หั่นตัวเลขโตเศรษฐกิจเอเชีย ปี 69 เหลือ 4.3% ธนาคารโลก เตือนเสี่ยงซึมยาว

KEY POINTS
ธนาคารโลกปรับลดคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกในปี 2569 เหลือ 4.3% จาก 4.8% ในปี 2568

ปัจจัยหลักที่ทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวมาจากเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแรง ความไม่แน่นอนทางการค้าจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ และการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน

ธนาคารโลกเตือนถึงความเสี่ยงที่เศรษฐกิจอาจซบเซาเป็นเวลานาน เนื่องจากความไม่แน่นอนทางนโยบายที่อยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 25 ปี ทำให้ภาคธุรกิจชะลอการลงทุน

ธนาคารโลก เผยรายงาน East Asia and Pacific Economic Update เดือนตุลาคม 2568 ว่าภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก (EAP) กำลังเผชิญภาวะชะลอตัวทางเศรษฐกิจ โดยแม้จะยังเติบโตในระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลก แต่แรงส่งเริ่มอ่อนลงต่อเนื่องจากแรงกระแทกหลายด้าน ทั้งเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแรง ความไม่แน่นอนทางการค้า และปัญหาเชิงโครงสร้างภายในประเทศ

ธนาคารโลก คาดว่าอัตราการเติบโตของภูมิภาคปี 2568 จะอยู่ที่ 4.8% ก่อนลดลงเหลือ 4.3% ในปี 2569 โดยเฉพาะจีนซึ่งเป็นเศรษฐกิจใหญ่สุดในภูมิภาค คาดว่าจะชะลอจาก 4.8% เหลือ 4.2% จากผลของการลดมาตรการกระตุ้นทางการคลังและปัญหาหนี้สาธารณะที่เพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ประเทศไทยและอินโดนีเซียมีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ย 1.6–4.8% ซึ่งยังต่ำกว่าศักยภาพทางเศรษฐกิจที่ควรเป็น

ภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก (EAP) ยังเผชิญแรงกดดันจากการค้าโลก หลังสหรัฐอเมริกาใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้สินค้าจากจีนและประเทศเอเชียตะวันออก ส่งผลให้การส่งออกของภูมิภาคหดตัวลงในหลายหมวดสินค้า โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมสิ่งทอในกัมพูชา เมียนมา และลาว ขณะที่ไทย มาเลเซีย และเวียดนามได้รับผลกระทบน้อยกว่า เนื่องจากยังคงมีความได้เปรียบด้านอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์

แบบจำลองทางเศรษฐกิจของธนาคารโลกประเมินว่า มาตรการภาษีใหม่ของสหรัฐฯ อาจทำให้มูลค่าการส่งออกของภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกลดลงถึง 30–50% ในบางหมวดสินค้า แม้รายได้รวมจะไม่ได้ลดลงมากนัก เนื่องจากประเทศผู้ส่งออกขนาดกลางเริ่มปรับเส้นทางการค้าไปยังตลาดใหม่ เช่น อินเดีย ตะวันออกกลาง และอาเซียนภายใน แต่ธนาคารโลกเตือนว่ากฎ “แหล่งกำเนิดสินค้า” ที่เข้มงวดขึ้น อาจทำให้ต้นทุนการส่งออกสูงขึ้นและลดความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทานโลก

ขณะเดียวกัน ความไม่แน่นอนทางนโยบายเศรษฐกิจยังอยู่ในระดับสูงสุดในรอบกว่า 25 ปี ดัชนี Trade Policy Uncertainty พุ่งแตะระดับสูงสุดนับจากปี 2540 โดยบริษัทในภูมิภาคจำนวนมากชะลอการลงทุนและใช้แนวทาง “รอดูสถานการณ์” ส่งผลให้การขยายตัวของการจ้างงานและการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่เริ่มสะดุด

ธนาคารโลกระบุว่า การเติบโตของเศรษฐกิจโลกโดยรวมกำลังอ่อนแรง โดยหากกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว (G7) มีการชะลอตัวลง 1 จุดร้อยละ จะกระทบต่อการเติบโตของประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกลดลงประมาณ 0.6 จุดร้อยละ ปีถัดไป ส่วนการชะลอตัวของจีนจะทำให้ประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคเติบโตลดลงอีก 0.3 จุดร้อยละ

