แต่ไหนแต่ไรมา เกาหลีใต้มักถูกอิทธิพลของประเทศมหาอำนาจครอบงำด้านวัฒนธรรมมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นจีนในยุคโบราณ ญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง หรือแม้แต่สหรัฐอเมริกาในยุคสงครามเย็น
แต่ในวันนี้ ประเทศเล็ก ๆ ที่มีประชากร 50 ล้านคนแห่งนี้ กลับส่งออกวัฒนธรรมจนกลายเป็นกระแสที่สั่นสะเทือนไปทั่วโลก คนทั้งโลกรู้จักมิวสิกวิดีโอ K-Pop ซีรีส์เกาหลีที่โด่งดังไปไกลถึงอเมริกาใต้ และParasite ก็สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการเป็นภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศเรื่องแรกที่ได้รับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากเวทีออสการ์ ทั้งดนตรี ละคร และภาพยนตร์
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็น Korean Wave หรือ “ฮันรยู” ในภาษาเกาหลี ที่นำเม็ดเงินมหาศาลกว่า 400,000 ล้านบาท ไหลเข้าสู่เกาหลีใต้อย่างไม่หยุดยั้ง
จากประเทศที่ถูกครอบงำโดยมหาอำนาจ กลับเนรมิตวัฒนธรรมของตัวเองใหม่และก้าวขึ้นมายืนอยู่แถวหน้าของอุตสาหกรรมบันเทิงโลก
เส้นทางสู่ดวงดาวของเกาหลีใต้เป็นอย่างไร ?
ทั้งหมดมีจุดเริ่มต้นมาจากสิ่งที่เรียกว่า “วิกฤติต้มยำกุ้ง”ในช่วงทศวรรษ 1990s ซึ่งเป็นเวลาที่เศรษฐกิจเกาหลีใต้เติบโตอย่างโดดเด่น จากการพัฒนาอุตสาหกรรมหนัก ทั้งเหล็กกล้า ยานยนต์ และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ แต่แล้วความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจของเกาหลีใต้ ก็ต้องมาสะดุดจากวิกฤติการเงินเอเชียในปี ค.ศ. 1997
ชาวเกาหลีเรียกวิกฤติครั้งนี้ว่า “วิกฤติ IMF” เพราะต้องกู้เงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศมาบรรเทาปัญหา ซึ่งมาตรการทางการเงินการคลังที่เข้มงวดก็ส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องของภาคธุรกิจ โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมหนักที่เคยเป็นแกนหลักของประเทศรัฐบาลเกาหลีใต้จึงเริ่มเล็งเห็นความสำคัญของภาคเศรษฐกิจอื่น ๆ ทั้งการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ และอีกอุตสาหกรรมหนึ่งก็คือ อุตสาหกรรมบันเทิง
แล้วในปี ค.ศ. 1998 รัฐบาลก็ได้ตั้งกฎหมายส่งเสริมอุตสาหกรรมทางวัฒนธรรม ทำให้เกิดองค์การมหาชน และศูนย์วิจัยทางวัฒนธรรม ที่มีความเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมแขนงต่าง ๆ ทั้งดนตรี ละคร และภาพยนตร์ เพื่อผลักดันให้สิ่งที่จับต้องไม่ได้เหล่านี้ กลายเป็นสินค้าส่งออกที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ
แต่ด้วยความที่วัฒนธรรมความบันเทิงของเกาหลีใต้ ไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนกับมหาอำนาจอื่น ๆ ดังนั้น การจะเฝ้ารอใครสักคนที่มีพรสวรรค์มาตั้งแต่เกิดเป็นเรื่องที่ช้าเกินไป ในเมื่อรอไม่ได้ ทุกอย่างก็ต้องผ่านการวางแผนเป็นอย่างดี ว่าจะทำอะไร กลุ่มลูกค้าเป็นใคร และเนื้อหาเป็นอย่างไร โดยการพัฒนาอุตสาหกรรมบันเทิงของเกาหลีใต้จะมีจุดเด่นอยู่ 4 ประการหลัก ๆ ประกอบไปด้วย
ประการที่ 1 การมีภาครัฐเป็นผู้ผลักดันที่สำคัญ
