การแก้ปัญหาปากท้อง ต้องแก้ที่ภาระหนี้สินครัวเรือน การปรับโครงสร้างสังคม เศรษฐกิจ การเมือง ราชการทั้งระบบ

การแก้ไขปัญหาระดับแรก สำหรับการแก้ไขปัญหาทางด้านเศรษฐกิจที่รัฐบาลไม่ได้ทำก็คือ?
1. การปรับโครงสร้างหนี้ทั้งระบบ
   1.1 การพักชำระหนี้เกษตรกร ที่ได้รับผลกระทบจากการปรับโครงสร้างการเพาะปลูก
   1.2 การพักชำระหนี้กสิกร ชาวประมง เกษตรกร ที่ได้รับผลกระทบจากการบังคับใชักฏหมาย โดยเฉพาะชาวประมง ซึ่งได้รับผลกระทบจากการบังคับใช้กฏหมาย เนื่องจาก ถูกปล่อยปะละเลยมานานจนเกิดความเคยชิน และกลายเป็นการกระทำผิดกฏหมาย การละเมิดสิทธิมนุษยชน การทำลายระบบนิเวศ การทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ปลา ฯลฯ ซึ่งเป็นความรับผิดชอบที่ภาครัฐ ควรมีกองทุนสำหรับการเยียวยา ในช่วงเปลี่ยนผ่านไปสู่การบังคับใช้กฏหมายที่สมบูรณ์ ไม่ให้กลับมาสู่วังวนแบบเดิมอีก
   1.3 ในกรณียางพารา เป็นสิ่งที่ต้องนำไปสู่การแปรรูปในการสร้างถนนในระดับท้องถิ่น ให้เป็นรูปธรรม โดยยกระดับกองทุนยาง ให้ครอบคลุมการจัดทำถนนยางพาราในระดับท้องถิ่น เพื่อลดภาระการขนส่ง แต่เพิ่มประสิทธิภาพในการสร้างถนน หรือซ่อมถนนภายในชุมชน ให้เป็นรูปธรรม โดยเฉพาะในกลุ่มจังหวัดภาคใต้ และจังหวัดภาคตะวันออก ภาคอีสานที่ปลูกยางพา ซึ่งรัฐต้องลงทุนในเรื่องนี้ ทั้งด้านการวิจัย การพัฒนา การลดต้นทุน จนนำไปสู่การสร้างศูนย์ถ่ายทอดความรู้ในการทำถนนจากยางพารา เพื่อให้ภาคประชาชนสามารถต่อยอดได้อย่างเป็นรูปธรรม
   1.4 ในการพัฒนาด้านประกันสุขภาพแห่งชาติ ต้องส่งเสริมการใช้สมุนไพรในครัวเรือน การจัดตั้งศูนย์ส่งเสริมการฝึกอบรมอาชีพในด้านการแปรรูปอาหาร เครื่องดื่ม ขนม เพื่อสุขภาพ การพัฒนาสูตรอาหาร เครื่องดื่ม ขนม เพื่อสุขภาพ การแปรรูปสมุนไพรเพื่อสุขภาพในระดับท้องถิ่น และเปิดให้ประชาชนสมารถขอใช้บริการจัดฝึกอบรมอาชีพในด้านการแปรรูปอาหาร เครื่องดื่ม ขนม การพัฒนาสูตรอาหาร เครื่องดื่ม ขนม การแปรรูปสมุนไพร หรือการสาธิตเครื่องใช้ในการประกอบ การแปรรูปอาหาร เครื่องดื่ม ขนม ที่ได้รับอนุญาติจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเช่น สำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค องค์การอาหารและยา กระทราบสาธารณสุขในระดับจังหวัด หรืออำเภอ เป็นต้น โดยจะต้องกำหนดและจัดเก็บค่าธรรมเนียมที่เหมาะสมเป็นธรรมทั้งต่อภาครัฐ(ที่ออกใบอนุญาต) และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ที่เป็นผู้อนุญาตให้ใช้ศูนย์ส่งเสริมการฝึกอบรมอาชีพในด้านการแปรรูปอาหาร เครื่องดื่ม ขนม เพื่อสุขภาพ) รวมถึงต่อภาคประชาชน(ที่ขอใช้บริการ) อย่างจริงจัง พัฒนาให้เป็นการนำร่อง และการขยายผลให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ โดยมีวัตถุประสงค์ในการ ให้ท้องถิ่นส่งเสริมการฝึกอบรมอาชีพ
   1.5 การปรับโครงสร้างทาการเมืองให้สอดรับการการทำงานของหน่วยงานราชการ กับองค์กรสาธารณประโยชน์ ทำให้เกิดระบบสองมาตรฐาน ก็คือ
