำให้ BNK48 สามารถก้าวข้ามปัจจัยลบต่างๆ และประสบความสำเร็จในไทยได้ ซึ่งเหตุผลเหล่านี้น่าจะมีอะไรที่มากไปกว่ากลยุทธ์การตลาดสไตล์ AKB48 ของอากิพี และเพลงเพราะๆที่มาจากญี่ปุ่น (โดยเฉพาะ Koi Suru Fortune Cookie ที่เป็นเพลงดังระดับเพลงชาติ AKB48) และจากการที่ได้ลองวิเคราะห์ๆ ดู นั้น ผมเห็นว่าสิ่งที่ BNK48 สามารถตอบโจทย์คนไทยได้แบบเข้าเป้า มีดังต่อไปนี้ครับ (เนื่องจากผมเองไม่ได้ตาม BNK48 ละเอียดนัก จึงอาจจะมีจุดผิดพลาดบ้าง เชิญเสนอแนะได้ตามสะดวกครับ)
1.น้องสาวคนเล็กแห่งชาติ ผู้เข้ามาเยียวยาสังคมอันวุ่นวาย
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เหตุการณ์ความเปลี่ยนแปลงในบ้านเมือง ปัญหาทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมต่างๆนั้น ทำให้คนไทยจำนวนมาก อยู่ในสภาพที่ หงุดหงิด อ่อนล้า และหลงทาง
แต่การมาของสาวๆ BNK48 และวัฒนธรรมไอดอลนั้น ทำให้สังคมไทยรู้สึกว่า อยู่ๆก็มีน้องสาวคนเล็กที่น่ารัก เข้ามาในชีวิตให้ตัวเองได้เอ็นดูและดูแล เลยก่อให้เกิดพลัง กลายเป็นความหวังและความสดชื่นโดยไม่อิงสีเสื้อ หรือฝ่ายการเมืองใด
2.ภาพลักษณ์สดใส น่ารัก และสุภาพ (ในระดับหนึ่ง) ซึ่งหาได้ยากในสังคมไทยปัจจุบัน
ต้องยอมรับครับว่า ในช่วงกว่าสิบกว่าปีที่ผ่านมา นักแสดงตลก คนบันเทิงเพศที่สาม ผู้กำกับหนังและละครยอดนิยม และ คนดังบนอินเตอร์เน็ตสายโหด มี้อิทธิพลทางวัฒนธรรมครอบงำคนไทยเป็นอย่างมาก ส่งผลให้ สังคมเรานิยมการพูดแรงๆ และ ทำตัวแรงๆ และใช้คำหยาบกันเป็นปกติ สาวๆวัยรุ่นในสมัยปัจจุบัน ก็เลือกที่จะพูดจาแบบจิกๆ พ่วงคำหยาบ และศัพท์ไทยแปลกๆที่ประดิษฐ์โดยตลกหรือคนบันเทิงเพศที่สาม หรือ net celeb สายโหด หากไปตาม SNS ผู้หญิงจำนวนมากกล้าที่จะขึ้น ค. ขึ้น ห. เขียนตอบโพสต์ได้แบบไม่รู้สึกอะไร
ผมเองโตมา ในยุคที่แค่คำว่า “แก” ก็จัดอยู่ในข่ายไม่ค่อยสุภาพแล้ว จึงรู้สึกปวดใจกับการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมในประการนี้ (สมัยเด็กๆ ญาติผู้ใหญ่ที่ผมรู้จักจะใช้คำว่าแกกับเด็ก เมื่อโมโหเท่านั้น แต่พอมายุคนี้ ผู้ใหญ่กลุ่มเดียวกันก็เปลี่ยนไปขึ้น ก. ขึ้น ม. และสบถเป็นชุด) และก็นึกอยู่เรื่อยๆว่า “สาวสมัยนี้ ที่พูดจาดีๆยังเหลืออยู่หรือเปล่านะ” เชื่อว่าหลายๆท่านเองก็คงรู้สึกอย่างเดียวกัน แม้แต่ในฝ่ายคนที่ชอบพูดคำหยาบเอง หากมีใครมาสนิทสนมโดยที่ยังพูดจาดีๆด้วย คนเหล่านี้ก็คงรู้สึกดีเป็นพิเศษเหมือนกัน เพราะคำหยาบนั้น แม้จะแสดงความสนิท ให้ความรู้สึกสนุก และตลกขบขันได้ แต่มันก็ไม่สามารถให้รู้สึกเยียวยาได้เท่าคำพูดดีๆ แต่อย่างใด