รัฐบาลเกาหลีใต้ โดยกระทรวงวัฒนธรรม การกีฬา และการท่องเที่ยว ได้ตั้งเป้าหมายส่งเสริมทางวัฒนธรรมอย่างจริงจัง ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 เป็นต้นไป
โดยมีหน่วยงานหลัก คือ สำนักงานคอนเทนต์ด้านวัฒนธรรม หรือ Korean Culture & Content Agency ปัจจุบันถูกควบรวมเป็น KOCCA ทำหน้าที่วางแผนนโยบายอุตสาหกรรมทางวัฒนธรรม ทั้งดนตรี ละคร และภาพยนตร์ ซึ่งทั้งหมดก็ดำเนินไปอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เริ่มจาก
1. สร้างสภาพแวดล้อมที่ดี เกื้อหนุนให้ผู้สร้างสรรค์ผลงานได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสมและเป็นธรรม โดยเริ่มจากการออกกฎหมายปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา และลงโทษกับผู้ละเมิดลิขสิทธิ์อย่างเคร่งครัด ในขณะที่อุตสาหกรรมภาพยนตร์ มีการออกกฎหมายสนับสนุนภาพยนตร์ในประเทศ มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1995 โดยกำหนดจำนวนวันฉายของภาพยนตร์เกาหลี สำหรับโรงภาพยนตร์ต่าง ๆ ซึ่งโรงภาพยนตร์อาจถูกเพิกถอนใบอนุญาตได้
หากไม่ปฏิบัติตามรวมถึงการจัดเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติปูซาน ซึ่งเริ่มจัดขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1996 เพื่อดึงดูดบุคลากรในวงการภาพยนตร์จากทั่วโลก ให้มาแลกเปลี่ยนความคิดสร้างสรรค์ จนเกิดเป็นการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมภาพยนตร์เกาหลีให้มีพัฒนาการที่ดียิ่งขึ้น เทศกาลภาพยนตร์ที่ปูซานเติบโตจนกลายเป็นเทศกาลภาพยนตร์ที่ใหญ่ที่สุดในทวีปเอเชีย
2. จัดตั้งกองทุนด้านวัฒนธรรม Korea Venture Investment Corporation (KVIC) ในปี ค.ศ. 2005 เพื่อระดมเงินทุนช่วยเหลือบริษัทเอกชน สร้างสรรค์ผลงานบันเทิงต่าง ๆ โดยรัฐบาลลงทุนในสัดส่วน 20% ส่วนอีก 80% เป็นค่ายเพลงและบริษัทเอกชนต่าง ๆ
3. สนับสนุนให้กลุ่มนายทุนผู้ทรงอิทธิพลทางเศรษฐกิจของเกาหลีใต้ อย่างกลุ่มแชโบล ก่อตั้งบริษัทที่เน้นด้านธุรกิจบันเทิง โดยบริษัทที่โดดเด่นก็คือ CJ Group ซึ่งได้ก่อตั้งบริษัทในเครือ CJ ENM ในปี ค.ศ. 1995 ซึ่งต่อมาก็กลายเป็นผู้ผลิตสื่อรายใหญ่ของเกาหลีใต้ และ CJENM ยังเป็นเจ้าของช่องเคเบิลทีวีที่โด่งดัง ได้แก่
Mnet ช่องเผยแพร่มิวสิกวิดีโอที่โด่งดังที่สุดในเกาหลีใต้
tvN เจ้าของลิขสิทธิ์ละคร และรายการเพลงยอดนิยม
OCN ช่องซีรีส์ยอดนิยมของเกาหลีใต้ ที่เป็นผู้ส่งออกซีรีส์ให้กับผู้ให้บริการรายใหญ่ในต่างประเทศ โดยเฉพาะ Netflix
4. เมื่อมีบริษัทพร้อม เงินทุนพร้อม ต่อมาคือการสร้างบุคลากรที่มีความสามารถ..
รัฐบาลได้จัดทำโครงการ Broadcast Video Promotion Plan เพื่อสนับสนุนให้มีการเปิดหลักสูตรการสอนนักแสดง และบุคลากรในวงการบันเทิงในรั้วมหาวิทยาลัย มีการจัดตั้งโรงเรียนสอนการแสดง ซึ่งร่วมมือกับค่ายเพลง และบริษัทด้านความบันเทิงต่าง ๆ เพื่อวางแผนปั้น “ไอดอล” ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก
เกาหลีใต้ได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่ผู้คนทำงานหนักมากที่สุดอันดับต้น ๆ ของกลุ่ม OECD และวัยรุ่นเกาหลีก็ถือว่าเรียนหนักมากที่สุดเช่นเดียวกัน...
