คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 13
ผมจะขอเล่าประวัติต่ออีกหน่อยนะครับ...เพื่อมีคนอยากฟัง
เริ่มต้นผมอาศัยอยู่ที่กรุงเทพ ที่มีคลองอยู่ข้างบ้าน (เพิ่งมารู้ตอนโต ว่าเค้าเรียกว่า สลัม) และเกิดที่โรงพยาบาลราชวิถี
เติบโตกับครอบครัวที่มีปัญหาหย่าร้างกันตั้งแต่เด็ก (แต่ผมไม่ได้เอาปัญหาตรงนี้มาใส่ใจนะ)
ผมได้มาอยู่กับแม่ ส่วนพ่อไม่ได้เจออีกเลยตั้งแต่ผมอยู่ป.1
ต่อมา แม่ผมได้มาทำงานเป็นพนักงานเย็บผ้า และตัวผมได้เรียนที่โรงเรียนวัด ธรรมงคล
พอผมขึ้น ป.3 แม่ตัดสินใจหนีปัญหาความจน ด้วยการไปทำงานเป็นแม่บ้าน(คนรับใช้)ที่ประเทศฮ่องกง
ไปตั้งแต่ยังพูดภาษาเค้าไม่ได้ เพื่อให้มีพอส่งเงินมาให้ที่บ้าน เนื่องจากมีญาติแนะนำมา
ส่วนตัวผมต้องย้ายไปอยู่กับยายที่จังหวัดสระแก้ว และไปเรียนที่นั่น
แม่ยอมทำงานที่ต่างประเทศ เพื่อหวังว่าลูกจะมีเงินกินใช้และเรียนจนจบ ม.6
ต่อมา แม่โชคดีมีคนรู้จักชวนไปทำงานที่สวีเดน เพื่อไปทำเป็นแม่ครัวที่นั่น ทำให้ฐานะเราดีขึ้นนิดนึง
แม่เลยส่งเงินทั้งหมดมาให้ยายและลูกสร้างบ้าน หลังเล็กๆ(แต่ก่อนอยู่บ้านยาย บ้านไม้ผุๆ)
และแม่ก็ตัดสินใจ ให้ลูกคนเดียวของเค้าได้เรียนต่อในมหาลัย
จนกระทั่งผมเรียน จบและได้ทำงาน เหมือนทุกอย่างเริ่มลงตัว
แล้วก็เหมือนฟ้าแกล้งกัน ยายป่วยเป็นมะเร็ง แม่ต้อง พักงาน เพื่อมาดูแล และใช้เงินรักษา
ผมจากที่ทำงาน ก็ใช้เงินที่หาได้มาช่วย เพราะต้องรักษาโดยใช้เวลานาน
จนหมดทุกบาท และติดลบ เพื่อหวังว่าอยากให้ยายเห็นความสำเร็จของครอบครัวที่มันกำลังจะดีขึ้น ต้องรักษาเท่าไร ที่ไหนดีไปหมด
ต่อมา ผมตัดสินใจบวชทันที เพราะกลัวยายไม่ได้เห็นผ้าเหลืองของหลานชาย แต่ตอนนี้ยายไม่สามารถออกไปจากโรงบาลได้แล้ว
ซึ่งยาย ได้นอนเตียงด้านนอกเพื่อให้ไกล้หมอมากที่สุด เนื่องจากอาการยายไม่ค่อยดีเลยนอนห้องพิเศษแล้วกลัวหมอไม่เห็น
เพราะต้องต่อสายออซิเจนไว้ฉุกเฉินตลอด ผมจึงต้องเข้ามาในโรงพยาบาล เพื่อให้ยายเป็นคนตัดผมใส่ใบบัวของผมในการบวช
ทุกเตียงด้านข้างโดยรอบ เต็มไปด้วยน้ำตาและร้องไห้ไปพร้อมๆกัน ทั้งๆที่ไม่ได้รู้จักกันมาก่อน
ยายไม่สามารถ ออกไปไหนได้ ในวันที่โปรยเหรียญ จึงมีคนเอาเหรียญที่โปรยไปใส่มือให้ยายที่ร.พ. เพื่อให้ยายได้รับรู้ว่าหลานบวชให้
และช่วงตี 2 โดยประมาน ของวันแรกที่ผมเพิ่งได้เข้ามาอยู่ในวัด มีเสียงโทรศัพท์มาบอกหลวงตาว่า ยายของพระบวชใหม่จากไป