หากมองกันตามความเป็นจริง สาวๆ BNK48 เอง ก็เป็นสาววัยรุ่นไทยเหมือนกัน ก็คงจะพูดจาไม่ต่างกับคนในสังคมกระแสหลักเท่าไรนัก (ผมเคยเห็นบทสนทนาในไลน์ของสมาชิกกลุ่มหนึงที่หลุดรอดออกมาในเว็บข่าวแห่งหนึ่ง คนในกลุ่มไลน์นี้ ก็ขึ้น ก. ขึ้น ม. เรียกโปรดิวเซอร์เป็นสัตว์เลื้อยคลาน และกล่าวถึงกัปตันคนเก่งด้วยคำว่า E ด้วย--------> ****อย่างไรก็ตาม ปรากฎว่าเรื่องในไลน์เป็นข่าวปลอมครับ cr: คคห. 3 และ 14 ******) อย่างไรก็ตาม การที่ทีมงานสามารถควบคุม พฤติกรรมในที่สาธารณะและใน SNS ของสาวๆเมมเบอร์ได้ในระดับหนึ่ง คำพูดแรงๆ หยาบๆ จึงถูกกดให้กลับไปอยู่ใต้ดิน อย่างที่มันควรจะเป็น และทำให้สาวๆเมมเบอร์ BNK48 ดูสุภาพขึ้นมาทันที สิ่งเหล่านี้จึงเป็นการตอบโจทย์ในใจของใครหลายๆ
นอกจากเรื่องการใช้ภาษาแล้ว สาวๆ BNK ดังๆจำนวนหนึ่งก็มีภาพลักษณ์ที่ดูดี น่านับถือ ยกตัวอย่างเช่น แคปเฌอ นั้นก็เป็นตัวอย่างที่ดีว่า ไอดอลกับการเรียนนั้นไปด้วยกันได้ ด้วยดีกรีที่เป็นสาวคณะสายวิทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล เป็น research assistant และร่วมเขียนเปเปอร์วิชาการ (ซึ่งมองในแง่นี้แล้ว แม้แต่ คามิ 8 รุ่นดั้งเดิม หรือตำนานรุ่นใหม่อย่าง ซัซซี่ ซายะเน่ จูรินะ ก็ไม่สามารถเอาชนะได้ ) หรือมี เมมเบอร์อีกคนหนึ่งที่ให้ความเห็นเกี่ยวกับการจับมือกับผู้ป่วย HIV ได้อย่างน่าชื่นชม
3. ประกายความหวังเล็กๆในสังคมคนเหงา
ในปัจจุบัน การได้ลงเอยกับสาวที่ตัวเองถูกใจนั้น เป็นอะไรที่ลำบากกว่าแต่ก่อนมาก เพราะสาวๆเองก็สามารถเลือกได้เหมือนกัน และก็มีแนวโน้มที่จะเลือกมากกว่าเดิม และการที่จะได้ครองใจสาวที่ตนเองชอบในยุคนี้นั้นก็ต้องลงทุนสูงขึ้นเรื่อยๆ สโลแกน “หมดยุคกัดก้อนเกลือกิน” ได้รับการยึดถือเป็นการทั่วไป และสังคมกระแสหลักก็ให้ความสำคัญเป็นอย่างมากกับการใช้ชีวิตแบบเหนือระดับ และโพสต์ภาพลง SNS
คนที่เข้าสู่วัยทำงานโดยที่ยังโสด หากยังไม่เจอคนโสดที่ตัวเองชอบในที่ทำงาน โอกาสจะเจอสาวจากที่อื่นนั้นก็ยากมาก เพราะในประเทศไทย ไม่ค่อยมีกิจกรรมที่ให้คนที่ไม่รู้จักกันมาก่อนมาสนิทกันสักเท่าไรนัก หากไม่ไปเที่ยวกลางคืน (ซึ่งให้ความรู้สึกเทาๆ) ก็ต้องลงทุนจ่ายเงินเรียนปริญญาโท หรือคอร์สอะไรบางอย่าง
อย่างไรก็ดี concept ของไอดอลที่สามารถพบได้ ซึ่งมากับ BNK48 นั้น จะช่วยให้ความรู้สึกของการไปจีบสาวน่ารักๆที่เราสนใจคนหนึ่ง ที่ถึงแม้เราจะรู้ว่าโอกาสสำเร็จนั้นมันแทบไม่มีเลย แต่เราก็จะได้ชื่นใจไปกับการรับรู้เรื่องราวของเธอมากขึ้นเรื่อยๆ ตามกาลเวลาผ่านไป พร้อมทั้งหลักประกันที่ว่า ถ้าเราได้ไปเจอกับเธอ (ตามเงื่อนไข) เราก็ได้คุยกับเธอแน่ๆ และตลอดระยะเวลาที่เธอยังอยู่ในวงนั้น เธอก็จะยังโสดอยู่ (ตามหลักการ) สิ่งเหล่านี้สามารถเยียวยาหัวใจของคนโสดได้เป็นอย่างดี ซึ่งแหล่งท่องเที่ยวสายมืด (ออน. เลาจน์ ฯลฯ)ในไทยนั้น ไม่สามารถมอบให้ได้แต่อย่างใด
และเหตุผลลึกๆเหล่านี้ล่ะครับ ที่ทำให้ BNK48 สามารถเกาได้ถูกที่คันของสังคมไทย และได้รับการต้อนรับสู่อ้อมใจของคนจำนวนมากได้ในเวลาอันรวดเร็วครับ