เรามีเวลาเหลือในชีวิตเท่าไร?
ที่จะใช้ชีวิตของเราในแบบที่เราหลับตาฝันไว้ ไม่ต้องคิดถึงสิ่งที่เราแบกไว้บนบ่า ไม่ต้องคิดถึงชีวิตประจำวันอันแสนเบื่อหน่าย ไม่ต้องรู้จักใครทั้งนั้น เทมันให้หมด ถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆที่เราจะได้ทำอะไรบ้าๆ แต่สิ่งนั้นก็ได้มอบความมีชีวิตที่แท้จริงกลับคืนมาให้เราได้ ทุกข์ สุข เหนื่อยล้า สบาย รัก คิดถึง เกลียดชัง อภัย อดทน และปล่อยวาง
และนี่คือมอเตอร์ไซเคิลไดอารี่ที่บันทึก16วันของผมกับการเดินทางด้วยมอเตอร์ไซค์ไปในดินแดนสวรรค์ที่ถูกพระเจ้าลืมไว้ทางตอนเหนือของอินเดีย ที่ชื่อว่า”แคชเมียร์”
ก่อนอื่นผมต้องขอออกตัวแรงๆก่อนนะครับว่าผมไม่ใช่นักเขียนปากกาคม ไม่ใช่ช่างภาพฝีมือเทพเจ้า และไม่ใช่ไบเกอร์ในตำนานแต่อย่างใด ผมเป็นแค่คนธรรมดามากๆที่รักในการเดินทางด้วยมอเตอร์ไซค์และต้องการบันทึกเรื่องราวในแบบฉบับของตัวเองก็แค่นั้นครับผม.
การเดินทางในทริปนี้เริ่มต้นมาจากการเชิญชวนของรุ่นพี่คนนึง ซึ่งผมก็ตกปากรับคำทันที เพราะว่ามีความคึกคะนองที่อยากจะไปมานานแล้ว เราใช้เวลาเก็บเงินจากค่าขนมแปรเปลี่ยนเป็นค่าเดินทาง ค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าเช่ารถมอเตอร์ไซค์ ก็อดเบียร์หลายเดือนอยู่ และเตรียมอุปกรณ์ยังชีพ,เสื้อผ้าที่ใช้ในการขับขี่ เช่น เต็นท์ ถุงนอน เตาแก๊ส อาหารแห้ง แจ๊คเกตกันหนาว แต่เวลา3-4เดือนมันผ่านไปเร็วอย่างกับจรวดติดเทอร์โบ จากมีเวลาเตรียมทุกอย่างเหลือเฟือ รู้ตัวอีกทีคือต้องเดินทางพรุ่งนี้เสียแล้วสิ!
21ส.ค.2560
เวลาตีสามกว่าๆผมได้พาร่างไร้วิญญาณเพราะง่วงนอน จากนนทบุรีปรี่ไปสุวรรณภูมิเพื่อไปเจอเดอะแก้งค์ร่วมทริปที่พร้อมจะทรมานกันเป็นหมู่คณะไปอีก16วัน เราใช้เวลาเมาขี้ตาไปบนเครื่องบินราว5ชั่วโมงก็มาถึงนิวเดลี เมืองหลวงของอินเดีย
เราถูกต้อนรับสไตล์อินเดียแบบออริจินัลด้วยอากาศระดับ34องศา และการถูกรถตู้ที่นัดมารับเบี้ยวเราซะงั้น!!! เราเสียเวลาไปราว3ชั่วโมงเพื่อแลกกับรถตู้คันใหม่ที่จะพาเราไปเมืองมะนาลี ที่ห่างจากเดลีไปราวๆ580กม.ใช้เวลาเดินทาง16ชั่วโมง!!!!
เรามีลุงโชเฟอร์สายดิบขนาดแท้ ที่สร้างท่วงทำนองการขับรถแบบที่ผมไม่เคยเคยเห็นมาก่อน ถ้าเป็นบทเพลงก็เพลงแขกผสมกับเฮฟวี่เมทัล คือซัดยับตั้งแต่เมืองยันภูเขา เทโค้ง กินเลน เบียดชาวบ้าน ผมโคตรเมามันไปกับ16ชั่วโมงในรถตู้ราวกับตัวเองถูกข่มขืนในเครื่องซักผ้า
22ส.ค.2560
หลังจากที่ผมได้ลุงโชเฟอร์เป็นไอดอลในการขับรถ เราขึ้นไปทางเหนือไม่ถึงมะนาลีซักที เพราะทั้งคืนเราวิ่งผ่านภูเขาที่อันตรายบวกกับถนนที่นี่ราวกับพื้นดาวอังคาร เราไม่สามารถใช้ความเร็วได้ ในขณะที่คนอื่นกำลังหลับยาวๆ..........ปุ้งงงงงง!!!!.......