ไม่มีวันกลับมาแล้ว ผมทำอะไรไม่ถูกจึงรีบห่มผ้าแต่งพระ(ซิ่งวันแรกยังทำไม่เป็น) หลวงตาจึงมาแต่งให้ ไปพร้อมๆกับน้ำตาที่ไหลออกมาไม่หยุด
แล้วรีบไปหายายที่ร.พ ทันที และต่อมาก็ได้นำยายไปไว้ในวัดที่ผมนั้นบวชอยู่
บ้านที่สร้างให้ยายอยู่นั้นก็เพิ่งสร้างให้ยายและลูกได้ไม่นาน ยายไม่ได้เห็นความสำเร็จ ที่เรากำลังพยายามทำให้ดีขึ้นเลย
ต่อมาอีก 1ปีหลังจากยายเสียไป ผมก็ได้ใช้ชีวิตในฐานะพนักงานเงินเดือนต่อ เหลือเก็บไม่มาก แต่ต้องทำต่อลมหายใจ
"ตอนนี้เหลือ ผมอยู่ในประเทศไทยคนเดียว แล้ว" หันไปทางไหนก็มีแต่ความเงียบ ถ้าวันไหนลืมเปิดไฟทิ้งไว้
บ้านจะมืดและเงียบ จนมองไม่เห็นหน้าบ้านเลย ต้องใช้ไฟรถส่องเข้าไปเอา
ทุกวันที่เดินเข้าบ้าน จะมีความเหงา ความโดดเดี่ยว เข้ามาเกาะที่จิตใจตลอด
ในช่วงเทศกาลต่างๆที่ข้างบ้านมีงานญาติพี่น้องเข้ามากันเยอะๆ วันนั้นจะเป็นวันที่ผมไม่เข้าบ้าน เพราะเห็นก็อดคิดไม่ได้
อาจจะไปหาร้านข้าวโตรุ่งแล้วค่อยกลับดึกๆเอา กินข้าวบ้างทีก็ร้องไห้(มันอธิบายไม่ถูกจริงๆ)
ผมมีญาติแต่ต่างคนต่างอยู่ แทบไม่สนิทหรือรู้จักกัน
แล้วก็ผ่านไปอีก 2 ปี กับชีวิตแบบเดิม ที่ผมใช้ชีวิตคนเดียว โทรหาแม่บ้าง/แม่โทรมาบ้างในบางครั้ง
แต่ก็ไม่คลาย ความเหงาหรือเดียวดายได้เลย
**และแม่ผมก็พูดขึ้นมาว่า " ถ้าแม่ป่วย ให้รักษาแม่ตามมีตามเกิดนะลูก อย่าเอาเงินมาหมดกับแม่ "
แม่ผมเสียสละ มอบการศึกษาให้ลูกทั้งที่ตัวเองไม่ได้เรียน , สร้างบ้านที่ตัวเองไม่ได้อยู่ , ความสุขที่แม่ควรจะมี แล้วยังจะสละชีวิตอีกหรอ
แม่ไม่เคยบอกว่าแม่รัก ผมขนาดไหน ตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยได้ยิน เค้าเข็มแข็ง อดทน มานานมาก
ความรักของแม่ เป็นคำอ่าน ที่ไม่ออกเสียง คงมีแต่หัวใจเท่านั้นที่อ่านได้
ตอนนี้ ผมก้มมองเงินที่เก็บมา เท่าไรถึงจะพอ เพื่อให้แม่สบายใจ ก็เลยถามแม่ไป ว่าผมต้องทำยังไงเราถึงจะได้อยู่ด้วยกัน
แม่ถึงจะได้มีความสุข ครอบครัวเราจะเป็นเหมือนคนอื่นบ้าง
แกเลยบอกความในใจก็มา ว่าแกกลัวกลับไปแล้วป่วยไม่มีเงินรักษา เลยอยากจะหาเงินไว้เยอะๆ แล้วจะกลับทีเดียว
ความสำเร็จ สำหรับผมคือความสบายใจครับ และผมยังทำให้คนที่ผมรักไม่ได้จนถึงทุกวันนี้
