ลักษณะเด่นของคนไทย โดย วีรพงษ์ รามางกูร ....ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ .../sao..เหลือ..noi

กระทู้คำถาม
สังคมไทยเป็นสังคมที่แปลก ไม่เหมือนสังคมประเทศอี่น ๆ ทั้งที่อยู่ในภูมิภาคเดียวกัน คือเอเชียตะวันออก และภูมิภาคอื่น ๆ
เช่น เอเชียใต้ เอเชียกลาง ยุโรปและอเมริกา เป็นต้น

สังคมไทยถูกนักสังคมวิทยาฝรั่งให้คำอธิบายโดยใช้ทฤษฎีมาร์คว่า เป็นสังคมที่ส่วนบนเป็นสังคมที่มีวัฒนธรรมจากอินเดีย
เพราะอิทธิพลของพุทธศาสนา

และศาสนาพราหมณ์ในราชสำนัก วัฒนธรรมและความสัมพันธ์ระหว่างชนชั้น เป็นโครงสร้างส่วนบนที่ได้รับอิทธิพลอย่าง
มากจากศาสนาพราหมณ์ผ่านมาจากเขมร ซึ่งเป็นผู้ปกครองพื้นที่ที่เป็นสยามประเทศมาก่อนก่อนที่คนไทยจะประกาศเป็น
อิสระ เมื่อมีการสถาปนาราชอาณาจักรสยาม ราชสำนักจึงรับเอาวัฒนธรรมเขมร ซึ่งเป็นวัฒนธรรมศาสนาพราหมณ์มา
ผสมกับพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทอย่างเต็มที่ พระราชพิธีในราชสำนักซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของการปกครอง จึงเป็นพิธี
กรรมของศาสนาพราหมณ์ทั้งสิ้น เพิ่งจะเอาการสวดมนต์แบบพุทธเถรวาทเข้าไปผสมในราชพิธีในสมัยพระบาทสมเด็จ
พระจอมเกล้ารัชกาลที่ 4 นี้เอง

สำหรับประชาชนชั้นกลางและชั้นล่างซึ่งเป็นผู้อยู่ใต้การปกครอง ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลเป็นความสัมพันธ์ที่ได้รับ
อิทธิพลมาจากวัฒนธรรมจีน มีครอบครัวเป็นศูนย์กลาง ไม่ใช่สังคม ไม่ว่าจะเป็นหมู่บ้านหรือเมืองที่เหมือนวัฒนธรรม
ทางฝรั่งในยุโรปหรืออเมริกา

คนไทยจึงมีคุณลักษณะหรือวัฒนธรรมที่เอาครอบครัวหรือตัวเองเป็นศูนย์กลาง ไม่ชอบถูกบังคับขับไล่ อยากทำอะไรก็ทำ
ไม่ต้องคำนึงถึงผู้อื่นหรือสังคมส่วนรวม เข้าทำนอง “ทำตามใจ คือไทยแท้”

พ่อแม่คนไทยมักจะสอนลูกหลานไม่ยอมให้ “เสียเปรียบ” ใคร แม้ตนเองไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย แต่ก็ไม่ยอมให้ใคร
เอาเปรียบ หากรู้สึกว่าลูกหลานยอมให้เพื่อนฝูงเอาเปรียบ กลับบ้านก็จะถูกลงโทษเฆี่ยนตี ในขณะเดียวกันจะชมเชยลูกหลาน
ถ้าหากสามารถ “เอาเปรียบ” เพื่อนฝูงหรือผู้อื่นได้

การถูกอบรมสั่งสอนอย่างนี้ จะทำอย่างลับ ๆ ไม่เปิดเผย แต่ในส่วนเปิดเผยจะสั่งสอนลูกหลานดัง ๆ ว่าไม่ให้เอารัดเอาเปรียบ
ผู้อื่น ซึ่งเป็นลักษณะของศรีธนญชัยแบบ “หน้าไหว้หลังหลอก”

การที่คนไทยมองตนเองเป็นศูนย์กลางเช่นนี้ ทำให้เกิดความรู้สึกว่าตนเองสำคัญกว่าสังคมโดยส่วนรวม ทรัพย์สินของตนสำคัญ
กว่าทรัพย์สินของส่วนรวม มักจะได้ยินเสมอว่า “ช่างมัน มันเป็นของหลวง ไม่ใช่ของเรา” ต่างกับสังคมฝรั่งที่เห็นของ
สาธารณะเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องดูแลรักษา ไม่ทำให้เสียหาย ประชาชนในประเทศที่เจริญแล้วผู้คนจะรักษาดูแลทรัพย์สินของส่วน
รวมเท่า ๆ กับทรัพย์สินของส่วนตัว เพราะเขารู้สึกว่าทรัพย์สินของส่วนรวมก็มาจากเงินภาษีอากรที่เขาเป็นคนจ่าย

