สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 18
แต่ก่อน เรามักจะเติบโตจากแรงกดดัน
เราจึงคิดว่ามีแต่ทางนั้นที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้ทำสิ่งต่างๆลุล่วงได้
ปีนี้เป็นปีที่พิเศษสำหรับเรา
ตรงที่เราได้เรียนรู้เพิ่มว่า.... แรงบันดาลใจ มาจาก ความสำเร็จ ได้เหมือนกัน
เราจะมีการตั้งเป้าหมายหลักไว้ทุกปี ..
แต่ปีนี้เป็นปีที่มีผลงานโดดเด่น ...
ซึ่งความสุขจากความสำเร็จ มันเป็นแรงผลักดันให้เราอยากจะทำให้เป้าหมายอื่นๆที่เหลือสำเร็จตามมาด้วย
ยกตัวอย่างเรื่องง่ายๆ ที่เห็นได้ชัด ..
เราน้ำหนักเกินมาตรฐาน สิบสองกิโล แต่เราก็ไม่อินังขังขอบเท่าใดนัก เพราะถือตัวว่าออกกำลังกายหนัก จึงทานอาหารตามใจปาก
ผลคือ ลุ่มๆดอนๆ ขึ้นๆลงๆ
แต่เมื่อเราลดได้แล้วห้ากิโล เหลืออีกเจ็ดกิโล ที่ต้องกำจัดทิ้งไป
ความภูมิใจที่ทำได้ มันผลักดันให้อยากกำจัดส่วนเกินที่เหลือไป จะได้ไม่คาราคาซัง กลายเป็นเป้าหมายที่ไม่สำเร็จ
จึงเค้นสติปัญญา
หาจุดอ่อน (ซึ่งก็คือการตามใจปาก ระยะนี้จะเลือกทานอาหารที่มีคุณภาพ ในปริมาณแค่พออิ่ม)
และหาตัวช่วย
(ซึ่งไปท้าพนันกับเจ้าเพื่อนจอมแสบ ที่ชอบข่มเหงและถากถางเราเสมอมา เราจะได้ไม่อ่อนข้อให้ตัวเองโดยแอบไปกินเค้กอีก เพราะกลัวแพ้เขา)
....
เรื่องภาษา ..
เราเป็นคนรักหนังสือ และหนังสือต่างประเทศจะทำมาสวย เนื้อหาต่างๆมากมายน่าอ่าน ถ้ามัวแต่รอให้มีเล่มแปล มันรอไม่ไหว
ตรงนี้เป็นแรงบันดาลใจชั้นดีให้เราอยากฝึก อยากรู้ อยากคล่องเหมือนภาษาแม่
....
เรื่องงาน ...
ความสำเร็จสูงสุด คือประโยชน์สุขที่เรามอบให้แก่ผู้อื่นได้ ยิ่งชำนาญในการเกื้อกูล ยิ่งอยากเก่งกว่าเดิม เพื่อทำให้ได้มากกว่าเดิม
ทำให้เกิดแรงบันดาลใจในการศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมสม่ำเสมอ และพร้อมจะพัฒนาตัวเอง เพื่อก้าวไปข้างหน้าเสมอ
ไม่หยุด ไม่ท้อ ไม่รั้งรออะไรทั้งนั้น
....
เรื่องจิตใจ ..
อายุที่เพิ่มขึ้น กอปรกับผู้คนจำนวนมาก ที่ผ่านสายตา ทำให้เราได้ข้อสรุปที่แน่ชัดคือ
ไม่มีใครเป็นใหญ่ในตนเอง ทุกคนอยู่ใต้อำนาจของ “ผลจากการกระทำของตนเอง” ทั้งสิ้น
ความรู้เหล่านี้เป็นแรงบันดาลใจชั้นดี ให้เราลดทิฐิ และเข้าอกเข้าใจผู้อื่น
คนเราอาจจะวนเวียนมาเจอกันเพียงระยะหนึ่ง แล้วก็ต้องล้มหายตายจากกันไป
แต่สิ่งที่จะติดตัวเราไปดุจเงา ก็คือสิ่งที่เรา “เจตนา” กระทำต่อกันไว้
ฉะนั้น หากมีโอกาสเจอใคร เราจะดีกับเขาให้มากที่สุด
เพราะทุกความดีที่เราทำกับเขา มันก็คือการสร้างวิบากดีๆคุ้มครองตัวเรานั่นเอง
เราจึงคิดว่ามีแต่ทางนั้นที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้ทำสิ่งต่างๆลุล่วงได้
ปีนี้เป็นปีที่พิเศษสำหรับเรา
ตรงที่เราได้เรียนรู้เพิ่มว่า.... แรงบันดาลใจ มาจาก ความสำเร็จ ได้เหมือนกัน
เราจะมีการตั้งเป้าหมายหลักไว้ทุกปี ..