วัฒนธรรมการทำงานหนักสะท้อนมาถึอุตสาหกรรมบันเทิง ที่ศิลปินจะมีชั่วโมง การฝึกซ้อมอย่างหนัก และส่วนใหญ่จะมีสัญญาที่ยาวนานนับสิบปี ตั้งแต่เป็นเด็กจนเติบโตเข้าสู่วงการไอดอล
ถึงแม้สัญญาที่ยาวนานจะยังคงถูกตั้งข้อครหา แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า การฝึกซ้อมที่หนักหนาและยาวนาน ทำให้ศิลปินเหล่านี้มีความพร้อม และประสบความสำเร็จเมื่อเข้าสู่วงการอย่างเต็มตัว
ประการที่ 2 การสร้างภาพลักษณ์ที่โดดเด่น และไม่เหมือนใคร
เมื่อมีเงินทุนและบุคลากรพร้อม ต่อมาคือการออกแบบภาพลักษณ์ ให้มีความเป็นเอกลักษณ์โดดเด่น และน่าดึงดูดใจให้กับอุตสาหกรรมบันเทิงในแขนงต่าง ๆ
วงการ K-Pop นอกจากจะมีการฝึกซ้อมของศิลปินที่ยาวนานแล้ว มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบเพลง โดยเน้นไปที่มิวสิกวิดีโอที่มีฉากโดดเด่น สวยสะดุดตาและเน้นไปที่คุณภาพของการเต้น หากเป็นศิลปินกลุ่ม จะมีท่าเต้นที่พร้อมเพรียงเป็นหนึ่งเดียวกัน โดยวงดนตรี K-Pop แต่ละวงนั้น จะถูกวางแผนไว้ล่วงหน้าอย่างละเอียดว่าจะมีศิลปินกี่คน ภาพลักษณ์ศิลปินจะเป็นรูปแบบไหน สไตล์เพลงเป็นอย่างไร
กลุ่มเป้าหมายการตลาดคือใคร ไปจนถึงความเข้ากันได้ของสมาชิกแต่ละคนในกลุ่มโดยศิลปินแต่ละคน ก็จะถูกบริหารจัดการภาพลักษณ์เป็นอย่างดี ไม่ให้มีข่าวการยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ไม่มีเรื่องอื้อฉาวทางเพศ หรือเหตุอาชญากรรมให้ต้องมัวหมอง
วงการซีรีส์ จากเดิมทีมีฉากของความรุนแรงระหว่างเพศ ต่อมาก็ได้มีการพัฒนาปรับบทละคร เพื่อลดพฤติกรรม “ชายเป็นใหญ่” ในสังคมเกาหลีใต้ โดยการวางบทให้ตัวละครเพศขาย มีนิสัยอบอุ่น มีความอ่อนโยน เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับสังคมเกาหลี
ในขณะเดียวกันก็มีการสอดแทรกประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมเกาหลีเข้าไปในซีรีส์และภาพยนตร์หลายเรื่องที่โด่งดังมาก ๆ เช่น “แดจังกึม” ซึ่งก็จะเชื่อมโยงไปถึงการท่องเที่ยวตามรอยละคร ที่มีการจัดสถานที่ถ่ายทำ ไปจนถึงสถานที่ทางประวัติศาสตร์ เป็นการกระตุ้นอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของเกาหลีใต้ให้คึกคัก
ประการที่ 3 การวางแผนการตลาดในระดับโลก
เกาหลีใต้เป็นประเทศขนาดกลาง ที่มีประชากรเพียง 50 ล้านคน หากต้องการที่จะขึ้นเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมบันเทิงระดับโลก สื่อบันเทิงของเกาหลีใต้จะต้องตีตลาดโลกให้ได้
เรื่องนี้นำมาสู่การจัดตั้ง “ศูนย์วัฒนธรรมเกาหลี” ในต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันมีถึง 33 ประเทศ ใน 6 ทวีปทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย เพื่อเผยแพร่วัฒนธรรมเกาหลี และจัดงานเพื่อโปรโมต
แต่การจัดตั้งศูนย์วัฒนธรรมอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ สื่อบันเทิงของเกาหลีใต้จะต้องทําความเข้าใจกับตลาดต่างประเทศอย่างลึกซึ้ง
ในฝั่งดนตรี ศิลปิน K-Pop บางวง จะมีการเพิ่มสมาชิกที่เป็นชาวต่างชาติ เพื่อดึงดูดฐานแฟนคลับในประเทศนั้น ๆ เช่น วง Got7 ที่มีสมาชิก 3 คนจาก 7 คนเป็นชาวต่างชาติ คือ แจ็กสันทีเป็นชาวฮ่องกง แบมแบมทีเป็นชาวไทย และมาร์กที่มีสัญชาติไต้หวัน-อเมริกัน ประกอบกับสมาชิกคนอื่น ๆ ก็สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดี จึงช่วยให้แฟนคลับในต่างประเทศ เข้าถึงตัวศิลปินได้ง่ายขึ้นหรือวง BLACKPINK ที่มีสมาชิกเป็นสาวไทยคือ ลิซ่า เพื่อดึงดูดฐานแฟนคลับในไทยและกลุ่มประเทศอาเซียน