เมืองไทยอยู่ในเขตร้อน อยู่ในพื้นที่อุดมสมบูรณ์ ไม่ขาดแคลนอาหาร ไม่จำเป็นต้องมีเครื่องนุ่งห่มมากมาย แม้แต่ที่พักอาศัยก็
ไม่จำเป็นต้องเป็นตึกรามบ้านช่องที่มิดชิด หรือต้องมีเตาผิงที่ต้องมีเชื้อเพลิงเพื่อสร้างความอบอุ่น ผู้คนจะอยู่เป็นครอบครัวในที่
ห่างไกลกันไม่ได้ ต้องอยู่รวมกันเป็นสังคม ต้องทำงานร่วมกันเป็นทีม แต่คนไทยชอบทำงานคนเดียว ไม่ชอบทำงานเป็นทีม
งานต่าง ๆ ที่ต้องทำกันเป็นทีมจึงไม่ค่อยประสบความสำเร็จเมื่อเทียบกับคนที่อยู่ในเขตหนาว กีฬาที่คนไทยเก่งและสามารถชนะ
การแข่งขันระหว่างประเทศต้องเป็นกีฬาที่เล่นคนเดียวหรือไม่เกิน 2-3 คน เช่น หมากรุก แบดมินตัน ตะกร้อ ว่ายน้ำ ส่วนกีฬา
ที่คนไทยไม่ประสบความสำเร็จคือกีฬาที่ต้องเล่นเป็นทีม เช่น ฟุตบอล บาสเกตบอล รักบี้ เป็นต้น

หลายครั้งข้อมูลข่าวสารที่ปรากฏบนสื่อหลักเป็นข้อมูลที่ไม่จริง เป็นข่าวปล่อยที่ใคร ๆ ก็รู้ว่าไม่จริง แต่ไม่มีใครสนใจจะแสดงตัว
คัดค้าน หรือมีการค้นหาความจริง ทั้ง ๆ ที่ทุกคนหรือคนส่วนใหญ่

ก็ทราบดีว่าไม่เป็นความจริง แต่ต่อหน้าก็จะแสดงว่าตนเชื่อข่าวเช่นว่า แต่ลับหลังก็ป้องปากบอกว่าไม่จริง อย่าไปเชื่อบางครั้งคน
ไทยยอมรับค่านิยมที่ผิด ๆ เช่น ยอมรับและเกรงกลัวผู้มีอำนาจมากกว่าความถูกต้อง เช่น ในด้านหนึ่งก็สนับสนุนต่อต้านคอร์รัปชั่น
แต่เมื่อมีข่าวว่าผู้หลักผู้ใหญ่มีทรัพย์สินที่มีราคาแพง มีการเสนอข่าว ตั้งประเด็นถกเถียงในข้อสงสัย แต่ก็ไม่ได้ให้น้ำหนักที่จะกดดัน
สอบสวนให้ความจริงปรากฏ พอเวลาผ่านไปกระแสเบาลง เรื่องก็ค่อย ๆ หายไป การแสดงตนว่าต่อต้านคอร์รัปชั่นจึงเป็นแฟชั่น
แสดงเพื่อให้ได้ชื่อว่าตนเป็นคนดี บริสุทธิ์ ทั้ง ๆ ที่ความจริงตนก็ไม่ได้เป็นคนสะอาดสะอ้านอย่างที่แสดงลักษณะของคนไทยที่เด่น
ชัดคือการเอาตัวรอดเมื่อทำผิด โดยการพูดเท็จแบบขอไปทีหรือแบบข้าง ๆ คู ๆ โดยผู้บังคับบัญชาก็รู้ แต่ก็ไม่ว่าอะไร เพราะตนก็
เคยทำเช่นนั้นมาก่อน การเอาตัวรอดกลายเป็นสิ่งถูกต้อง เข้าทำนอง “รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี”

