ผมเรียน และทำงานใน field หนึ่งของสายงานออกแบบสร้างสรรค์ ตอนเรียนผมทำงานหลายชิ้นที่ได้รับรางวัล คำชมจากอาจารย์ และความสนใจจากเพื่อน ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมรู้สึกดี และมีความสุขทุกขณะที่สร้างผลงาน ไม่ว่าจะหนัก หรือเหนื่อยแค่ไหน
ตอนช่วงเรียนจบ ทำงานกินเงินเดือน 3-4 ปีแรก ผมก็ได้รับโอกาสให้ทำงานชิ้นสำคัญหลายงานที่มีความภาคภูมิใจต่องานที่ทำมาก งานที่มีงบประมาณสูง และหลายงานมีความสำคัญระดับชาติ ได้พบปะกับบุคคลสำคัญหลายท่านที่เห็นในคุณค่างานที่ผมทำ
แต่หลังจากนั้นกิจการของครอบครัวที่ทำมาหลายสิบปี ซึ่งเลี้ยงให้ตัวผมเติบโตขึ้นมา เกิดวิกฤต (เป็นวิกฤตจากพิษทางเศรษฐกิจที่สืบเนื่องมาจากการเมือง และกระแสโลกที่เปลี่ยนไป) ผมถูกเรียกตัวให้กลับมาช่วยกิจการทางบ้าน ซึ่งไม่ได้ใช้ทักษะในส่วนที่ผมถนัด หรือทำได้ดี (เป็นงานโรงงานที่ใช้เวลา ใช้แรงงาน และการจัดการความวุ่นวายระหว่างคน) ซึ่งผมประเมินว่าตัวเองทำได้ในระดับแค่พยุงกิจการให้พอเอาตัวรอดไปได้ ซึ่งตัวกิจการมีการลงทุนในเครื่องจักร และแรงงานคนมาก ทำให้ต้องพยายามหารายได้หล่อเลี้ยงต้นทุนในส่วนนี้ต่อไป
ในขณะที่ผมวุ่นวายกับการกอบกู้กิจการของทางบ้าน ผมเห็นเพื่อนที่เคยทำงานด้อยกว่าผม ทักษะด้อยกว่าผม ก้าวหน้าไปในอาชีพการงานที่ผมเคยทำได้ดี โดยที่ผลงานไม่ได้ดีไปกว่าที่ผมทำได้ ผมได้เห็นเพื่อนที่ทำงานคุณภาพต่ำกว่าผมมาก แต่ทางบ้านเค้ามีฐานะ มีเส้นสาย สนับสนุนทางโอกาส ได้รับงาน รับรายได้มากมาย ผมเห็นคนที่เคยทำงานด้อยกว่าผมมากๆได้รับการโปรโมตในงานที่ผมเคยอยากจะทำ
ทุกครั้งที่ผมรับรู้สิ่งเหล่านี้ จิตใจผมก็ห่อเหี่ยว ผมได้แต่ จินตนาการว่า ถ้าผมอยู่ที่จุดนั้น ถ้าผมได้รับโอกาสเช่นนั้นบ้าง ผมสามารถทำสิ่งที่ดีกว่านั้นได้ สามารถทำผลงานที่มีคุณภาพมากกว่านั้นได้ จากทักษะที่ผมมี แต่ทำไมผมต้องนั่งอยู่ที่นี่ ทำงานที่ไม่ได้ใช้ทักษะใช้ความสามารถที่แท้จริงของตนเอง
มันเป็นความทุกข์ใจที่คุกรุ่นอยู่ในใจ รู้สึกโทษตัวเอง โทษครอบครัว โทษโชคชะตา รู้สึกอยากทิ้งภาระที่วางอยู่บนบ่า รู้สึกว่าโลกไม่ยุติธรรม และผมไม่อาจสลัดความรู้สึกนึกคิดนี้ออกจากหัวได้ มันกัดกินจิตใจผมอยู่ทุกวัน ทำให้ผมรู้สึกทุกข์ใจมากครับ
* ที่ผมพูดเรื่องความสามารถของตัวเอง ผมไม่ได้ต้องการจะชมตัวเอง ผมคิดว่าทุกคนที่เป็นคนทำงานก็คงมีอะไรบางอย่างที่ตัวเองมั่นใจว่าทำได้ดีกว่าคนอื่นอยู่ ก็น่าจะนึกออกว่ามันมีช่วงที่เราคิดว่า ถ้าเป็นฉัน ฉันจะทำอย่างนี้ ฉันจะไม่ปล่อยให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้