ปล.เดือนหน้าผมจะไปสอบเข้าข้าราชการครับ เป็นทหาร โอกาศติดมีน้อยเท่าไรผมก็จะหาทางไป ขอแค่รักษาฟรี แม่ผมได้กลับบ้านผมทำหมด
อย่างน้อยๆ ผมกับแม่ก็ยังยืนอยู่ในประเทศไทยเหมือนกัน ให้คนที่ผมรักสบายใจ นั่นคือความสำเร็จของผมแล้ว
ที่กล่าวมาทั้งหมด ไม่เคยพูดกับใคร เพราะผมไม่มีใคร อาจจะยาวหน่อยขออภัยด้วย
ขอบคุณที่รับฟัง ครับผม
เริ่มต้นผมอาศัยอยู่ที่กรุงเทพ ที่มีคลองอยู่ข้างบ้าน (เพิ่งมารู้ตอนโต ว่าเค้าเรียกว่า สลัม) และเกิดที่โรงพยาบาลราชวิถี
เติบโตกับครอบครัวที่มีปัญหาหย่าร้างกันตั้งแต่เด็ก (แต่ผมไม่ได้เอาปัญหาตรงนี้มาใส่ใจนะ)
ผมได้มาอยู่กับแม่ ส่วนพ่อไม่ได้เจออีกเลยตั้งแต่ผมอยู่ป.1
ต่อมา แม่ผมได้มาทำงานเป็นพนักงานเย็บผ้า และตัวผมได้เรียนที่โรงเรียนวัด ธรรมงคล
พอผมขึ้น ป.3 แม่ตัดสินใจหนีปัญหาความจน ด้วยการไปทำงานเป็นแม่บ้าน(คนรับใช้)ที่ประเทศฮ่องกง
ไปตั้งแต่ยังพูดภาษาเค้าไม่ได้ เพื่อให้มีพอส่งเงินมาให้ที่บ้าน เนื่องจากมีญาติแนะนำมา
ส่วนตัวผมต้องย้ายไปอยู่กับยายที่จังหวัดสระแก้ว และไปเรียนที่นั่น
แม่ยอมทำงานที่ต่างประเทศ เพื่อหวังว่าลูกจะมีเงินกินใช้และเรียนจนจบ ม.6
ต่อมา แม่โชคดีมีคนรู้จักชวนไปทำงานที่สวีเดน เพื่อไปทำเป็นแม่ครัวที่นั่น ทำให้ฐานะเราดีขึ้นนิดนึง
แม่เลยส่งเงินทั้งหมดมาให้ยายและลูกสร้างบ้าน หลังเล็กๆ(แต่ก่อนอยู่บ้านยาย บ้านไม้ผุๆ)
และแม่ก็ตัดสินใจ ให้ลูกคนเดียวของเค้าได้เรียนต่อในมหาลัย
จนกระทั่งผมเรียน จบและได้ทำงาน เหมือนทุกอย่างเริ่มลงตัว
แล้วก็เหมือนฟ้าแกล้งกัน ยายป่วยเป็นมะเร็ง แม่ต้อง พักงาน เพื่อมาดูแล และใช้เงินรักษา
ผมจากที่ทำงาน ก็ใช้เงินที่หาได้มาช่วย เพราะต้องรักษาโดยใช้เวลานาน
จนหมดทุกบาท และติดลบ เพื่อหวังว่าอยากให้ยายเห็นความสำเร็จของครอบครัวที่มันกำลังจะดีขึ้น ต้องรักษาเท่าไร ที่ไหนดีไปหมด
ต่อมา ผมตัดสินใจบวชทันที เพราะกลัวยายไม่ได้เห็นผ้าเหลืองของหลานชาย แต่ตอนนี้ยายไม่สามารถออกไปจากโรงบาลได้แล้ว
ซึ่งยาย ได้นอนเตียงด้านนอกเพื่อให้ไกล้หมอมากที่สุด เนื่องจากอาการยายไม่ค่อยดีเลยนอนห้องพิเศษแล้วกลัวหมอไม่เห็น
เพราะต้องต่อสายออซิเจนไว้ฉุกเฉินตลอด ผมจึงต้องเข้ามาในโรงพยาบาล เพื่อให้ยายเป็นคนตัดผมใส่ใบบัวของผมในการบวช
ทุกเตียงด้านข้างโดยรอบ เต็มไปด้วยน้ำตาและร้องไห้ไปพร้อมๆกัน ทั้งๆที่ไม่ได้รู้จักกันมาก่อน