ฝั่งละคร มีบทพากย์เป็นภาษาต่าง ๆ ก่อนจะถูกนำไปเผยแพร่ในต่างประเทศ โดยมีศูนย์วัฒนธรรมในประเทศนั้น ๆ คอยให้การสนับสนุน บางประเทศยังมีภาษาพื้นเมืองเพิ่มเติม เช่น ประเทศอาร์เจนตินาและปารากวัย ที่นอกจากจะมีบทพากย์ภาษาสเปนแล้ว ยังมีภาษากัวรานี ซึ่งเป็นภาษาท้องถิ่นของคนพื้นเมืองอีกด้วย รวมถึงการศึกษาสังคมและวัฒนธรรมของประเทศนั้น ๆ อย่างลึกซึ้ง เช่น การหลีกเลี่ยงออกอากาศในช่วงเวลาละหมาดของกลุ่มประเทศอาหรับ และลดฉากความรุนแรงระหว่างเพศในประเทศที่มีธรรมเนียมปฏิบัติทางเพศที่เข้มงวด
นอกจากนี้ การวางบทละครให้ตัวละครเพศชาย มีนิสัยอบอุ่น มีความอ่อนโยนก็สามารถตีตลาดหลายประเทศในเอเชีย โดยเฉพาะ ญี่ปุ่น ที่มีลักษณะสังคมชายเป็นใหญ่ คล้ายคลึงกับสังคมเกาหลีใต้
ประการที่ 4 การนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้กับอุตสาหกรรมบันเทิง
การสร้างคอนเทนต์ด้านความบันเทิงเพียงอย่างเดียวอาจไม่ใช่คำตอบที่สมบูรณ์ สิ่งที่รัฐบาลเกาหลีใต้ให้ความสำคัญควบคู่กันอย่างมากก็คือ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อเกื้อหนุนอุตสาหกรรมบันเทิงไปพร้อม ๆ กัน โดยหนึ่งในผู้มีบทบาทสำคัญ ก็คือ สถาบันวิจัยด้านอิเล็กทรอนิกส์และสื่อสารทางไกล, ETRI ซึ่งจัดตั้งมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1976
นอกจากสถาบันนี้จะมีส่วนสำคัญให้ชาวเกาหลีใต้สามารถเชื่อมต่อกันได้ด้วยอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ตั้งแต่ทศวรรษ 2000s ยังมีส่วนสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีในการประกอบความบันเทิง เช่น การใช้สเปเชียลเอฟเฟกต์ และโฮโลแกรมประกอบการแสดงบนเวทีคอนเสิร์ตของศิลปิน K-Pop หรือการออกแบบมิวสิกวิดีโอให้มีความสวยงามล้ำสมัย เช่นเดียวกับวงการละครและภาพยนตร์ ที่มีการใช้คอมพิวเตอร์กราฟิกในการออกแบบฉาก จนสามารถสร้างฉากไซไฟที่สวยงามน่าประทับใจ
ส่วนในภาคเอกชน บริษัทใหญ่อย่าง CJ Group ก็เป็นผู้พัฒนา 4DX System จนเกิดเป็นโรงภาพยนตร์ 4 มิติแห่งแรกของโลก ในปี ค.ศ. 2009 ที่เพิ่มกลิ่นและการสั่นสะเทือน ทำให้การรับชมภาพยนตร์มีประสบการณ์ที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น
จากจุดเริ่มต้นในช่วงปลายยุค 1990s ผ่านระยะเวลาเพียงไม่กี่สิบปี กระแสวัฒนธรรมของเกาหลีก็ไปไกลเกินกว่าที่ใครจะจินตนาการถึงทั้งหมดล้วนไม่ได้เกิดขึ้นจากความบังเอิญ แต่เป็นยุทธศาสตร์ที่รัฐบาลเกาหลีใต้ระดมสมอง วางแผน และปลุกปั้นให้เกิดขึ้นอย่างจริงจัง ในขณะที่ภาคเอกชนก็ร่วมแรงร่วมใจกันอย่างแข็งขัน สร้างคอนเทนต์ สร้างภาพลักษณ์ วางแผนการตลาดและนำเทคโนโลยีทุกแขนงมาพัฒนาอุตสาหกรรมบันเทิงให้แข็งแกร่ง
ถึงแม้ภาษาเกาหลีจะไม่ใช่ภาษาสากล แต่คนทั้งโลกหลายสิบล้านคนก็ร้องเพลงภาษาเกาหลีได้ และอาหารเกาหลี เครื่องสำอางเกาหลี แฟชั่นเกาหลีก็แพร่หลายไปทั่วทุกมุมโลก โดยมีอุตสาหกรรมบันเทิงเป็นผู้จุดประกาย ไม่มีใครรู้ว่ากระแสเกาหลีจะคงอยู่ต่อไปอีกนานแค่ไหน
แต่ในช่วงเวลาหนึ่งของประวัติศาสตร์โลก ที่ประเทศเล็ก ๆ ซึ่งถูกล้อมรอบไปด้วยมหาอำนาจ สามารถสร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วโลก ไม่ใช่ด้วยการล่าอาณานิคม ด้วยอาวุธ หรือเงินตรา แต่เป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้อย่าง ความบันเทิง
ถึงวันนี้ หากเราสังเกตให้ดีกับสิ่งรอบตัวที่เป็นอยู่
เราก็อาจพบได้ว่า “เกาหลีใต้” ได้เข้ามาอยู่ใกล้เรามาก จนน่าตกใจ
ทำไมเกาหลีใต้จึงเป็นประเทศแห่งอุตสาหกรรมบันเทิง ?
