เอาไงดีกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ถ้าออกจากงาน


เมื่อสัปดาห์ที่แล้วน้องเอ(นามสมมุติ) อายุ 30 ปี เข้ามาสอบถามเกี่ยวกับการจัดการเงินในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เพราะคิดจะลาออกจากงานเนื่องจากที่ทำงานเดิม ร้อนเกินไป [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ ทำงานมาได้ 3 ปีแล้ว ควรทำอย่างไร ก่อนอื่นเลยต้องทำความเข้าใจกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจะประกอบไปด้วย 4 ส่วนคือ

1. เงินสะสม ส่วนที่ลูกจ้างจ่ายเข้ากองทุน
2. ผลประโยชน์ของเงินสะสมส่วนลูกจ้าง
3. เงินสมทบจากนายจ้าง
4. ผลประโยชน์จากเงินสมทบส่วนนายจ้าง

สำหรับทางเลือกในการจัดการนั้นหลักๆ K-Expert แบ่งได้ดังนี้

หากมีเหตุร้อนเงินหรือเรียกให้เพราะๆคือมีความจำเป็นต้องใช้เงินในปีนี้พอดี จึงอยากได้เงินออกมาจากกองทุน แต่อายุงานยังไม่ครบ 5 ปี ตามกฎหมายแล้วต้องนำเงินในส่วนที่ 2+3+4 นี้ ไปรวมคำนวณเป็นเงินได้ประกอบการยื่นแบบ ภ.ง.ด. โดยเงินในส่วนที่ตนเองสะสม (ส่วนที่ 1) นั้นได้รับการยกเว้นภาษี ทั้งนี้ส่วนสมทบของนายจ้างจะได้เท่าไหร่นั้นก็ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละบริษัท

แต่ถ้าอายุงานเกิน 5 ปีขึ้นไป สามารถที่จะนำเงินก้อนดังกล่าวไปคำนวณภาษีแบบพิเศษตามที่ระบุใน “ใบแนบ” ได้ โดยจะสามารถหักค่าใช้จ่ายได้จำนวน 7,000 บาทคูณจำนวนปีที่ทำงาน เหลือเท่าไหร่ให้หารครึ่ง จึงเป็นเงินได้สุทธิเพื่อคำนวณภาษี วิธีนี้จะช่วยลดจำนวนภาษีจ่ายลงได้มาก แต่น้องเอคงต้องทำงานต่อไปอีก 2 ปีนะเออ เพื่อให้อายุงานเกิน 5 ปี

แต่ถ้าอยากคงเงินไว้ก่อนเพื่อรอการตัดสินใจ หรือสะสมเงินไว้ใช้ในยามแก่ ก็มีทางเลือกคือ การคงเงินไว้กับนายจ้างเดิมโดยระยะเวลาที่สามารถคงเงินไว้จะขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละที่ หากได้งานที่ใหม่และมีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเช่นกัน เราสามารถโอนย้ายเงินจากกองทุนเดิมไปกองทุนของบริษัทแห่งใหม่ โดยอายุสมาชิกของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจะนับต่อเนื่องด้วยนะ เมื่อไม่ต้องนำเงินออกจากกองทุน ก็ไม่ถือเป็นเงินได้ของสมาชิก ซึ่งช่วยให้ไม่ต้องเสียภาษี
  
แต่ถ้าเกิดราหูเข้าหรือดวงไม่ค่อยดีคือ นายจ้างปิดบริษัท กรณีนี้จะไม่สามารถการขอคงเงินได้ เนื่องจากส่วนใหญ่กองทุนของนายจ้างจะปิดไปด้วย ในส่วนของการที่จะหางานใหม่ได้เร็วก่อนที่กองทุนสำรองเลี้ยงชีพเดิมของนายจ้างจะปิดลงโดยทำการโอนย้ายไปที่ใหม่ได้ทันเวลานั้นเกิดขึ้นได้ค่อนข้างลำบาก เพราะกว่าเราจะได้กองทุนสำรองเลี้ยงชีพของที่ใหม่ส่วนใหญ่ต้องรอให้บรรจุเข้าทำงานเสียก่อนอย่างน้อยก็ 3 เดือน แต่ก็ยังคงมีทางเลือกในการโอนเข้ากองทุน RMF ที่รองรับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (RMF for PVD) (ไม่ใช่ RMF ทั่วไปนะ) โดยข้อดีคือ มีทางเลือกในการลงทุนค่อนข้างเยอะ ไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินสะสมเข้าไปเพิ่ม และไม่ทับกับสิทธิลดหย่อนของ RMF เดิม ส่วนใหญ่แล้ว การโอนย้ายมักไม่เสียค่าธรรมเนียมด้วยนะ แต่เมื่อตัดสินใจโอนย้ายแล้ว เราจำเป็นต้องถือครองจนอายุครบ 55 ปี และนับระยะเวลารวมกับการถือครองกองทุนสำรองเลี้ยงชีพแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี

สรุปแล้วน้องเอมีทางเลือกค่อนข้างหลากหลาย ทั้งการคงเงินไว้ การนำเงินออกมา (วิธีนี้ไม่แนะนำนะครับ ถ้าไม่จำเป็นต้องใช้เงินจริงๆ) หรือการโอนย้ายไปยังกองทุน RMF ที่รองรับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ทั้งนี้ต้องคำนวณถึงข้อดีข้อเสียกันด้วยนะ แต่อยากจะแนะนำข้อที่คนมักจะพลาดกันก็คือ ยิ่งเงินออกมาอยู่กับเราเร็วเท่าไหร่ มันก็จะโบยบินไปเร็วเท่านั้น สำหรับใครที่ย้ายงานเคยผ่านสถานการณ์แบบนี้มาแล้ว ตัดสินใจกันยังไงมาแบ่งปันกันได้เลย

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่