ยายไม่สามารถ ออกไปไหนได้ ในวันที่โปรยเหรียญ จึงมีคนเอาเหรียญที่โปรยไปใส่มือให้ยายที่ร.พ. เพื่อให้ยายได้รับรู้ว่าหลานบวชให้
และช่วงตี 2 โดยประมาน ของวันแรกที่ผมเพิ่งได้เข้ามาอยู่ในวัด มีเสียงโทรศัพท์มาบอกหลวงตาว่า ยายของพระบวชใหม่จากไป
ไม่มีวันกลับมาแล้ว ผมทำอะไรไม่ถูกจึงรีบห่มผ้าแต่งพระ(ซิ่งวันแรกยังทำไม่เป็น) หลวงตาจึงมาแต่งให้ ไปพร้อมๆกับน้ำตาที่ไหลออกมาไม่หยุด
แล้วรีบไปหายายที่ร.พ ทันที และต่อมาก็ได้นำยายไปไว้ในวัดที่ผมนั้นบวชอยู่
บ้านที่สร้างให้ยายอยู่นั้นก็เพิ่งสร้างให้ยายและลูกได้ไม่นาน ยายไม่ได้เห็นความสำเร็จ ที่เรากำลังพยายามทำให้ดีขึ้นเลย
ต่อมาอีก 1ปีหลังจากยายเสียไป ผมก็ได้ใช้ชีวิตในฐานะพนักงานเงินเดือนต่อ เหลือเก็บไม่มาก แต่ต้องทำต่อลมหายใจ
"ตอนนี้เหลือ ผมอยู่ในประเทศไทยคนเดียว แล้ว" หันไปทางไหนก็มีแต่ความเงียบ ถ้าวันไหนลืมเปิดไฟทิ้งไว้
บ้านจะมืดและเงียบ จนมองไม่เห็นหน้าบ้านเลย ต้องใช้ไฟรถส่องเข้าไปเอา
ทุกวันที่เดินเข้าบ้าน จะมีความเหงา ความโดดเดี่ยว เข้ามาเกาะที่จิตใจตลอด
ในช่วงเทศกาลต่างๆที่ข้างบ้านมีงานญาติพี่น้องเข้ามากันเยอะๆ วันนั้นจะเป็นวันที่ผมไม่เข้าบ้าน เพราะเห็นก็อดคิดไม่ได้
อาจจะไปหาร้านข้าวโตรุ่งแล้วค่อยกลับดึกๆเอา กินข้าวบ้างทีก็ร้องไห้(มันอธิบายไม่ถูกจริงๆ)
ผมมีญาติแต่ต่างคนต่างอยู่ แทบไม่สนิทหรือรู้จักกัน
แล้วก็ผ่านไปอีก 2 ปี กับชีวิตแบบเดิม ที่ผมใช้ชีวิตคนเดียว โทรหาแม่บ้าง/แม่โทรมาบ้างในบางครั้ง
แต่ก็ไม่คลาย ความเหงาหรือเดียวดายได้เลย
**และแม่ผมก็พูดขึ้นมาว่า " ถ้าแม่ป่วย ให้รักษาแม่ตามมีตามเกิดนะลูก อย่าเอาเงินมาหมดกับแม่ "
แม่ผมเสียสละ มอบการศึกษาให้ลูกทั้งที่ตัวเองไม่ได้เรียน , สร้างบ้านที่ตัวเองไม่ได้อยู่ , ความสุขที่แม่ควรจะมี แล้วยังจะสละชีวิตอีกหรอ
แม่ไม่เคยบอกว่าแม่รัก ผมขนาดไหน ตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยได้ยิน เค้าเข็มแข็ง อดทน มานานมาก
ความรักของแม่ เป็นคำอ่าน ที่ไม่ออกเสียง คงมีแต่หัวใจเท่านั้นที่อ่านได้
ตอนนี้ ผมก้มมองเงินที่เก็บมา เท่าไรถึงจะพอ เพื่อให้แม่สบายใจ ก็เลยถามแม่ไป ว่าผมต้องทำยังไงเราถึงจะได้อยู่ด้วยกัน
แม่ถึงจะได้มีความสุข ครอบครัวเราจะเป็นเหมือนคนอื่นบ้าง
แกเลยบอกความในใจก็มา ว่าแกกลัวกลับไปแล้วป่วยไม่มีเงินรักษา เลยอยากจะหาเงินไว้เยอะๆ แล้วจะกลับทีเดียว