คนไทยพูดเท็จ พูดปดจนเป็นนิสัย จนมีคำพังเพยที่ว่า “ไทยพูดปด เจ๊กกลัวอด ฝรั่งกลัวตาย” เพราะคำทักทายเมื่อพบกันคือ
“ไปไหนมา” “เปล่า ไปเที่ยวฮ่องกง” หรือยังไม่ทันถามก็ตอบว่า “เปล่า” ไว้ก่อน ส่วนคนจีนทักทายกัน “กินข้าวหรือยัง”
“กินแล้ว” ส่วนฝรั่งทักทายกันว่า “เป็นอย่างไร” “สบายดี” คำทักทายกันบางครั้งก็สะท้อนอุปนิสัยของคนแต่ละชาติ แต่ข้อ
สำคัญบุคคลที่ดำรงตำแหน่งสูง ๆ ทางการเมืองและราชการ บางครั้งเมื่อจะต้องตอบคำถามก็มักจะต้องพูดปดไว้ก่อน ทั้ง ๆ ที่ไม่มี
ความจำเป็นต้องพูดเท็จเลย

การไม่ตรงต่อเวลาเป็นลักษณะที่เด่นชัดอีกประการหนึ่ง โดยเป็นที่ยอมรับกันทั้งผู้นัดและผู้ถูกนัด ดังนั้นถ้าจะนัดคนไทยต้องนัดล่วง
หน้าอย่างน้อยครึ่งชั่วโมงหรือ 15 นาที การมาตรงเวลาเป็นของที่แปลก ซึ่งเหมือนกับพวกละตินอเมริกัน

ในห้องเรียน นักเรียนมักจะไม่ออกความเห็น หรือไม่ยกมือถามครูถ้าไม่เข้าใจ เพราะคนตั้งใจเรียนจะยกมือถามครูหรือแสดงความคิด
ความเห็นในชั้นเรียน เมื่อออกนอกชั้นเรียน เพื่อนฝูงจะเล่นงานว่าทำให้เสียเวลาเล่น หรือล้อเลียนว่า “เอาหน้า” กับครู จนกลายเป็น
นิสัย ที่เรียนไม่เข้าใจแต่ไม่ยกมือถามครู ไม่ใช่เกรงกลัวครูแต่เกรงใจเพื่อนในชั้นเรียน

คนไทยเป็นชาติเดียวที่ล้อชื่อพ่อ ชื่อแม่ ชอบเรียกเพื่อนโดยใช้ชื่อพ่อจนบางครั้งเรียกเพื่อนด้วยชื่อพ่อโดยใช้คำว่า “ไอ้” จนลืม
ชื่อจริงไปเลยก็มี

คนที่ถูกเรียกโดยชื่อพ่อ ทีแรกก็จะโกรธ ซึ่งไม่มีเหตุผลว่าโกรธทำไม ต่อมาก็ชิน ผิดกับฝรั่งซึ่งมักจะเอาชื่อตัวไปตั้งเป็นชื่อลูกชาย แต่ใส่คำ
ว่า “ลูก” หรือ “Junior” ต่อท้าย ไม่พยายามปิดบังชื่อพ่อเหมือนเด็กไทย ที่เป็นเช่นนี้อาจจะเป็นเพราะคนไทยเคารพบิดามารดา
และบรรพบุรุษมากกว่าชาติอื่น จึงไม่ต้องการให้เพื่อนฝูงเอาชื่อพ่อชื่อแม่มาล้อเลียนก็ได้

คนไทยจำนวนมากเป็นคนมักได้ ตามคำพังเพย “ด้านได้อายอด” จึงเห็นคนไทยแย่งกันรับของแจก ไม่ว่าจะเป็นวัน “เทกระจาด”
หรือ “การรับประทานอาหารบุฟเฟต์” หรือในการเลี้ยงอาหารก่อนเข้าประชุมผู้ถือหุ้นที่ตักอาหารเต็มจานโดยไม่คำนึงถึงผู้ที่จะมาที
หลัง บางครั้งก็เอาปิ่นโตหรือเอาถุงมาใส่อาหารกลับบ้านโดยไม่อายใคร จนอาหารที่จัดมาล้นเหลือแต่ไม่พอสำหรับผู้ที่มาทีหลัง

ความไม่เคารพสิทธิของผู้อื่น จะเห็นได้ชัดโดยการแย่งกันขอหรือแย่งกันไปก่อน แย่งกันขึ้นรถลงรถแทนที่จะเข้าแถวอย่างเป็นระเบียบ
ถ้าไม่ถูกบังคับโดยการกั้นเป็นแถวทางเดิน ซึ่งคนในประเทศที่เจริญแล้วไม่เป็นเช่นนั้น

ความไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่การงานและสิ่งที่ตนกระทำ หรือที่ฝรั่งเขาเรียกว่า “accountability” สังเกตได้จากการไม่มี
คำแปลตรง ๆ สำหรับคำคำนี้ ถ้ากระทำแล้วจะเกิดความเสียหายก็ไม่สนใจ ถ้าไม่มีใครรู้ใครเห็น ความสามารถปิดบังซ่อนเร้นความผิด
มีความสำคัญกว่าความพยายามทำให้ถูกต้อง ทำให้ไม่ผิดพลาด หรือถ้าผิดพลาดก็ยอมรับความผิดพลาดแล้วแก้ไขไม่ให้เกิดความผิดพลาด
อีกต่อไปในภายภาคหน้า

การไม่รับผิดชอบและโยนความผิดให้เพื่อนร่วมงานหรือลูกน้องผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา ตัวเองไม่กล้าทำแต่แอบสั่งให้ลูกน้องทำแทน
จะมีให้เห็นอยู่เสมอ โดยไม่ละอายใจ ลูกน้องจึงไม่มีความเคารพนับถืออย่างจริงใจ แต่ก็ยอมทำให้นายหรือผู้บังคับบัญชา เพียงเพื่อ
หวังความก้าวหน้าแทนที่จะยึดถือความถูกต้อง และปฏิเสธที่จะทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง

คนไทยจะชอบทิ้งขยะมูลฝอยในที่ที่มีป้ายเขียนไว้ว่า “ห้ามทิ้งขยะ” และจะปัสสาวะในที่ที่เขียนไว้ว่า “ห้ามปัสสาวะ” หรือ
“ที่หมาเยี่ยว” ทิ้งขยะในที่ไม่ควรทิ้ง แม้ทางเทศบาลจะจัดวางถังขยะแยกประเภท แต่ก็ไม่สนใจจะให้ความร่วมมือ แม่น้ำลำคลอง
ก็กลายเป็นที่ทิ้งขยะ ปัญหาท่อระบายน้ำอุดตันเมื่อฝนตกหนัก ปัญหา “น้ำรอระบาย” จึงมีให้เห็นอยู่ตลอดมาและเป็นเช่นนี้ในเมือง
ใหญ่ทุกภูมิภาคของประเทศ

ระบบอุปถัมภ์เป็นลักษณะเด่นมากของคนไทย เป็นสิ่งที่คาดหวังจากทั้งผู้ให้และผู้รับ การเคารพตัวเองและศักดิ์ศรีในการเลื่อนยศ
เลื่อนขั้น หรือการแข่งขันด้วยความสามารถในการเข้าโรงเรียน ในการเข้ารับราชการ ทุกคนจะต้อง “วิ่ง” และหาเส้นสายเพื่อ
“ฝาก” ทั้ง ๆ ที่บางครั้งหรือส่วนมากฝากไม่ได้แต่ต้อง “วิ่ง” ต้องฝากไว้ก่อนเพื่อความอุ่นใจ

ผู้บังคับบัญชาชอบให้ลูกน้อง “วิ่ง” แม้จะเลือกสรรด้วยระบบ “คุณธรรม” แต่ถ้าไม่มา “วิ่ง” กับตนก็รู้สึกว่าลูกน้องไม่ให้
ความสำคัญกับตน เราจึงมักจะเห็น “นาย” เปิดบ้านแต่เช้าเพื่อให้ลูกน้องมานั่งเฝ้า 2-3 ชั่วโมง เพื่อรับประทานอาหารเช้าและดื่ม
กาแฟด้วย เพื่อให้นายเห็นหน้า ถ้าไม่เห็นหน้ามัวแต่ทำงานนายมักจะลืม เมื่อถึงคราวจะพิจารณาความดีความชอบ การมีของกำนัล
จึงเป็นธรรมเนียม แม้จะมีระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีห้ามข้าราชการรับของกำนัลหรือของขวัญที่มีมูลค่าเกิน 3,000 บาทก็ตาม แต่
ถ้าไม่มีใครรู้ใครเห็นก็ไม่เป็นไร แม้นายจะสั่งห้ามอย่างเปิดเผยแต่ก็เป็นไปตามธรรมเนียมศรีธนญชัยที่ต้องไม่เชื่อคำสั่งเช่นว่า

สังคมไทยจึงเป็นสังคม “ศรีธนญชัย”

สาวแว่น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่