แต่ไหนแต่ไรมา เกาหลีใต้มักถูกอิทธิพลของประเทศมหาอำนาจครอบงำด้านวัฒนธรรมมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นจีนในยุคโบราณ ญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง หรือแม้แต่สหรัฐอเมริกาในยุคสงครามเย็น
แต่ในวันนี้ ประเทศเล็ก ๆ ที่มีประชากร 50 ล้านคนแห่งนี้ กลับส่งออกวัฒนธรรมจนกลายเป็นกระแสที่สั่นสะเทือนไปทั่วโลก คนทั้งโลกรู้จักมิวสิกวิดีโอ K-Pop ซีรีส์เกาหลีที่โด่งดังไปไกลถึงอเมริกาใต้ และParasite ก็สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการเป็นภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศเรื่องแรกที่ได้รับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากเวทีออสการ์ ทั้งดนตรี ละคร และภาพยนตร์
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็น Korean Wave หรือ “ฮันรยู” ในภาษาเกาหลี ที่นำเม็ดเงินมหาศาลกว่า 400,000 ล้านบาท ไหลเข้าสู่เกาหลีใต้อย่างไม่หยุดยั้ง
จากประเทศที่ถูกครอบงำโดยมหาอำนาจ กลับเนรมิตวัฒนธรรมของตัวเองใหม่และก้าวขึ้นมายืนอยู่แถวหน้าของอุตสาหกรรมบันเทิงโลก
เส้นทางสู่ดวงดาวของเกาหลีใต้เป็นอย่างไร ?
ทั้งหมดมีจุดเริ่มต้นมาจากสิ่งที่เรียกว่า “วิกฤติต้มยำกุ้ง”ในช่วงทศวรรษ 1990s ซึ่งเป็นเวลาที่เศรษฐกิจเกาหลีใต้เติบโตอย่างโดดเด่น จากการพัฒนาอุตสาหกรรมหนัก ทั้งเหล็กกล้า ยานยนต์ และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ แต่แล้วความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจของเกาหลีใต้ ก็ต้องมาสะดุดจากวิกฤติการเงินเอเชียในปี ค.ศ. 1997
ชาวเกาหลีเรียกวิกฤติครั้งนี้ว่า “วิกฤติ IMF” เพราะต้องกู้เงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศมาบรรเทาปัญหา ซึ่งมาตรการทางการเงินการคลังที่เข้มงวดก็ส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องของภาคธุรกิจ โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมหนักที่เคยเป็นแกนหลักของประเทศรัฐบาลเกาหลีใต้จึงเริ่มเล็งเห็นความสำคัญของภาคเศรษฐกิจอื่น ๆ ทั้งการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ และอีกอุตสาหกรรมหนึ่งก็คือ อุตสาหกรรมบันเทิง
แล้วในปี ค.ศ. 1998 รัฐบาลก็ได้ตั้งกฎหมายส่งเสริมอุตสาหกรรมทางวัฒนธรรม ทำให้เกิดองค์การมหาชน และศูนย์วิจัยทางวัฒนธรรม ที่มีความเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมแขนงต่าง ๆ ทั้งดนตรี ละคร และภาพยนตร์ เพื่อผลักดันให้สิ่งที่จับต้องไม่ได้เหล่านี้ กลายเป็นสินค้าส่งออกที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ
แต่ด้วยความที่วัฒนธรรมความบันเทิงของเกาหลีใต้ ไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนกับมหาอำนาจอื่น ๆ ดังนั้น การจะเฝ้ารอใครสักคนที่มีพรสวรรค์มาตั้งแต่เกิดเป็นเรื่องที่ช้าเกินไป ในเมื่อรอไม่ได้ ทุกอย่างก็ต้องผ่านการวางแผนเป็นอย่างดี ว่าจะทำอะไร กลุ่มลูกค้าเป็นใคร และเนื้อหาเป็นอย่างไร โดยการพัฒนาอุตสาหกรรมบันเทิงของเกาหลีใต้จะมีจุดเด่นอยู่ 4 ประการหลัก ๆ ประกอบไปด้วย
ประการที่ 1 การมีภาครัฐเป็นผู้ผลักดันที่สำคัญ