       - องค์กรสาธารณประโยชน์ ที่อยู่ในสังกัดขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
       - องค์กรสาธารณประโยชน์ ที่อยู่ในสังกัดกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
        สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ การใช้องค์กรสาธารณประโยชน์เพื่อสนองนโยบายของนักการเมือง แทนการตอบสนองความต้องการของประชาชนโดยตรง กับการสร้างช่องว่าง ให้เกิดกลุ่ม NGO กับ นักวิชากร ที่รับใช้นักการเมือง แทนที่จะเป็นตัวแทนประชาชนในการพัฒนาท้องถิ่น พัฒนาท้องที่ ให้เป็นไปเพื่อประชาชนเพื่อนร่วมชาติ กลับสร้างระบบตัวแทน ส่งเสริมกลไกในการซื้อสิทธิขายเสียงตั้งแต่ต้นทาง และทำให้การปรับโครงสร้างในการผลิต การแปรรูป ที่รัฐบาล คสช. ระบุไว้ ไม่สามารถกระทำได้ตามวัตถุประสงค์
        แนวทางการแก้ไข ต้องปรับทัศนคติ ให้ตรงกับความจริงก็คือ ปัจจุบันเราเลือกตั้ง เพื่อ ตั้งคนให้เป็นเจ้าคนนายคน ไม่ต้องสอบ ไม่ต้องคัดเลือก ไม่ต้องเข้าใจระบบราชการ เข้าใจแต่การใช้อำนาจ มีอำนาจสั่งใครก็ได้ที่อยู่ภายใต้อำนาจของตน ซึ่งเป็นภัยเงียบต่อระบอบประชาธิปไตยมาอย่างช้านาน และไม่ส่งเสริมระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชวินิฉัยในเรื่องนี้ไว้ก่อนหน้าแล้ว หากยังไม่สมารถทำให้ประชาชนเข้าใจในหลักการพึ่งตนเอง การร่วมกลุ่มกัน ความรับผิดรับชอบร่วมกัน ก็จะกลายเป็นการนำระบอบประชาธิปไตยมาใช้เพียงเพื่อการแก่งแย่งชิงดีกัน และเป็นการทำลายโครงสร้างทางสังคม เศรษฐกิจ ศาสนา ที่เ็ป็นธรรมได้
         ดังนั้น เห็นควรให้พิจารณาในประเด็นนี้ร่วมกันก็คือ การปรับโครงสร้างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้มีโครงสร้างการทำงานรองรับกับโครงสร้างของรัฐบาล อันประกอบไปด้วยกระทรวง ทบวง กรม  การส่งหนังสือสั่งการใดๆ ต้องลดขั้นตอนในการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น โดย กำหนดบทบาทหน้าที่ของพนักงานส่วนท้องถิ่นให้ชัดเจน ให้รองรับการสั่งการของแต่ละกระทรวง ไม่เกิดความสับสนในบทบาทหน้าที่ ส่วนเรื่องการขับเคลื่อนนโยบายทางการเมือง ควรให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของการจัดทำแผนชุมชนเป็นสำคัญ โดยมีสภาพัฒนาองค์กรชุมชน ของกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นแม่งานขับเคลื่อนอย่างจริงจัง โดยให้กรมพัฒนาชุมชน เป็นผู้จัดทำการสำรวจข้อมูลพื้นฐาน จปฐ ร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สำนักงานสถิติจังหวัด เพื่อใช้ประกอบการจัดทำแผนพัฒนาชุมชน ผ่านกระบวนการ 3 ระดับ 3 ส่วน
       ระดับที่ 1 ประชาชนในชุมชนสามารถจัดการได้ มีความพร้อมทั้งงบประมาณ กำลังคน และความรู้ความสามารถ
       ระดับที่ 2 ประชาชนในชุมชนสามารถจัดการได้ มีความพร้อมในด้านงบประมาณ กำลังคน แต่ขาดความรู้ความสามารถ
       ระดับที่ 3 ประชาชนในชุมชนประสบจัดการเองไม่ได้ ขาดทั้งบประมาณ หรือกำลังคน และความรู้ความสามารถ
.