แต่ปีนี้เป็นปีที่มีผลงานโดดเด่น ...
ซึ่งความสุขจากความสำเร็จ มันเป็นแรงผลักดันให้เราอยากจะทำให้เป้าหมายอื่นๆที่เหลือสำเร็จตามมาด้วย
ยกตัวอย่างเรื่องง่ายๆ ที่เห็นได้ชัด ..
เราน้ำหนักเกินมาตรฐาน สิบสองกิโล แต่เราก็ไม่อินังขังขอบเท่าใดนัก เพราะถือตัวว่าออกกำลังกายหนัก จึงทานอาหารตามใจปาก
ผลคือ ลุ่มๆดอนๆ ขึ้นๆลงๆ
แต่เมื่อเราลดได้แล้วห้ากิโล เหลืออีกเจ็ดกิโล ที่ต้องกำจัดทิ้งไป
ความภูมิใจที่ทำได้ มันผลักดันให้อยากกำจัดส่วนเกินที่เหลือไป จะได้ไม่คาราคาซัง กลายเป็นเป้าหมายที่ไม่สำเร็จ
จึงเค้นสติปัญญา
หาจุดอ่อน (ซึ่งก็คือการตามใจปาก ระยะนี้จะเลือกทานอาหารที่มีคุณภาพ ในปริมาณแค่พออิ่ม)
และหาตัวช่วย
(ซึ่งไปท้าพนันกับเจ้าเพื่อนจอมแสบ ที่ชอบข่มเหงและถากถางเราเสมอมา เราจะได้ไม่อ่อนข้อให้ตัวเองโดยแอบไปกินเค้กอีก เพราะกลัวแพ้เขา)
....
เรื่องภาษา ..
เราเป็นคนรักหนังสือ และหนังสือต่างประเทศจะทำมาสวย เนื้อหาต่างๆมากมายน่าอ่าน ถ้ามัวแต่รอให้มีเล่มแปล มันรอไม่ไหว
ตรงนี้เป็นแรงบันดาลใจชั้นดีให้เราอยากฝึก อยากรู้ อยากคล่องเหมือนภาษาแม่
....
เรื่องงาน ...
ความสำเร็จสูงสุด คือประโยชน์สุขที่เรามอบให้แก่ผู้อื่นได้ ยิ่งชำนาญในการเกื้อกูล ยิ่งอยากเก่งกว่าเดิม เพื่อทำให้ได้มากกว่าเดิม
ทำให้เกิดแรงบันดาลใจในการศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมสม่ำเสมอ และพร้อมจะพัฒนาตัวเอง เพื่อก้าวไปข้างหน้าเสมอ
ไม่หยุด ไม่ท้อ ไม่รั้งรออะไรทั้งนั้น
....
เรื่องจิตใจ ..