กูว่าแล้ววว ยางแตก!!!! ผมปลุกทุกคนเพื่อมาช่วยกันเปลี่ยนยางกันแต่เช้ามืด ก็ถือว่าเป็นการต้อนรับเราด้วยอุปสรรคเล็กๆน้อยๆดี 80กิโลต่อมาเราเดินทางมาถึงมะนาลี เมืองท่องเที่ยวขนาดใหญ่มองๆไปผมก็ว่าคล้ายๆ”ปาย”บ้านเรานะ คือชาวต่างชาติเยอะ ร้านขายของ ร้านอาหารมากมาย ผู้คนที่นี่น่ารัก สู้กล้องทุกคนจ้าขอบอก จิกตาพ้อยขากันทุกคน ที่มะนาลีอยู่สูงเหนือระดับน้ำทะเล1950เมตร(ยอดดอยอินทนนท์สูง2200เมตร) วันนี้เราเลยใช้ชีวิตเบาๆเพื่อปรับสภาพร่างกาย อากาศที่นี่หนาวเย็นกว่าเดลีมาก รวมไปถึงเราต้องรับมอเตอไซค์คู่ใจที่จะพาเราออกเดินทางท่องโลกไปอีกหลายวัน










23ส.ค.2560
วันนี้เราตื่นกันแต่เช้า โคตรฟิตขอบอก เราแพ็คกระเป๋าพร้อมอาหารแห้ง และน้ำมันสำรองคนละ20ลิตร เพื่อใช้เวลา3วันเดินทางถึงเมืองเลห์ เมืองท่องเที่ยวสุดฮิปที่นักเดินทางทั่วโลกต่างอยากไปเยือน เราเดินทางราว80กิโลเมตรผ่าน ซูลอง วัลเล่,มาร์ไฮ จนมาถึงราตัง พาส(3800ม.) เป็นคล้ายจุดเช็คอินแรกๆที่ให้เราได้สัมผัสธงสีๆสไตล์ธิเบต ต้องบอกก่อนนะครับว่าระยะทางแนวราบเราไม่กลัวเลย แต่ระยะทางในแนวดิ่งมากกว่า คือระดับความสูงที่เราไต่ไปเรื่อยๆ เราเลยผ่านจุด4000ม.เหนือระดับน้ำทะเล ยังไม่มีใครมีอาการแพ้ที่สูง เพราะเราทุกคนได้กินยาดักไว้ อาการแพ้ที่สูงคือการมีอาการผิดปรกติในร่างกายในสภาวะออกซิเจนเบาบางเช่น ปวดหัว อาเจียน หน้ามืด หายใจไม่ออก หมดสติ เป็นต้น วันนี้ฟ้ามืดเร็วมากเราเลยตัดสินใจนอนเกสเฮ้าริมถนนที่เมืองซิสซู ที่นี่เราจะได้ยินเสียงลำธารที่เกิดจากการละลายของหิมะดังไปทั่ว โอบล้อมไปด้วยภูเขาและมิตรภาพที่ดี ถึงแม้ว่าไฟจะดับตลอดคืนก็ตามที
24ส.ค.2560
เราเก็บสัมภาระออจากซิสซูด้วยความคึกเต็มที่ แวะทานข้าวที่เมืองคีลอง เป็นเมืองเล็กๆน่ารัก เราได้ภาพถ่ายพรอตเทรตสวยๆที่นี่หลายรูป เด็กๆไม่อายที่จะมาเล่นกับคนหน้าโหดๆอย่างผม เราทานอาหารรสชาติแปลกๆแต่ก็อิ่มท้องแล้วเดินทางต่อถึงจุด บาราลาชา ลา(4890ม)เพื่อพักและถ่ายรูป ถนนในช่วงนี้ถนนเริ่มบู๊ขึ้นตามระยะทางที่ไกลออกไปเรื่อยๆ
ที่นี่อากาศหนาวแบบเฉียบพลัน หมอกหนาจนขับรถมองอะไรข้างหน้าแค่2-3เมตรไม่เห็น อันตรายมาก เพราะถนนที่นี่ซ้ายภูผา ขวาก็เหว!! วันนี้เราตัดสินใจกางเต๊นนอนที่ ซาชู(4290ม) ย่านชุมชนที่พอมีที่พักแบบกระโจมให้เช่า แต่เราขอแค้มปิ้งหน่อยละกัน เตรียมเต็นท์และอุปกรณ์มาแล้วนี้