       ส่วนที่ 1 ความคิดเห็นจากฝ่ายบริหารท้องถิ่น และสภาท้องถิ่น ในการกำหนดโครงการในการพัฒนาชุมชน และท้องถิ่นในปีนั้น
       ส่วนที่ 2 ความคิดเห็นจากภาคประชาชน ผ่านสภาพัฒนาองค์กรชุมชน
       ส่วนที่ 3 ความคิดเห็นจากฝ่ายข้าราชการที่เป็นผู้ปฏิบัติในระดับท้องถิ่น โดยจะต้องนำข้อมูลพื้นฐาน จปฐ มาผ่านการวิเคราะห์ และนำข้อมูลเชิงบริบทพื้นที่ ภูมิสังคม และข้อมูลอื่นๆ รอบด้าน มาใช้เพื่อนำเสนอต่อองค์กรของรัฐบาลกลางที่รับผิดชอบในระดับท้องถิ่นโดยตรง  เพื่อนำเสนอดังกล่าวในการจัดทำเวทีประชาคมของแต่ละชุมชน และนำไปสู่การจัดทำแผนชุมชนที่มีประสิทธิภาพ
        หมายุเหตุ ในช่วงเดือน ตุลาคม  - มีนาคม ควรเป็นช่วงในการจัดทำแผนพัฒนาชุมชนแห่งชาติ เพราะมีความเกี่ยวพันกับการพัฒนาชุมชน และการส่งเสริมประชาธิปไตยภาคประชาชนอย่างมาก
--
รัฐบาล คสช. ควรส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น ดังนี้
.
1. ให้รองรับการพัฒนาจากศูนย์กลางความเจริญไปสู่ชนบท ให้ความเจริญถูกพัฒนาไปอย่างครอบคลุม เช่น การควบรวมองค์กรปกครองส่วนที่ท้องถิ่น ที่มีจำนวนประชากรน้อยเกินไป มีรายได้น้อยเกินไป ให้ควบรวมกัน โดยให้คงสำนักงานท้องถิ่นเดิมไว้ แต่ให้ควบรวมการบริหารจัดการ สภาท้องถิ่น ให้มีศูนย์การในการบริหารราชการเดียวกัน จนกว่าท้องถิ่นเดิมจะได้รับการพัฒนาทั้งคุณภาพชีวิต จำนวนประชากร ศักยภาพในการจัดเก็บรายได้เข้าสู่ภาครัฐ(ภาษีที่ท้องถิ่นที่จัดเก็บเองคิดตรงตามพื้นที่นั้นๆ) มีคุณภาพ ประสิทธิภาพ ศักยภาพ ขององค์กรสาธารณประโยชน์ภาคประชาชน สภาพัฒนาองค์กรภาคประชาชนในระดับชุมชนนั้นๆ อยู่ในเกณฑ์มาตราฐาน  เป็นไปตามเงื่อนไขแห่งกฏหมายกำหนด และเป็นไปตามเจตนารมณ์ของประชาชน มิใช่การแยกเขตการปกครองนั้นเป็นไปเพื่อกลุ่มคน หรือบุคคลใดบุคคลหนึ่ง
.