รัฐบาลเกาหลีใต้ โดยกระทรวงวัฒนธรรม การกีฬา และการท่องเที่ยว ได้ตั้งเป้าหมายส่งเสริมทางวัฒนธรรมอย่างจริงจัง ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 เป็นต้นไป
โดยมีหน่วยงานหลัก คือ สำนักงานคอนเทนต์ด้านวัฒนธรรม หรือ Korean Culture & Content Agency ปัจจุบันถูกควบรวมเป็น KOCCA ทำหน้าที่วางแผนนโยบายอุตสาหกรรมทางวัฒนธรรม ทั้งดนตรี ละคร และภาพยนตร์ ซึ่งทั้งหมดก็ดำเนินไปอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เริ่มจาก
1. สร้างสภาพแวดล้อมที่ดี เกื้อหนุนให้ผู้สร้างสรรค์ผลงานได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสมและเป็นธรรม โดยเริ่มจากการออกกฎหมายปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา และลงโทษกับผู้ละเมิดลิขสิทธิ์อย่างเคร่งครัด ในขณะที่อุตสาหกรรมภาพยนตร์ มีการออกกฎหมายสนับสนุนภาพยนตร์ในประเทศ มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1995 โดยกำหนดจำนวนวันฉายของภาพยนตร์เกาหลี สำหรับโรงภาพยนตร์ต่าง ๆ ซึ่งโรงภาพยนตร์อาจถูกเพิกถอนใบอนุญาตได้
หากไม่ปฏิบัติตามรวมถึงการจัดเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติปูซาน ซึ่งเริ่มจัดขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1996 เพื่อดึงดูดบุคลากรในวงการภาพยนตร์จากทั่วโลก ให้มาแลกเปลี่ยนความคิดสร้างสรรค์ จนเกิดเป็นการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมภาพยนตร์เกาหลีให้มีพัฒนาการที่ดียิ่งขึ้น เทศกาลภาพยนตร์ที่ปูซานเติบโตจนกลายเป็นเทศกาลภาพยนตร์ที่ใหญ่ที่สุดในทวีปเอเชีย
2. จัดตั้งกองทุนด้านวัฒนธรรม Korea Venture Investment Corporation (KVIC) ในปี ค.ศ. 2005 เพื่อระดมเงินทุนช่วยเหลือบริษัทเอกชน สร้างสรรค์ผลงานบันเทิงต่าง ๆ โดยรัฐบาลลงทุนในสัดส่วน 20% ส่วนอีก 80% เป็นค่ายเพลงและบริษัทเอกชนต่าง ๆ
3. สนับสนุนให้กลุ่มนายทุนผู้ทรงอิทธิพลทางเศรษฐกิจของเกาหลีใต้ อย่างกลุ่มแชโบล ก่อตั้งบริษัทที่เน้นด้านธุรกิจบันเทิง โดยบริษัทที่โดดเด่นก็คือ CJ Group ซึ่งได้ก่อตั้งบริษัทในเครือ CJ ENM ในปี ค.ศ. 1995 ซึ่งต่อมาก็กลายเป็นผู้ผลิตสื่อรายใหญ่ของเกาหลีใต้ และ CJENM ยังเป็นเจ้าของช่องเคเบิลทีวีที่โด่งดัง ได้แก่
Mnet ช่องเผยแพร่มิวสิกวิดีโอที่โด่งดังที่สุดในเกาหลีใต้
tvN เจ้าของลิขสิทธิ์ละคร และรายการเพลงยอดนิยม
OCN ช่องซีรีส์ยอดนิยมของเกาหลีใต้ ที่เป็นผู้ส่งออกซีรีส์ให้กับผู้ให้บริการรายใหญ่ในต่างประเทศ โดยเฉพาะ Netflix
4. เมื่อมีบริษัทพร้อม เงินทุนพร้อม ต่อมาคือการสร้างบุคลากรที่มีความสามารถ..
รัฐบาลได้จัดทำโครงการ Broadcast Video Promotion Plan เพื่อสนับสนุนให้มีการเปิดหลักสูตรการสอนนักแสดง และบุคลากรในวงการบันเทิงในรั้วมหาวิทยาลัย มีการจัดตั้งโรงเรียนสอนการแสดง ซึ่งร่วมมือกับค่ายเพลง และบริษัทด้านความบันเทิงต่าง ๆ เพื่อวางแผนปั้น “ไอดอล” ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก
เกาหลีใต้ได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่ผู้คนทำงานหนักมากที่สุดอันดับต้น ๆ ของกลุ่ม OECD และวัยรุ่นเกาหลีก็ถือว่าเรียนหนักมากที่สุดเช่นเดียวกัน...
