ทางออกในการแก้ปัญหา "ความเหลื่อมล้ำ" ของไทย คืออะไร ?



หลายคนมองว่า คนรวย กับ คนจน ช่องว่างมันห่างขึ้นเรื่อยๆ มันเกิดจากอะไร หรือเกิดจากคนรวย กินรวบคนจน??

แต่แท้จริง คือ การแบ่งระหว่างกลุ่มที่วิ่งอยู่บนการแข่งขันบนเวทีโลก และกลุ่มที่กำลังหลุดจากลู่วิ่ง และกลุ่มที่หลุดไปแล้ว

เหมือนการสอบตกในการเรียนหนังสือ คนสอบตกอาจด่าคนสอบได้ที่ 1 ว่า

... ทำให้การตัดเกรด กราฟสูงเกินไป ทำไมไม่ทำคะแนนน้อยๆ ...


อย่างไรก็ตาม การมาสร้างความเกลียดชังคนรวย ไม่ได้ทำให้ช่องว่างความเหลื่อมล้ำลดลง การที่จะให้ทุกคนเท่ากัน ทำได้สองแบบ คือ

• ดึงข้างบนลง มาจนเท่าเทียม หรือ
• ไม่ก็ดึงข้างล่างขึ้น ซึ่งยากกว่า แต่เป็นทางที่ถูกต้อง

การจะดึงข้างล่างขึ้นไปได้นั้น หลีกเลี่ยงไม่ได้ว่า ต้องให้ความรู้ ให้โอกาส และร่วมกันเดิน พี่จูงน้องไปด้วยกัน แต่จริงๆ แล้วมันไม่ได้มีแค่รายใหญ่ กับรายเล็ก แต่มันมีพ่อค้าคนกลางในทุกธุรกิจอีกหลายชั้นกว่าจะถึงแรงงาน และเกษตรกร ดังนั้น ตรงกลางนี่แหละที่ต้องมาช่วยแบกรับความเสี่ยงด้วย ไม่ใช่ว่า พ่อค้าคนกลางจะหลุดจากสมการลดความเหลื่อมล้ำไปได้

นับวันช่องว่างก็จะยิ่งห่าง ไม่ใช่แค่ช่องว่างรายได้ และยังมีช่องว่างทางความคิด ...ทำให้เกิดการเกลียดชังคนรวย ...  จะเห็นได้จากนิยามต่างๆ ที่คิดขึ้นมา เพื่อสร้างความเกลียดชังระบบทุน เช่น กลุ่มธนาคาร ปตท ซีพี ไทยเบฟ เซ็นทรัล ดังนั้นการจะลดช่องว่างนั้น ไม่ใช่มาด่ากันแล้วช่องว่างจะลด แต่ต้องร่วมมือกัน

... หลักการเอารายใหญ่มาช่วยรายเล็กนั้นก็คือ การมาช่วยรับความเสี่ยง ... ไม่ใช่มาอุ้ม หรือช่วย subsidize แต่ต้องสร้างความเติบโตไปแบบ Inclusive

ปัจจัยอะไรบ้างที่จะช่วยสร้างการเติบโตอย่างมีส่วนร่วมให้เกิดขึ้นได้จริง


ปัจจัยที่สำคัญมีอยู่ 5 ด้าน ที่จะช่วยให้การเติบโตของไทยก่อให้เกิดความเท่าเทียมกันมากขึ้น

1. ภาคการเงิน โดยเฉพาะประเด็นเรื่อง การเข้าถึงสินเชื่อการประกอบการ หรือการลงทุนของคนยากจน เพราะสินเชื่อเป็นการรับประกันทั้งผลประโยชน์ และโอกาสที่เกิดจากการลงทุน หากสินเชื่อมีการกระจุกตัวเฉพาะคนรวย การเติบโตทางเศรษฐกิจที่อาศัยทุนเป็นใหญ่ก็ย่อมกระจุกตัวเฉพาะคนรวยเช่นเดียวกัน  เช่น การมี Fintech ในบ้านเรา แทนที่จะด่าว่าธนาคารตายแน่ๆ ก็อาจต้องมองประโยชน์ด้วยว่า คนมีรายได้น้อยกว่า 15,000 บาทนั้นมีถึง 60% ของคนทั้งประเทศ บัตรเครดิตก็ไม่มี กู้เงินก็ไม่ได้ แต่ fintech จะมาทำ ไมโครไฟแนนซ์ ทำให้ถึงแหล่งเงิน ในดอกเบี้ยราคาถูก แทนที่จะกู้นอกระบบ เป็นต้น