2. ผู้มีสิทธิในการดำรงตำแหน่งประธานผู้บริหารท้องถิ่น(อบจ. อบต. เทศบาล) และคณะผู้บริหารท้องถิ่น ต้องมีประสบการณ์ในการบริหารองค์กรสาธารณประโยชน์ทั้งของภาครัฐ และของภาคเอกชนมาแล้วอย่างน้อย 2 ปี ก่อนลงสมัครับเลือกตั้ง และดำรงตำแหน่งไม่เกิน 2 วาระ ติดต่อกัน
.
3. ผู้ที่เคยดำรงตำแหน่งทางการเมืองในระดับรัฐสภา หรือคณะรัฐมนตี หรือข้าราชการประจำ จะต้องพ้นจากตำแหน่งก่อน และจะต้องมีประสบการณ์ในการบริหารองค์กรสาธารณประโยชน์ทั้งของภาครัฐและของภาคเอกชนมาแล้วอย่างน้อย 2 ปี ก่อนลงสมัครรับเลือกตั้ง เป็นประธานผู้บริหารท้องถิ่น(อบจ. อบต. เทศบาล)
.
4. ข้าราชการประจำส่วนท้องถิ่น ในระดับผู้อำนวยการ ผู้บริหาร จะต้องมีการยื่นบัญชีทรัพย์สินทุกครั้งที่มีการเลื่อนระดับ การโอนย้าย และเมื่อมีการเปลี่ยนคณะผู้บริหารท้องถิ่น(อบจ. อบต. เทศบาล)
.
5. กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น ควรได้รับการยกระดับเป็นองค์กรพิเศษ เป็นสำนกงานส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นแห่งชาติ โดยมีโครงสร้างที่รองรับการสั่งการของทุกกระทรวง ทบวง กรม เพื่อส่งเสริมในการขับเคลื่อน สิทธิ สวัสดิการ การให้บริกาจากทุกๆ กระทรวง ทบวง กรม ให้ถึงประชาชนในระดับท้องถิ่นได้อย่างเท่าเทียม
.
6. สำนักงานส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นแห่งชาติ ควรได้รับการยกระดับการบริหารจัดการระบบสารสนเทศ(ฐานข้อมูล) ในด้านประชากร การดูแลสิทธิ สวัสดิการ ของภาครัฐ ให้กับประชาชน และการบังคับใช้กฏหมายในการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐที่เป็นมาตรฐานเดียวกันในทุกๆ ท้องถิ่น ในทุกๆ ระดับ เช่น การเบิกจ่ายค่าอาหาร ค่าที่พัก ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าเวรยาม(ในกรณีนี้ควรมีให้ แทนการบังคับให้ต้องอยู่เวรยาม โดยไม่ได้รับค่าตอบแทน เพราะทำงานปกติอยู่แล้ว แต่ต้องรับภาระเวรยามนอกเวลา หรือเกินเวลาทำงาน 8 ชั่วโมง) ฯลฯ เพื่อป้องกันการตีความการเบิกจ่ายงบประมาณตามอำเภอใจ จนก่อให้เกิดความเสียหายในภายหลังได้
.
7. กำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นหน่วยราชการสำหรับการสนับสนุนนโยบายของกระทรวง ทบวง กรม และนโยบายโดยตรงของคณะรัฐมนตรีทั้งคณะ และมีบทบาทหน้าที่หลักในการส่งเสริมสนับสนุนองค์กรสาธารณประโยชน์ภาคประชาชนของรัฐ และของเอกชน โดยมีกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สภาองค์กรพัฒนาชุมชนเป็นหน่วยงานกลาง ประสานงาน และปฏิบัติงานร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมถึงมีอำนาจหน้าที่ในการประเมินคุณภาพ ศักยภาพ และประสิทธิภาพ ตลอดจนพัฒนาการขององค์กรสาธารณประโยชน์ภาคประชาชนของรัฐ และของเอกชนในแต่ละท้องถิ่น รายงานต่อคณะรัฐมนตรีทั้งคณะ เพื่อประโยชน์ในการปรับปรุงงบประมาณในด้านต่างๆ เพื่อจัดสรรให้กับแต่ละองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการอุดหนุนเฉพาะกิจไปยังองค์กรสาธารณประโยชน์ภาคประชาชนของรัฐ และของเอกชน ในแต่ละท้องถิ่นได้อย่างเป็นธรรม เหมาะสม
.
8.กำหนดให้สำนักงานส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้ส่งเสริมศักยภาพ ประสิทธิภาพ และพัฒนาทรัพยากรบุคคลทั้งข้าราชการ และลูกจ้างในทุกระดับ ควบคุมกำกับดูแล ทั้งในด้านการประเมินประสิทธิภาพ และความประพฤติ ตลอดจนความโปร่งใสในการบริหารราชการแผ่นดินในระดับท้องถิ่น ไม่ให้เกิดการเล่นพรรคเล่นพวก การใช้งานผิดประเภท การใช้หน่วยราชการเป็นแหล่งส่องสุมส่งผิดกฏหมาย หรือการกระทำอันขัดต่อศีลธรรม การใช้ดุลยพินิจส่วนตนในการประเมินผลการปฏิบัติงานของราชการ หรือการใช้อำนาจไปกดดันข้าราชการ ลูกจ้าง ให้กระทำในสิ่งที่ขัดต่อกฏหมาย หรือศีลธรรม จรรยาบรรณในวิชาชีพ เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการประเมินให้รางวัลต่างๆ หรือค่าตอบแทนพิเศษใดๆ รวมถึงการปรับขึ้นเงินเดือนให้มีมาตราฐาน เป็นธรรม และเป็นการป้องปรามในการใช้อำนาจโดยมิชอบของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ หรือคณะผู้บริหารในแต่ละท้องถิ่น ซึ่งจะทำให้การบริหารราชการแผ่นดินเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนได้อย่างแท้จริง
.
9. กำหนดให้ทุกท้องถิ่น ต้องมีการขับเคลื่อนของสภาหอการค้าระดับท้องถิ่น โดยมีสภาหอการค้าจังหวัดเป็นแม่งานในการขับเคลื่อน สร้างเครือข่าย องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ต้องได้รับงบประมาณจากภาครัฐ ในการอุดหนุนกิจกรรมของสภาหอการค้าในระดับท้องถิ่น เช่น การจัดการประชุมประจำปี การส่งเสริมศักยภาพของผู้ประกอบการค้าในท้องถิ่น การพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการในท้องถิ่นในด้านไอที(ระบบสารสนเทศ) การออกแบบบรรจุภัณฑ์ การทำสื่อการค้า การเจาะกลุ่มเป้าหมาย การสร้างฐานการตลาดสำหรับกลุ่มนักท่องเทียว และการยกระดับการท่องเที่ยวในระดับท้องถิ่นให้เป็นที่รู้จักในระดับสากล โดยต้องเชื่อมโยงการท่องเที่ยวในระดับท้องถิ่น ให้เรียงร้อยสร้างความสัมพันธ์กันได้อย่างกลมกลืน เป็นไปในบริบทเดียวกันทั้งอำเภอ จังหวัด และประเทศ โดยคงอัตลักษณ์ของแต่ละท้องถิ่นไว้ได้อย่างลงตัว โดยมีสภาหอการค้าท้องถิ่นเป็นผู้จัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจด้านการค้าขายในท้องถิ่นนั้นๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่