อายุที่เพิ่มขึ้น กอปรกับผู้คนจำนวนมาก ที่ผ่านสายตา ทำให้เราได้ข้อสรุปที่แน่ชัดคือ
ไม่มีใครเป็นใหญ่ในตนเอง ทุกคนอยู่ใต้อำนาจของ “ผลจากการกระทำของตนเอง” ทั้งสิ้น
ความรู้เหล่านี้เป็นแรงบันดาลใจชั้นดี ให้เราลดทิฐิ และเข้าอกเข้าใจผู้อื่น
คนเราอาจจะวนเวียนมาเจอกันเพียงระยะหนึ่ง แล้วก็ต้องล้มหายตายจากกันไป
แต่สิ่งที่จะติดตัวเราไปดุจเงา ก็คือสิ่งที่เรา “เจตนา” กระทำต่อกันไว้
ฉะนั้น หากมีโอกาสเจอใคร เราจะดีกับเขาให้มากที่สุด
เพราะทุกความดีที่เราทำกับเขา มันก็คือการสร้างวิบากดีๆคุ้มครองตัวเรานั่นเอง

ความคิดเห็นที่ 26
ตอนนี้อายุ 21 ค่ะ จะ 22 อีก 2 เดือน เป็นมะเร็งตอนอายุ 20 ก็เท่ากับว่า 2 ปีแล้ว แม่เป็นก่อนหน้าเรามา 5 ปี แม่เราเป็นเต้านมซ้ายก่อน แล้วก็ขวา แล้วก็มาปอด ตัดรังไข่เพื่อให้ยา (แม่ผ่าตัดไปหลายครั้ง)
แรงบันดาลใจของเราคือ ความอดทนของแม่ แม่ไม่เคยร้องไห้เลย แต่พอรู้เรื่องเรา ทั้งพ่อทั้งแม่กลับร้องไห้ ทุกคนเศร้าหมด ยกเว้นเรา เราไม่เศร้าตั้งแต่รู้ผล เพราะเศร้าไปคงไม่มีอะไรดีขึ้น คราวนี้กำลังใจทุกคนหาย มีแค่เราทำนั่นที่ทำให้มันดีขึ้นได้ พอเขาเห็นเราๆม่ร้องไห้ ไม่เสียใจ เขาก็มีกำลังใจ บรรยากาศมันก็ดีขึ้น เราคิดว่าต่อให้จะเจ็บยังไง เราจะเข้มแข็งเพื่อคนในครอบครัวเราให้ได้ ก่อนหน้านี้เราเรียนพยาบาล กำลังจะเปิดเรัยน เราก็ป่วยเสียก่อน เราต้องผ่าตัด ทำคีโม ฉายแสง แต่กำลังใจเราดีตลอด เราให้กำลังใจเราเอง แล้วก็แบ่งไปให้คนข้างๆด้วย
ตอนนี้เราเป็นเนื้องอกในสมอง บางคนอาจจะเศร้า คิดว่าอะไรนะกหนา แต่สำหรับเราคือ โชคดีที่สุด ที่มันเป็นแค่เนื้องอกธรรมดา เราจะผ่าตัดอีก 3 เดือน คุณหมอจะผ่าให้แบบรู้สึกตัวเพราะรู้ว่าอยากจะเรียนต่อ
แรงบันดาลใจที่สำคัญที่สุดของเราเลยคือ คุณหมอ ผ่าตัด ให้ยาคีโม ฉายแสง หมอสมอง ที่เอ็นดูเรา ให้กำลังใจเราตลอด จะเดินออกจากห้องก็เดินมาส่งทุกครั้ง เดินมารับเราหน้าห้องผ่า สังเกตอาการเราตลอด ให้ไลน์เราไว้ติดต่อ พี่พยาบาลที่คุยกับเราเหมือนน้อง เมื่อก่อนเรากลัวโรงพยาบาลมากนะ แต่นานเข้ารู้สึกเหมือนมันเป็นครอบครัวๆหนึ่งเลย หมอ พยาบาลทุกคน ทำงานเต็มที่เพื่อคนไข้ บางคนอาจมองว่ามันเป็นหน้าที่ แต่ของเราเราจะดูตลอด หมอของเราวิ่งกินข้าวห้องพักข้างๆ 10 นาที