ความสำเร็จ สำหรับผมคือความสบายใจครับ และผมยังทำให้คนที่ผมรักไม่ได้จนถึงทุกวันนี้
ปล.เดือนหน้าผมจะไปสอบเข้าข้าราชการครับ เป็นทหาร โอกาศติดมีน้อยเท่าไรผมก็จะหาทางไป ขอแค่รักษาฟรี แม่ผมได้กลับบ้านผมทำหมด
อย่างน้อยๆ ผมกับแม่ก็ยังยืนอยู่ในประเทศไทยเหมือนกัน ให้คนที่ผมรักสบายใจ นั่นคือความสำเร็จของผมแล้ว
ที่กล่าวมาทั้งหมด ไม่เคยพูดกับใคร เพราะผมไม่มีใคร อาจจะยาวหน่อยขออภัยด้วย
ขอบคุณที่รับฟัง ครับผม
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 2
ผมยังเชื่อเสมอคนมีการศึกษาดี ชีวิตได้เปรียบ กว่าคนอื่น ๆ มาก รวมถึงความคิดการจัดการปัญหา การดำเนินชีวิต จากที่ผมเห็นมาในสังคมมันมีความแตกต่างกันชัดเจน การศึกษาที่ดีไม่ใช่แค่ จบป.ตรีนะครับ แต่หมายถึงเรียนแล้วสามารถทำงานได้ค่าตอบแทนที่ดีเพียงพอในการดำรงชีวิตและวางแผนอนาคตด้วย ป.ตรีหลายสาขาในบ้านเราค่าแรงแค่พอมีกินไปเดือนชนเดือนเท่านั้นเอง เพราะค่าแรงมันต่ำครับ
ต่อ ถ้าตอบให้ตรงคำถามก็คือ ถ้าตัวผมเองตอนนี้หมดหนี้สินแล้วอายุ 42 ที่เหลือเก็บเงินอย่างเดียวครับ การวางแผนของผมคือ
1. เก็บเงินต่อจากนี้ ไม่ใช่สร้างหนี้ต่อ
2. บ้านผมซื้อไม่เกินฐานะ รายได้ผมสามารถซื้อบ้านราคาหลังละ 7-10 ล้านได้สบาย ถ้าธนาคารยอมปล่อย แต่ผมตัดสินใจซื้อบ้านหลังละ 4.x ล้าน เพื่อผ่อน 3 ปีให้หมด เพราะไม่อยากรับความเสี่ยง (เดือนธันวา ปีนี้ก็ผ่อนหมดแล้วครับ)
3. มีงานอะไรก็ทำ ผมไม่ได้ทำงานเอาความสบายใจเหมือนผู้ใหญ่หรือเด็กวัยรุ่นฝันหา อยากได้งานตรงสาย ขนาดเคยเจอคนดูถูกเยอะแยะก็ต้องอดทน ยอมให้เขาดูถูกไป ทำงานเพื่อแลกเงินครับ
4. ผมมีแฟนทำราชการ สังกัด กระทรวง สธ ว่าจะอาศัยเมียกินตอนแก่ เพราะเมียได้บำนาญเดือนละ 2x,xxx บาท
5.มีเงินเก็บสะสมที่สหกรณ์ และ เรือนหุ้นของแฟน เอาดอกผลมาใช้ยามเกษียณ ตอนนี้มี 4.x ล้านกว่าบาทแล้ว ครบเกษียณน่าจะมีราว 15 ล้าน + -
6.ป้องกันรายจ่ายที่ไม่จำเป็น ของแพง ๆ บอกตามตรงส่วนใหญ่ผมไม่รู้จัก เพราะไม่ได้ติดตามเทรนด์ ผมมีแค่ของใช้แค่พอใช้ในชีวิตประจำวัน ผมรายได้หลายแสนบาท แต่ผมกินข้าวร้านข้างทาง 35-40 บาทครับ (ไม่ได้ประชดครับเรื่องจริง ไม่ใช่กระทู้วิ่งควาย ) แต่ปกติผมจะกินข้าวโรงอาหารของบริษัท มื้อนึงไม่เกิน 10 กว่าบาท 3 มื้อวันนึงก็ไม่เกิน 100 อยู่ดี ตรงนี้ดีที่ว่าบริษัทยังช่วยค่าอาหารผมอีกเดือนละ 1,xxx- 2,xxx บาท ทำให้ผมประหยัดไปได้เยอะเรื่องค่ากิน คือถ้ากินข้าวบริษัททั้ง 3 มื้อ ผมแทบไม่มีรายจ่ายค่ากินเลยในเดือนนั้น