วัฒนธรรมการทำงานหนักสะท้อนมาถึอุตสาหกรรมบันเทิง ที่ศิลปินจะมีชั่วโมง การฝึกซ้อมอย่างหนัก และส่วนใหญ่จะมีสัญญาที่ยาวนานนับสิบปี ตั้งแต่เป็นเด็กจนเติบโตเข้าสู่วงการไอดอล
ถึงแม้สัญญาที่ยาวนานจะยังคงถูกตั้งข้อครหา แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า การฝึกซ้อมที่หนักหนาและยาวนาน ทำให้ศิลปินเหล่านี้มีความพร้อม และประสบความสำเร็จเมื่อเข้าสู่วงการอย่างเต็มตัว
ประการที่ 2 การสร้างภาพลักษณ์ที่โดดเด่น และไม่เหมือนใคร
เมื่อมีเงินทุนและบุคลากรพร้อม ต่อมาคือการออกแบบภาพลักษณ์ ให้มีความเป็นเอกลักษณ์โดดเด่น และน่าดึงดูดใจให้กับอุตสาหกรรมบันเทิงในแขนงต่าง ๆ
วงการ K-Pop นอกจากจะมีการฝึกซ้อมของศิลปินที่ยาวนานแล้ว มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบเพลง โดยเน้นไปที่มิวสิกวิดีโอที่มีฉากโดดเด่น สวยสะดุดตาและเน้นไปที่คุณภาพของการเต้น หากเป็นศิลปินกลุ่ม จะมีท่าเต้นที่พร้อมเพรียงเป็นหนึ่งเดียวกัน โดยวงดนตรี K-Pop แต่ละวงนั้น จะถูกวางแผนไว้ล่วงหน้าอย่างละเอียดว่าจะมีศิลปินกี่คน ภาพลักษณ์ศิลปินจะเป็นรูปแบบไหน สไตล์เพลงเป็นอย่างไร
กลุ่มเป้าหมายการตลาดคือใคร ไปจนถึงความเข้ากันได้ของสมาชิกแต่ละคนในกลุ่มโดยศิลปินแต่ละคน ก็จะถูกบริหารจัดการภาพลักษณ์เป็นอย่างดี ไม่ให้มีข่าวการยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ไม่มีเรื่องอื้อฉาวทางเพศ หรือเหตุอาชญากรรมให้ต้องมัวหมอง
วงการซีรีส์ จากเดิมทีมีฉากของความรุนแรงระหว่างเพศ ต่อมาก็ได้มีการพัฒนาปรับบทละคร เพื่อลดพฤติกรรม “ชายเป็นใหญ่” ในสังคมเกาหลีใต้ โดยการวางบทให้ตัวละครเพศขาย มีนิสัยอบอุ่น มีความอ่อนโยน เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับสังคมเกาหลี
ในขณะเดียวกันก็มีการสอดแทรกประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมเกาหลีเข้าไปในซีรีส์และภาพยนตร์หลายเรื่องที่โด่งดังมาก ๆ เช่น “แดจังกึม” ซึ่งก็จะเชื่อมโยงไปถึงการท่องเที่ยวตามรอยละคร ที่มีการจัดสถานที่ถ่ายทำ ไปจนถึงสถานที่ทางประวัติศาสตร์ เป็นการกระตุ้นอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของเกาหลีใต้ให้คึกคัก
ประการที่ 3 การวางแผนการตลาดในระดับโลก
เกาหลีใต้เป็นประเทศขนาดกลาง ที่มีประชากรเพียง 50 ล้านคน หากต้องการที่จะขึ้นเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมบันเทิงระดับโลก สื่อบันเทิงของเกาหลีใต้จะต้องตีตลาดโลกให้ได้
เรื่องนี้นำมาสู่การจัดตั้ง “ศูนย์วัฒนธรรมเกาหลี” ในต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันมีถึง 33 ประเทศ ใน 6 ทวีปทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย เพื่อเผยแพร่วัฒนธรรมเกาหลี และจัดงานเพื่อโปรโมต
แต่การจัดตั้งศูนย์วัฒนธรรมอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ สื่อบันเทิงของเกาหลีใต้จะต้องทําความเข้าใจกับตลาดต่างประเทศอย่างลึกซึ้ง
ในฝั่งดนตรี ศิลปิน K-Pop บางวง จะมีการเพิ่มสมาชิกที่เป็นชาวต่างชาติ เพื่อดึงดูดฐานแฟนคลับในประเทศนั้น ๆ เช่น วง Got7 ที่มีสมาชิก 3 คนจาก 7 คนเป็นชาวต่างชาติ คือ แจ็กสันทีเป็นชาวฮ่องกง แบมแบมทีเป็นชาวไทย และมาร์กที่มีสัญชาติไต้หวัน-อเมริกัน ประกอบกับสมาชิกคนอื่น ๆ ก็สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดี จึงช่วยให้แฟนคลับในต่างประเทศ เข้าถึงตัวศิลปินได้ง่ายขึ้นหรือวง BLACKPINK ที่มีสมาชิกเป็นสาวไทยคือ ลิซ่า เพื่อดึงดูดฐานแฟนคลับในไทยและกลุ่มประเทศอาเซียน