แม้ตลาดการเงินโลกเริ่มผ่อนคลายหลังธนาคารกลางหลักปรับลดดอกเบี้ย แต่อัตราแลกเปลี่ยนของหลายประเทศในภูมิภาคกลับแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ขีดความสามารถการแข่งขันด้านส่งออกลดลง ขณะเดียวกันกระแสเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้าเพิ่มขึ้นก็สร้างแรงกดดันต่อค่าเงินและเสี่ยงต่อภาวะเงินร้อน

รายงานชี้ว่า การใช้มาตรการกระตุ้นทางการคลังระยะสั้นอาจช่วยพยุงเศรษฐกิจได้เพียงชั่วคราว แต่ไม่สามารถสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ตัวอย่างเช่น จีนมีหนี้สาธารณะเพิ่มเป็นกว่า 70% ของ GDP ส่วนอินโดนีเซียใช้งบประมาณส่วนใหญ่ไปกับการอุดหนุนพลังงานและขนส่งมากกว่าการลงทุนระยะยาว ซึ่งอาจจำกัดขอบเขตการฟื้นตัวในอนาคต

ในทางกลับกัน ประเทศที่เริ่มปฏิรูปเชิงโครงสร้าง เช่น ฟิลิปปินส์และเวียดนาม กลับมีแนวโน้มเติบโตแข็งแกร่งกว่า ฟิลิปปินส์เปิดเสรีภาคโทรคมนาคมและโลจิสติกส์เพื่อเพิ่มการแข่งขัน ส่วนเวียดนามเดินหน้าลดจำนวนกระทรวง จังหวัด และข้าราชการกว่า 100,000 ตำแหน่ง เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการบริหารภาครัฐและสร้างบรรยากาศทางธุรกิจที่เอื้อต่อการลงทุน

ธนาคารโลกเน้นว่า หัวใจสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจภูมิภาคในระยะยาวคือ “การสร้างงานที่มีคุณภาพ” เพราะนอกจากจะสร้างรายได้ ยังเป็นพื้นฐานของศักดิ์ศรีและความมั่นคงทางสังคม แม้อัตราการจ้างงานโดยรวมยังสูง แต่แรงงานหนุ่มสาวหนึ่งในเจ็ดคนในจีนและอินโดนีเซียยังว่างงาน และแรงงานหญิงมีส่วนร่วมในตลาดแรงงานต่ำกว่าผู้ชายถึง 15%

รายงานเสนอให้ประเทศในภูมิภาคดำเนินการ สามแนวทางหลัก ได้แก่
1. เสริมสร้างศักยภาพมนุษย์ ด้วยการพัฒนาทักษะ การศึกษา และสุขภาพ เพื่อรองรับเทคโนโลยีใหม่
2. ขยายโอกาสทางเศรษฐกิจ โดยลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทั้งด้านคมนาคม พลังงาน และดิจิทัล เพื่อเปิดทางให้ธุรกิจใหม่เกิดขึ้นได้ง่าย
3. เพิ่มการประสานนโยบาย ระหว่างการพัฒนาคนและการเติบโตทางเศรษฐกิจ เพื่อให้เดินไปในทิศทางเดียวกัน

ธนาคารโลกระบุว่า การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อแรงงานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น เวียดนามที่การใช้หุ่นยนต์เพิ่มขึ้นหนึ่งตัวต่อแรงงาน 1,000 คน ส่งผลให้ค่าจ้างเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 2–4% และการจ้างงานเพิ่มขึ้น 6–9%
แต่ในอีกด้านหนึ่งแรงงานทักษะต่ำกว่า 1.4 ล้านคนต้องย้ายไปอยู่นอกระบบ ซึ่งธนาคารโลกชี้ว่าภูมิภาคต้องเร่งปรับตัวให้ทัน เพื่อไม่ให้ตกขบวนของเศรษฐกิจใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี
 


แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่