7. ผมกับแฟนไม่เดินห้างแบบเที่ยว คือถ้าไม่มีธุระจำเป็นต้องซื้อของผมไม่เดินเลย คือเสร็จธุระก็รีบกลับ ไม่มีรายจ่ายเีกี่ยวกับห้างเท่าไหร่ ของบางอย่างซื้อทางผ่านก็พออุดหนุนโชว์ห่วยบ้างไม่ต้องแอบแฝงไปจ่ายในห้าง ซึ่งจ่ายเยอะแน่ถ้าเข้าห้าง
8.วันหยุดผมส่วนใหญ่ไม่ออกจากบ้านครับ ออกไปทีรายจ่ายก็มาทีนึง ส่วนใหญ่นอนดูทีวีหนังจีนยุคเก่า ๆ ของ ชอว์บราเดอร์ส ช่องมังกร 84 เป็นหลัก
9.มือถือ ผมไม่ไ่ด้เล่นเนต โทรศัพท์ เสื้อผ้า รองเท้า ทุกอย่างใช้ของบริษัทหมดครับ ของส่วนตัวแทบไม่ไ่ด้ซื้อเลยพวกไลน์ หรือเฟสไม่มีครับในเรื่องงาน มีเฉพาะใช้ในธุรกิจส่วนตัวที่จำเป็นเท่านั้น
10. ไม่มีลูก ที่จริงไม่ได้ตั้งว่าไม่มี เพียงแต่มันไม่มีเอง คือไม่มีก็ดีเหมือนกันเลยทำให้เก็บเงินได้เยอะ เพราะมีลูกคนนึงรายจ่ายมาก แถมถ้าเลี้ยงเขาไม่ดี ไม่มีการศึกษาดี จะลำบากทั้งเราและเขาในอนาคต หลายคนมีลูกไว้ให้เลี้ยงยามชรา
ทางที่ดี ถ้าคิดว่าตัวเองไม่ไหว ผมว่าวิธีนึงที่น่าทำคือ ป้องกันอย่ามีลูกครับ เพราะมีลูกไปแล้วเหมือนให้เขามาสืบทอด ทายาทความยากจนจากเราต่อไป ถ้าให้การศึกษาดีดีเขาไม่ได้โอกาสที่ลูกออกมาต้องเป็นเครื่องจักรทำงานให้คนรวยไปจนตายก็มีแน่นอน พอหมดประโยชน์เขาก็เขี่ยทิ้ง รอเป็นภาระคนอื่นหรือรับสวัสดิการภาครัฐ อีก ถ่ายทอดจากเราไปสู่รุ่นลูกแบบนี้ไม่ดีครับ
คนที่การศึกษาดีกว่ามันแตกต่างกัน ทั้งเรื่องเรียน การเรียนของลูก การทำงาน การวางแผนอนาคต รายได้ เงินออม การลงทุน ความปลอดภัย คุณภาพชีวิต ไม่มีตรงไหนเลยที่คนจนหรือคนการศึกษาที่ต่ำกว่าจะทำได้
คนกลุ่มนี้ตามกระทู้ด้านล่างคือแนวโน้มที่จะเป็นภาระลูกหลานกับภาระ สวัสดิการภาครัฐในอนาคต ซึ่งการวางแผนชีวิตยังไงก็สู้คนที่การศึกษาดีกว่าไม่ได้
https://pantip.com/topic/37152844
จะยกเว้น log in นึง คือ... พี่ค่ำไหนนอนนั่น พี่เขาเงินเดือน + รายได้อพาร์ทเม้น เกิน 1 แสน ภรรยาเป็น พญ รายได้ 3 แสน วางแผนส่งลูกเรียน ต่างประเทศ และไม่เป็นภาระกับใครในอนาคต การศึกษาที่ดีมากกก ทั้งครอบครัวมันส่งผลกับการวางแผนชีวิตมากครับ