แล้ววิ่งมาเปิด 3-4 ห้อง สอนนักศึกษาด้วย ไม่มีเวลาพักผ่อน เราได้รับการช่วยชีวิตมา เราจะรักษาชีวิตนี้ให้ดีที่สุด จะไม่ยอมแพ้ แต่ถ้ามันจะมีสักวันต้องตาย เราก็จะทำให้คนรอบข้างเราอยู่ต่อไปได้อย่างเข้มแข็ง แม้จะไม่มีเราก็ตาม เรามาโรงพยาบาล เราเห็นคนไข้เยอะมากมาย รอบๆตัว เมื่อก่อนความคิดเด็ก ๆคือ เป็นพยาบาล เป็นหมอ คนจะได้ไม่สงสัยความเก่ง มั่นคง มีเงิน แล้วเราก็ชอบดูแลคนอื่น แต่มันก็ยังไม่ชัดเท่าคราวนี้ คราวนี้คือเราเข้าใจคนป่วยแล้วว่าเขารู้สึกยังไง เจ็บปวด ท้อแท้รึเปล่า ทำให้เราอยากรีบหาย แล้วก็สอบเข้ามหาลัย ไปเรียนสายสุขภาพ เพื่อดูแลคนอื่นเหมือนเดิม แม้มันจะเป็นอะไรที่เล็กๆแต่มันมีความหมายมากสำหรับเรา
อีกแรงบันดาลใจคือย่า ย่าของเราเป็นผู้หญิงแกร่ง แต่คนรอบข้างจะคิดว่าขี้งก แล้วก็แรง ย่าเราใจดีกับหลานกับเราตลอด ไม่เคยว่าอะไรเลย เลี้ยงเรามาเอง เราเป็นหลานคนแรก ใครตายแกก็ไม่เคยร้อง แต่พอรู้ว่าเราป่วย ร้องไห้ทุกคืน ไม่ได้นอน ตอนเราเรียนอนุบาล ย่าไปส่ง แล้วนั่งรอเราที่โรงเรียนทั้งวัน กลับด้วยกัน ไม่เคยตี เราทำรถสีถลอกทั้งคันก็ไม่ตี แค่บอกว่าอย่าเอาที่ขัดล้อไปขัดรถอีกนะลูก แล้วก็ขายรถ ย่าเราแก่แล้ว แต่กลับทำงาน (ขายของร้านเล็กๆ) แต่กลับหาเงินเป็นล้านๆ ส่งให้เราได้ทุกเดือน เดือนละ7หมื่น ถึง 1 แสน เพราะเราต้องให้ยาทุก 21 วัน ต่อเข็ม เข็มละ7 หมื่น ทั้งๆที่แก่มากแล้ว แทนที่เราเป็นหลานต้องดูแลย่า ทำงานเลี้ยงย่า แต่ย่ากลับยังต้อเลี้ยงเรา เราเห็นสิ่งที่ย่าทำมาตลอด ย่าเป็นคนประหยัด และฉลาด
ทุกคนในบ้านย่าจะมีสมุดเงินฝากให้หมด ฝากเงินให้ทุกเดือน(ไม่มีใครรู้ยกเว้นเรา) ยิ่งย่ารักเรามาก เราก็รักย่ามาก ปู่ด้วย รักมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว เพราะเรารักที่สุดแล้ว แรงบันดาลใจนี่แหละ ที่ทำให้เราสู้ต่อ เราจะหาย ถ้าเป็นอีกก็รักษาอีก จะเรียน ทำงาน อย่าเสียไปเท่าไหร่ เราจะเอากลับมาคืนให้มากกว่า จะดูแลย่าและปู่ให้ดี เวลาเราเศร้านึกถึงย่ากับปู่ เราก็มีกำลังใจแล้ว
แรงบันดาลใจของเราคือคิดบวก
มองความรัก ความทุ่มเทที่คนอื่นให้เรา เป็นแรงบันดาลใจของเราค่ะ