เคยไหมครับ เวลาเห็นคนที่มีโอกาส ได้รับโอกาสทำ ในสิ่งที่เราไม่มีโอกาสแล้วรู้สึกเจ็บปวดใจ
ตอนช่วงเรียนจบ ทำงานกินเงินเดือน 3-4 ปีแรก ผมก็ได้รับโอกาสให้ทำงานชิ้นสำคัญหลายงานที่มีความภาคภูมิใจต่องานที่ทำมาก งานที่มีงบประมาณสูง และหลายงานมีความสำคัญระดับชาติ ได้พบปะกับบุคคลสำคัญหลายท่านที่เห็นในคุณค่างานที่ผมทำ
แต่หลังจากนั้นกิจการของครอบครัวที่ทำมาหลายสิบปี ซึ่งเลี้ยงให้ตัวผมเติบโตขึ้นมา เกิดวิกฤต (เป็นวิกฤตจากพิษทางเศรษฐกิจที่สืบเนื่องมาจากการเมือง และกระแสโลกที่เปลี่ยนไป) ผมถูกเรียกตัวให้กลับมาช่วยกิจการทางบ้าน ซึ่งไม่ได้ใช้ทักษะในส่วนที่ผมถนัด หรือทำได้ดี (เป็นงานโรงงานที่ใช้เวลา ใช้แรงงาน และการจัดการความวุ่นวายระหว่างคน) ซึ่งผมประเมินว่าตัวเองทำได้ในระดับแค่พยุงกิจการให้พอเอาตัวรอดไปได้ ซึ่งตัวกิจการมีการลงทุนในเครื่องจักร และแรงงานคนมาก ทำให้ต้องพยายามหารายได้หล่อเลี้ยงต้นทุนในส่วนนี้ต่อไป
ในขณะที่ผมวุ่นวายกับการกอบกู้กิจการของทางบ้าน ผมเห็นเพื่อนที่เคยทำงานด้อยกว่าผม ทักษะด้อยกว่าผม ก้าวหน้าไปในอาชีพการงานที่ผมเคยทำได้ดี โดยที่ผลงานไม่ได้ดีไปกว่าที่ผมทำได้ ผมได้เห็นเพื่อนที่ทำงานคุณภาพต่ำกว่าผมมาก แต่ทางบ้านเค้ามีฐานะ มีเส้นสาย สนับสนุนทางโอกาส ได้รับงาน รับรายได้มากมาย ผมเห็นคนที่เคยทำงานด้อยกว่าผมมากๆได้รับการโปรโมตในงานที่ผมเคยอยากจะทำ
ทุกครั้งที่ผมรับรู้สิ่งเหล่านี้ จิตใจผมก็ห่อเหี่ยว ผมได้แต่ จินตนาการว่า ถ้าผมอยู่ที่จุดนั้น ถ้าผมได้รับโอกาสเช่นนั้นบ้าง ผมสามารถทำสิ่งที่ดีกว่านั้นได้ สามารถทำผลงานที่มีคุณภาพมากกว่านั้นได้ จากทักษะที่ผมมี แต่ทำไมผมต้องนั่งอยู่ที่นี่ ทำงานที่ไม่ได้ใช้ทักษะใช้ความสามารถที่แท้จริงของตนเอง
มันเป็นความทุกข์ใจที่คุกรุ่นอยู่ในใจ รู้สึกโทษตัวเอง โทษครอบครัว โทษโชคชะตา รู้สึกอยากทิ้งภาระที่วางอยู่บนบ่า รู้สึกว่าโลกไม่ยุติธรรม และผมไม่อาจสลัดความรู้สึกนึกคิดนี้ออกจากหัวได้ มันกัดกินจิตใจผมอยู่ทุกวัน ทำให้ผมรู้สึกทุกข์ใจมากครับ
* ที่ผมพูดเรื่องความสามารถของตัวเอง ผมไม่ได้ต้องการจะชมตัวเอง ผมคิดว่าทุกคนที่เป็นคนทำงานก็คงมีอะไรบางอย่างที่ตัวเองมั่นใจว่าทำได้ดีกว่าคนอื่นอยู่ ก็น่าจะนึกออกว่ามันมีช่วงที่เราคิดว่า ถ้าเป็นฉัน ฉันจะทำอย่างนี้ ฉันจะไม่ปล่อยให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้