ต่อ ถ้าตอบให้ตรงคำถามก็คือ ถ้าตัวผมเองตอนนี้หมดหนี้สินแล้วอายุ 42 ที่เหลือเก็บเงินอย่างเดียวครับ การวางแผนของผมคือ
1. เก็บเงินต่อจากนี้ ไม่ใช่สร้างหนี้ต่อ
2. บ้านผมซื้อไม่เกินฐานะ รายได้ผมสามารถซื้อบ้านราคาหลังละ 7-10 ล้านได้สบาย ถ้าธนาคารยอมปล่อย แต่ผมตัดสินใจซื้อบ้านหลังละ 4.x ล้าน เพื่อผ่อน 3 ปีให้หมด เพราะไม่อยากรับความเสี่ยง (เดือนธันวา ปีนี้ก็ผ่อนหมดแล้วครับ)
3. มีงานอะไรก็ทำ ผมไม่ได้ทำงานเอาความสบายใจเหมือนผู้ใหญ่หรือเด็กวัยรุ่นฝันหา อยากได้งานตรงสาย ขนาดเคยเจอคนดูถูกเยอะแยะก็ต้องอดทน ยอมให้เขาดูถูกไป ทำงานเพื่อแลกเงินครับ
4. ผมมีแฟนทำราชการ สังกัด กระทรวง สธ ว่าจะอาศัยเมียกินตอนแก่ เพราะเมียได้บำนาญเดือนละ 2x,xxx บาท
5.มีเงินเก็บสะสมที่สหกรณ์ และ เรือนหุ้นของแฟน เอาดอกผลมาใช้ยามเกษียณ ตอนนี้มี 4.x ล้านกว่าบาทแล้ว ครบเกษียณน่าจะมีราว 15 ล้าน + -
6.ป้องกันรายจ่ายที่ไม่จำเป็น ของแพง ๆ บอกตามตรงส่วนใหญ่ผมไม่รู้จัก เพราะไม่ได้ติดตามเทรนด์ ผมมีแค่ของใช้แค่พอใช้ในชีวิตประจำวัน ผมรายได้หลายแสนบาท แต่ผมกินข้าวร้านข้างทาง 35-40 บาทครับ (ไม่ได้ประชดครับเรื่องจริง ไม่ใช่กระทู้วิ่งควาย ) แต่ปกติผมจะกินข้าวโรงอาหารของบริษัท มื้อนึงไม่เกิน 10 กว่าบาท 3 มื้อวันนึงก็ไม่เกิน 100 อยู่ดี ตรงนี้ดีที่ว่าบริษัทยังช่วยค่าอาหารผมอีกเดือนละ 1,xxx- 2,xxx บาท ทำให้ผมประหยัดไปได้เยอะเรื่องค่ากิน คือถ้ากินข้าวบริษัททั้ง 3 มื้อ ผมแทบไม่มีรายจ่ายค่ากินเลยในเดือนนั้น
7. ผมกับแฟนไม่เดินห้างแบบเที่ยว คือถ้าไม่มีธุระจำเป็นต้องซื้อของผมไม่เดินเลย คือเสร็จธุระก็รีบกลับ ไม่มีรายจ่ายเีกี่ยวกับห้างเท่าไหร่ ของบางอย่างซื้อทางผ่านก็พออุดหนุนโชว์ห่วยบ้างไม่ต้องแอบแฝงไปจ่ายในห้าง ซึ่งจ่ายเยอะแน่ถ้าเข้าห้าง
8.วันหยุดผมส่วนใหญ่ไม่ออกจากบ้านครับ ออกไปทีรายจ่ายก็มาทีนึง ส่วนใหญ่นอนดูทีวีหนังจีนยุคเก่า ๆ ของ ชอว์บราเดอร์ส ช่องมังกร 84 เป็นหลัก
9.มือถือ ผมไม่ไ่ด้เล่นเนต โทรศัพท์ เสื้อผ้า รองเท้า ทุกอย่างใช้ของบริษัทหมดครับ ของส่วนตัวแทบไม่ไ่ด้ซื้อเลยพวกไลน์ หรือเฟสไม่มีครับในเรื่องงาน มีเฉพาะใช้ในธุรกิจส่วนตัวที่จำเป็นเท่านั้น
10. ไม่มีลูก ที่จริงไม่ได้ตั้งว่าไม่มี เพียงแต่มันไม่มีเอง คือไม่มีก็ดีเหมือนกันเลยทำให้เก็บเงินได้เยอะ เพราะมีลูกคนนึงรายจ่ายมาก แถมถ้าเลี้ยงเขาไม่ดี ไม่มีการศึกษาดี จะลำบากทั้งเราและเขาในอนาคต หลายคนมีลูกไว้ให้เลี้ยงยามชรา