ฝั่งละคร มีบทพากย์เป็นภาษาต่าง ๆ ก่อนจะถูกนำไปเผยแพร่ในต่างประเทศ โดยมีศูนย์วัฒนธรรมในประเทศนั้น ๆ คอยให้การสนับสนุน บางประเทศยังมีภาษาพื้นเมืองเพิ่มเติม เช่น ประเทศอาร์เจนตินาและปารากวัย ที่นอกจากจะมีบทพากย์ภาษาสเปนแล้ว ยังมีภาษากัวรานี ซึ่งเป็นภาษาท้องถิ่นของคนพื้นเมืองอีกด้วย รวมถึงการศึกษาสังคมและวัฒนธรรมของประเทศนั้น ๆ อย่างลึกซึ้ง เช่น การหลีกเลี่ยงออกอากาศในช่วงเวลาละหมาดของกลุ่มประเทศอาหรับ และลดฉากความรุนแรงระหว่างเพศในประเทศที่มีธรรมเนียมปฏิบัติทางเพศที่เข้มงวด
นอกจากนี้ การวางบทละครให้ตัวละครเพศชาย มีนิสัยอบอุ่น มีความอ่อนโยนก็สามารถตีตลาดหลายประเทศในเอเชีย โดยเฉพาะ ญี่ปุ่น ที่มีลักษณะสังคมชายเป็นใหญ่ คล้ายคลึงกับสังคมเกาหลีใต้
ประการที่ 4 การนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้กับอุตสาหกรรมบันเทิง
การสร้างคอนเทนต์ด้านความบันเทิงเพียงอย่างเดียวอาจไม่ใช่คำตอบที่สมบูรณ์ สิ่งที่รัฐบาลเกาหลีใต้ให้ความสำคัญควบคู่กันอย่างมากก็คือ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อเกื้อหนุนอุตสาหกรรมบันเทิงไปพร้อม ๆ กัน โดยหนึ่งในผู้มีบทบาทสำคัญ ก็คือ สถาบันวิจัยด้านอิเล็กทรอนิกส์และสื่อสารทางไกล, ETRI ซึ่งจัดตั้งมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1976
นอกจากสถาบันนี้จะมีส่วนสำคัญให้ชาวเกาหลีใต้สามารถเชื่อมต่อกันได้ด้วยอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ตั้งแต่ทศวรรษ 2000s ยังมีส่วนสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีในการประกอบความบันเทิง เช่น การใช้สเปเชียลเอฟเฟกต์ และโฮโลแกรมประกอบการแสดงบนเวทีคอนเสิร์ตของศิลปิน K-Pop หรือการออกแบบมิวสิกวิดีโอให้มีความสวยงามล้ำสมัย เช่นเดียวกับวงการละครและภาพยนตร์ ที่มีการใช้คอมพิวเตอร์กราฟิกในการออกแบบฉาก จนสามารถสร้างฉากไซไฟที่สวยงามน่าประทับใจ
ส่วนในภาคเอกชน บริษัทใหญ่อย่าง CJ Group ก็เป็นผู้พัฒนา 4DX System จนเกิดเป็นโรงภาพยนตร์ 4 มิติแห่งแรกของโลก ในปี ค.ศ. 2009 ที่เพิ่มกลิ่นและการสั่นสะเทือน ทำให้การรับชมภาพยนตร์มีประสบการณ์ที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น
จากจุดเริ่มต้นในช่วงปลายยุค 1990s ผ่านระยะเวลาเพียงไม่กี่สิบปี กระแสวัฒนธรรมของเกาหลีก็ไปไกลเกินกว่าที่ใครจะจินตนาการถึงทั้งหมดล้วนไม่ได้เกิดขึ้นจากความบังเอิญ แต่เป็นยุทธศาสตร์ที่รัฐบาลเกาหลีใต้ระดมสมอง วางแผน และปลุกปั้นให้เกิดขึ้นอย่างจริงจัง ในขณะที่ภาคเอกชนก็ร่วมแรงร่วมใจกันอย่างแข็งขัน สร้างคอนเทนต์ สร้างภาพลักษณ์ วางแผนการตลาดและนำเทคโนโลยีทุกแขนงมาพัฒนาอุตสาหกรรมบันเทิงให้แข็งแกร่ง
ถึงแม้ภาษาเกาหลีจะไม่ใช่ภาษาสากล แต่คนทั้งโลกหลายสิบล้านคนก็ร้องเพลงภาษาเกาหลีได้ และอาหารเกาหลี เครื่องสำอางเกาหลี แฟชั่นเกาหลีก็แพร่หลายไปทั่วทุกมุมโลก โดยมีอุตสาหกรรมบันเทิงเป็นผู้จุดประกาย ไม่มีใครรู้ว่ากระแสเกาหลีจะคงอยู่ต่อไปอีกนานแค่ไหน
แต่ในช่วงเวลาหนึ่งของประวัติศาสตร์โลก ที่ประเทศเล็ก ๆ ซึ่งถูกล้อมรอบไปด้วยมหาอำนาจ สามารถสร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วโลก ไม่ใช่ด้วยการล่าอาณานิคม ด้วยอาวุธ หรือเงินตรา แต่เป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้อย่าง ความบันเทิง
ถึงวันนี้ หากเราสังเกตให้ดีกับสิ่งรอบตัวที่เป็นอยู่
เราก็อาจพบได้ว่า “เกาหลีใต้” ได้เข้ามาอยู่ใกล้เรามาก จนน่าตกใจ