2. ภาคแรงงาน โดยเฉพาะประเด็นการทำงานในระบบของแรงงาน กล่าวคือ การที่แรงงานต้องมีหลักประกันในการทำงานที่ดี เช่น การเป็นแรงงานในระบบ หรือการเข้าสู่ระบบประกันสังคม เนื่องจากหลักประกันเป็นรูปแบบหนึ่งของการเติบโตที่ดีขึ้นไปพร้อมๆ กัน ทั้งแรงงาน และนายทุน แรงงานต้องได้รับค่าแรงสูง ที่ผ่านมาแรงงานต่างด้าวทำให้ค่าแรงเรายังต่ำ ทำให้แรงงานไทยจนตามไปด้วย สุดท้าย แรงงานไทยไม่มีงาน สู้แรงงานต่างด้าวไม่ได้ เพราะเราไม่ขยับขึ้นไปแข่งที่ฝีมือ

3. ภาคการพัฒนา ซึ่งเน้นไปที่ความสมดุลของการพัฒนาระหว่างเมือง และชนบท หากการพัฒนามีความแตกต่างกันมาก จะทำให้เกิดการอพยพของแรงงานเข้ามาทำงานในเมือง เราต้องสร้างให้ภาคเกษตรทำเงินดี คนจะได้กลับไปทำเกษตร มันต้องมีอนาคต คนรุ่นใหม่จึงจะกลับไปทำ ต้องเอาเทคโนโลยี และตลาดเข้าไปช่วย รายใหญ่ต้องเข้าไปรับความเสี่ยงแทน ลดการเอาเปรียบจากพ่อค้าคนกลาง

4. การศึกษา เราควรจะต้องเน้นเด็กที่ทั้งเก่ง และดี ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ทุกคนมีความเก่งแตกต่างกัน ปัญหาคือโรงเรียนเน้นแต่ห้องking ต้องเปลี่ยนแนวคิดนี้ พัฒนาโรงเรียน 20,000 โรงเรียนให้มีคุณภาพใกล้เคียงกัน ลดการย้ายผู้บริหาร ทำระบบให้โปร่งใส วัดผลได้ มีการแข่งขันแท้จริง ยกเลิกระบบเรียนฟรี มาเป็นคูปองเรียนฟรี ให้อำนาจกลับไปอยู่ที่ผู้ปกครองเลือกเอาคูปองไปใช้เรียนโรงเรียนเอกชนได้ จึงจะเกิดการแข่งขันจริง

5. ภาคการเมือง นโยบายทางการเมืองต้องไม่เป็นลักษณะของการอุดหนุน แม้ว่าการอุดหนุนจะช่วยให้คนจนมีรายได้สูงขึ้น แต่ก็ไม่ใช่เป็นการแบ่งปันผลประโยชน์ รวมทั้งยังไม่ใช่การสร้างโอกาสให้มีความเสมอภาคมากขึ้นอีกด้วย นโยบายที่ดี จึงควรมีลักษณะเป็นการยกระดับคุณภาพแรงงาน และสร้างประสิทธิภาพในการผลิต ซึ่งอาจจะไม่ทันใจในการลดความเหลื่อมล้ำเท่ากับการอุดหนุน แต่จะทำให้เกิดการมีส่วนร่วมในการเติบโตในระยะยาว

เจ้าหอบเงินหากเราหยุดด่ากันเอง แล้วช่วยหาทางออก แล้วคุณหล่ะคิดยังไง ?นางพญาเม่า
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่