ทางที่ดี ถ้าคิดว่าตัวเองไม่ไหว ผมว่าวิธีนึงที่น่าทำคือ ป้องกันอย่ามีลูกครับ เพราะมีลูกไปแล้วเหมือนให้เขามาสืบทอด ทายาทความยากจนจากเราต่อไป ถ้าให้การศึกษาดีดีเขาไม่ได้โอกาสที่ลูกออกมาต้องเป็นเครื่องจักรทำงานให้คนรวยไปจนตายก็มีแน่นอน พอหมดประโยชน์เขาก็เขี่ยทิ้ง รอเป็นภาระคนอื่นหรือรับสวัสดิการภาครัฐ อีก ถ่ายทอดจากเราไปสู่รุ่นลูกแบบนี้ไม่ดีครับ
คนที่การศึกษาดีกว่ามันแตกต่างกัน ทั้งเรื่องเรียน การเรียนของลูก การทำงาน การวางแผนอนาคต รายได้ เงินออม การลงทุน ความปลอดภัย คุณภาพชีวิต ไม่มีตรงไหนเลยที่คนจนหรือคนการศึกษาที่ต่ำกว่าจะทำได้
คนกลุ่มนี้ตามกระทู้ด้านล่างคือแนวโน้มที่จะเป็นภาระลูกหลานกับภาระ สวัสดิการภาครัฐในอนาคต ซึ่งการวางแผนชีวิตยังไงก็สู้คนที่การศึกษาดีกว่าไม่ได้
https://pantip.com/topic/37152844
จะยกเว้น log in นึง คือ... พี่ค่ำไหนนอนนั่น พี่เขาเงินเดือน + รายได้อพาร์ทเม้น เกิน 1 แสน ภรรยาเป็น พญ รายได้ 3 แสน วางแผนส่งลูกเรียน ต่างประเทศ และไม่เป็นภาระกับใครในอนาคต การศึกษาที่ดีมากกก ทั้งครอบครัวมันส่งผลกับการวางแผนชีวิตมากครับ
แสดงความคิดเห็น
คนทำที่ทำงานเป็นพนักงานปกติ วางแผนชีวิตกันยังไงให้อยู่รอด ไปตลอดจนแก่ โดยไม่ลำบากคนอื่น
เนื่องจาก ผมได้พบเจอกับตัวเอง เป็นพนักงานขายธรรมดา ใช้ชีวิต กับเงินเก็บเล็กๆน้อยๆ (เหมือนทำงานต่อลมหายใจไปวันๆ)
พนักงานธรรมดาอย่างเรา จะต้องหยุดได้ตอนไหน และต้องเก็บเงินไว้เท่าไร (กำหนดตัวเลขจำนวนเงินไว้ในใจ)
คิดว่าจำนวนเงินนั้นคือ จำนวนที่จะหาได้ในอาชีพพนักงาน และน่าจะใช่ความสำเร็จ
จนมาถึงวันนึงคนในครอบครัว ต้องใช้เงินในการรักษาพยาบาล ต้องใช้เยอะ ซิ่งหมอเรียกเราเท่าไรก็ต้องจ่าย เพื่อคนที่เรารัก
สุดท้าย ตัวเลขที่ผมกำหนดไว้ในใจ ที่เหนื่อยมานาน ยังไม่พอต่อการรักษา คนที่ผมรัก จนต้องหยิบยืมคนอื่นมา
หมายความว่าที่ทำมาทั้งหมด เพื่อมาจ่ายกับค่ารักษา + เป็นหนี้เพิ่ม
**มีคนบอกว่า ความสำเร็จไม่ใช่เงิน แต่คือความสบายใจ**
จนครอบครัวต้องหันไปมองคนที่รับราชการ เพียงเพื่อแลกกับการรักษาฟรี และให้ชีวิตสบายใจมีความสุข
ต่อให้ได้เงินเดือนน้อยๆก้ไม่เป็นไร
เพื่อนๆ มีความคิดเห็น วางแผนชีวิต อย่างไรกันบ้างครับ