แต่พอพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าเท่านั้นแหละ เอ้ยยย!!! ความหนาวประหนึ่งเปิดช่องฟรีสค้างไว้2เดือนบวกกับลมแรงที่ผ่านช่องเขาระดับเบอร์5 ได้ผสมผสานเป็นความเย็นมรณะพัดกระชากทั้งเต็นท์และวิญญาณของผมแทบจะปลิวไปพร้อมๆกัน คืนนั้นผมเอาชีวิตรอดด้วยการเอามาม่า โจ๊กถ้วย ถุงเท้า หมวกกันน๊อก ยัดใส่ถุงนอนที่เราแทรกตัวอยู่ในนั้นเพื่อหวังว่ามันจะอุ่นขึ้น และผูกเต๊นเข้ากับมอเตอร์ไซค์และหินก้อนเขื่องๆไม่งั้นแค้มปิ้งในฝันของกรูปลิวไปทั้งยวงแน่ๆ เราข่มตานอนหลับแทบไม่ลง เสียงลมที่โคตรโหยหวน พร้อมกับนอนภาวนาตาเหลือกๆว่า เมื่อไรจะเช้าสักทีวะ หนาว

!!!!!ที่จริงอยากใช้คำว่า”หนาว

ๆ”แต่เกรงใจคนอ่านครับ









25ส.ค.2560
เราตื่นนอนราวหกโมงเช้า ด้วยสภาพตัวแข็งหดเป็นมัมมี่ฤดูหนาว ความโหดร้ายจากลมหนาวเมื่อคืนได้ทำให้ผิวหน้าที่เคยฟรุ้งฟริ้งยาวไปจนถึงผิวตีนของผม แห้งราวกับหนังปลาตากแดด มือและเล็บม่วงจนน่าตกใจ ภาพของเดอะแก้งค์ในเช้านี้อยู่ในสภาพพังทุกคน เราค่อยๆคลืบคลานเข้าหาความอุ่นจากเตาแก๊สปิ๊กนิคที่เตรียมกันมา เราได้โจ๊กยับๆและมาม่าพังๆเป็นอาหารเช้าอุ่นๆเพื่อมีแรงขยับหดๆ ก่อนที่เราเดินทางเพื่อไปให้ถึงเมืองแปง(4688ม)ทุกคนมีอาการอ่อนล้าให้เห็นอย่างชัดเจน จอดปุ๊บนั่งปั้บ ถามอะไรปั้บไม่ตอบ เราพูดคุยกันน้อยลง แต่หน้าเหี่ยวมากขึ้น ด้วยสภาพอากาศที่หนาวและถนนสไตล์โคตรพ่อฮาร์ดคอร์ แต่พอเลยจุดนี้ไปไม่นานเหมือนพระเจ้าทรงโปรด เราเจอถนนตรงๆยาวๆเรียบๆ เป็นเส้นตรงลากผ่านที่ราบบนยอดเขาอันน่าพิศวง ผมใช้ความเร็วถึง100กม./ชม. เป็นครั้งแรกในทริป เชดดดด!!! มันคือที่ราบที่ไม่น่าจะมีได้บนยอดเขาระดับความสูง4500ม กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาหลายสิบกิโลเมตร มันทำให้ผมคิดขึ้นมาได้ว่า นี่คือโลกมนุษย์จริงๆเหรอวะ ทำไมภูมิประเทศมันสุดขั้วแบบนี้ งดงามและโหดร้ายในเวลาเดียวกัน นี่คือโลกที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนเลย เป็นวัยรุ่นมันเจ๋งอย่างนี้นี่เอง
หลังจากผ่านถนนของพระเจ้าตรงๆยาวๆเรียบๆเราตัดสินใจพักที่ เดอบริง เป็นที่พักแบบบ้านดินเก่าๆ นอนเรียงๆกันในห้องฝุ่นหนาๆ ห้องน้ำสไตล์คนงานก่อสร้างย่านบางพลีที่ไม่มีน้ำล้างตูด ผมอึไม่ออกเลย นั่นไม่ใช่ปัญหา แต่พวกเราเลือกที่จะสลบทิ้งตัวยาวๆข้าวปลาไม่กิน เพื่อนอนพักผ่อนแบบร่างกะวิญญาณอยู่กันคนละที่ นอนมันทั้งชุดขี่มอไซค์นี่แหละ ช่าง

!!! แล้ววันนี้เป็นวันที่ร่างพังยับที่สุด และเรากำลังเจอกับอากาศที่หนาวกว่าทุกๆวัน