แรงบันดาลใจของเราคือ ความอดทนของแม่ แม่ไม่เคยร้องไห้เลย แต่พอรู้เรื่องเรา ทั้งพ่อทั้งแม่กลับร้องไห้ ทุกคนเศร้าหมด ยกเว้นเรา เราไม่เศร้าตั้งแต่รู้ผล เพราะเศร้าไปคงไม่มีอะไรดีขึ้น คราวนี้กำลังใจทุกคนหาย มีแค่เราทำนั่นที่ทำให้มันดีขึ้นได้ พอเขาเห็นเราๆม่ร้องไห้ ไม่เสียใจ เขาก็มีกำลังใจ บรรยากาศมันก็ดีขึ้น เราคิดว่าต่อให้จะเจ็บยังไง เราจะเข้มแข็งเพื่อคนในครอบครัวเราให้ได้ ก่อนหน้านี้เราเรียนพยาบาล กำลังจะเปิดเรัยน เราก็ป่วยเสียก่อน เราต้องผ่าตัด ทำคีโม ฉายแสง แต่กำลังใจเราดีตลอด เราให้กำลังใจเราเอง แล้วก็แบ่งไปให้คนข้างๆด้วย
ตอนนี้เราเป็นเนื้องอกในสมอง บางคนอาจจะเศร้า คิดว่าอะไรนะกหนา แต่สำหรับเราคือ โชคดีที่สุด ที่มันเป็นแค่เนื้องอกธรรมดา เราจะผ่าตัดอีก 3 เดือน คุณหมอจะผ่าให้แบบรู้สึกตัวเพราะรู้ว่าอยากจะเรียนต่อ
แรงบันดาลใจที่สำคัญที่สุดของเราเลยคือ คุณหมอ ผ่าตัด ให้ยาคีโม ฉายแสง หมอสมอง ที่เอ็นดูเรา ให้กำลังใจเราตลอด จะเดินออกจากห้องก็เดินมาส่งทุกครั้ง เดินมารับเราหน้าห้องผ่า สังเกตอาการเราตลอด ให้ไลน์เราไว้ติดต่อ พี่พยาบาลที่คุยกับเราเหมือนน้อง เมื่อก่อนเรากลัวโรงพยาบาลมากนะ แต่นานเข้ารู้สึกเหมือนมันเป็นครอบครัวๆหนึ่งเลย หมอ พยาบาลทุกคน ทำงานเต็มที่เพื่อคนไข้ บางคนอาจมองว่ามันเป็นหน้าที่ แต่ของเราเราจะดูตลอด หมอของเราวิ่งกินข้าวห้องพักข้างๆ 10 นาที แล้ววิ่งมาเปิด 3-4 ห้อง สอนนักศึกษาด้วย ไม่มีเวลาพักผ่อน เราได้รับการช่วยชีวิตมา เราจะรักษาชีวิตนี้ให้ดีที่สุด จะไม่ยอมแพ้ แต่ถ้ามันจะมีสักวันต้องตาย เราก็จะทำให้คนรอบข้างเราอยู่ต่อไปได้อย่างเข้มแข็ง แม้จะไม่มีเราก็ตาม เรามาโรงพยาบาล เราเห็นคนไข้เยอะมากมาย รอบๆตัว เมื่อก่อนความคิดเด็ก ๆคือ เป็นพยาบาล เป็นหมอ คนจะได้ไม่สงสัยความเก่ง มั่นคง มีเงิน แล้วเราก็ชอบดูแลคนอื่น แต่มันก็ยังไม่ชัดเท่าคราวนี้ คราวนี้คือเราเข้าใจคนป่วยแล้วว่าเขารู้สึกยังไง เจ็บปวด ท้อแท้รึเปล่า ทำให้เราอยากรีบหาย แล้วก็สอบเข้ามหาลัย ไปเรียนสายสุขภาพ เพื่อดูแลคนอื่นเหมือนเดิม แม้มันจะเป็นอะไรที่เล็กๆแต่มันมีความหมายมากสำหรับเรา
อีกแรงบันดาลใจคือย่า ย่าของเราเป็นผู้หญิงแกร่ง แต่คนรอบข้างจะคิดว่าขี้งก แล้วก็แรง ย่าเราใจดีกับหลานกับเราตลอด ไม่เคยว่าอะไรเลย เลี้ยงเรามาเอง เราเป็นหลานคนแรก ใครตายแกก็ไม่เคยร้อง แต่พอรู้ว่าเราป่วย ร้องไห้ทุกคืน ไม่ได้นอน ตอนเราเรียนอนุบาล ย่าไปส่ง แล้วนั่งรอเราที่โรงเรียนทั้งวัน กลับด้วยกัน ไม่เคยตี เราทำรถสีถลอกทั้งคันก็ไม่ตี แค่บอกว่าอย่าเอาที่ขัดล้อไปขัดรถอีกนะลูก แล้วก็ขายรถ ย่าเราแก่แล้ว แต่กลับทำงาน (ขายของร้านเล็กๆ) แต่กลับหาเงินเป็นล้านๆ ส่งให้เราได้ทุกเดือน เดือนละ7หมื่น ถึง 1 แสน เพราะเราต้องให้ยาทุก 21 วัน ต่อเข็ม เข็มละ7 หมื่น ทั้งๆที่แก่มากแล้ว แทนที่เราเป็นหลานต้องดูแลย่า ทำงานเลี้ยงย่า แต่ย่ากลับยังต้อเลี้ยงเรา เราเห็นสิ่งที่ย่าทำมาตลอด ย่าเป็นคนประหยัด และฉลาด
ทุกคนในบ้านย่าจะมีสมุดเงินฝากให้หมด ฝากเงินให้ทุกเดือน(ไม่มีใครรู้ยกเว้นเรา) ยิ่งย่ารักเรามาก เราก็รักย่ามาก ปู่ด้วย รักมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว เพราะเรารักที่สุดแล้ว แรงบันดาลใจนี่แหละ ที่ทำให้เราสู้ต่อ เราจะหาย ถ้าเป็นอีกก็รักษาอีก จะเรียน ทำงาน อย่าเสียไปเท่าไหร่ เราจะเอากลับมาคืนให้มากกว่า จะดูแลย่าและปู่ให้ดี เวลาเราเศร้านึกถึงย่ากับปู่ เราก็มีกำลังใจแล้ว
แรงบันดาลใจของเราคือคิดบวก
มองความรัก ความทุ่มเทที่คนอื่นให้เรา เป็นแรงบันดาลใจของเราค่ะ
แสดงความคิดเห็น
อยากให้ทุกคนแชร์ประสบการณ์ว่ามีแรงบันดาลใจอะไรที่ทำให้ตัวเองมีการพัฒนาขึ้น
อยากถามเพื่อนๆมีใครมั้ย? ที่อกหัก หรือโดน เพื่อนหรือคนรอบข้างดูถูก หรือไม่ก็อยู่ๆมาอายุจะ 30แล้ว เพิ่งมานั่งคิดไตร่ตรองพิจารณาตัวเอง ว่าในชีวิตนี้ต้องการอยากพัฒนาตัวเอง ให้ดีขึ้น เช่น
-ถ้าอ้วนก็อยากลดน้ำหนักแล้วมีการตั้งเป้าหมายไว้อย่างไร ?เพราะอะไร?
-หรืออยากเก่งภาษาไม่ว่าจะภาษาอังกฤษ หรือ ภาษาญี่ปุ่นหรือภาษาอะไรต่างๆก็แล้วแต่ จะมีการตั้งเป้าหมายไว้อย่างไร? ถ้าเริ่มต้นจากศูนย์(0) เพราะอะไร
ขอบคุณล่วงหน้าน่ะค่ะสำหรับทุกๆคำตอบ
คือตัวเรานี้ อายุก็ 30แล้วค่ะ ทำงานอยู่บริษัทญี่ปุ่น และได้ไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่น เห็นล่ามที่บริษัทพูดภาษาญี่ปุ่น ก็เลยอยากพูดได้บ้าง เลยให้พี่ที่เป็นล่าม สอนให้คือลงทุนเรียนเลยหละค่ะ แต่เพิ่งเริ่มต้นหัดเขียนตัวอักษรก่อนไปตาม Step ทีละขั้นตอน คิดว่าที่อยากเรียนเพราะ 1.เราจะได้อัพเกรดเงินเดือนด้วย และคุยงานโดยไม่ต้องผ่านล่ามได้เลย หุหุ 2.และจะได้เซอร์ไพรซ์เจ้านายด้วย 555