26ส.ค.2560
เจ็ดโมงกว่าๆเราตื่นมาในสภาพยับและพังสุดๆ ไม่มีใครอยากตื่นในสภาพมีแผ่นน้ำแข็งเกาะที่เบาะมอเตอร์ไซค์ เราใช้แสงแดดเป็นพลังในการขับเคลื่อนพลังในร่างกายช้า เก็บของ แล้วไปต่อ
วันนี้รถเราหลายคันเริ่มมีปัญหาเช่นหัวเทียนบอด และต้องปรับจูนคาร์บูเรเตอร์เพราะที่นี่อากาศเริ่มเบาบางทุกที เราขับมาสัก60กิโลเมตร เราก็มาถึงจุดที่เป็นถนนสูงอันดับ2ของโลกชื่อว่า ตากลัง ลา(5328ม) ที่นี่อากาศหนาวแบบสุดขั้ว ปากแตกจมูกลอกกันเป็นแถว ลิปมันก็เอาไม่อยู่ต้องเอาน้ำมันหมูทาหน้า ไม่น่าเชื่อว่านี่จะคือฤดูร้อนของที่นี่ หลายคนมีอาการปวดหัวเบาๆให้เห็น ผมก็มีอาการบ้างเพราะดันทะลึ่งลืมกินยาแพ้ที่สูงมา เดินก็เหนื่อย พูดก็เหนื่อย เพราะออกซิเจนน้อย ตรงนี้เราเริ่มเห็นน้ำแข็งสไตล์อินเดียได้ตามริมถนนที่เราขับผ่าน ไม่ต้องไปรอแม่คนิ้งจุ๋มจิ๋มที่ยอดดอยในฤดูหนาวบ้านเรา ที่นี่สามารถเจอน้ำแข็งและหิมะได้ตามริมถนนในฤดูร้อน
จากนั้นเราดึ่งลงเขายาวๆจากระดับความสูง 5328ม. จนมาเหลือ 3480ม. ในระยะทาง60กิโลเมตรจนมาถึงเมืองอัพชิ เมืองหน้าด่านของเลห์ เป็นประตูสู่แคชเมียร์ เราต้องตรวจเอกสารที่นี่ (ที่จริงเราต้องตรวจเอกสารพาสปอร์ตและพรอมิตรถมอเตอร์ไซค์ตลอดเส้นทางที่เราเจอด่านตรวจอยู่แล้ว) จากนั้นเรามุ่งหน้าอีก50กิโลเมตรก็ถึงเลห์ เมืองจุดหมายของเราในวันนี้ และเราจะพักที่เลห์2วันด้วยกัน
27ส.ค.2560
วันนี้เราตื่นมาพบว่าเลห์เหมือนกับเมืองร้าง ร้านค้า ร้านอาหารที่เคยคลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวหลายเชื้อชาติ กลับปิดตัวลงแบบงงๆ เพราะคนในเมืองต่างปิดกิจการ1วันเพื่อไว้อาลัยให้กับลามะองค์หนึ่ง ซึงลามะองค์นี้ได้ฆ่าตัวตายที่เลห์เมื่อ7ปีก่อน เพราะประท้วงจีนที่จะเอาดินแดนธิเบตไปเป็นของจีน วันนี้เราเลยหาอะไรกินยากหน่อย เลห์เป็นเมืองใหญ่ครับ มีสนามบิน ค่ายทหาร ศูนย์กลางการท่องเที่ยวในแคชเมียร์จะอยู่ที่เมืองนี้เป็นหลัก เราใช้เวลาท่องเที่ยวในเลห์แทบจะทั้งวันเพื่อพักร่างและขี่รถเพื่อบันทึกภาพความทรงจำในเลห์เป็นหลัก




((((((((( the motorcycle diary)))))))) เที่ยวเลห์-ลาดักห์ 16วัน ด้วยมอเตอร์ไซค์แบบอินดี้
ที่จะใช้ชีวิตของเราในแบบที่เราหลับตาฝันไว้ ไม่ต้องคิดถึงสิ่งที่เราแบกไว้บนบ่า ไม่ต้องคิดถึงชีวิตประจำวันอันแสนเบื่อหน่าย ไม่ต้องรู้จักใครทั้งนั้น เทมันให้หมด ถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆที่เราจะได้ทำอะไรบ้าๆ แต่สิ่งนั้นก็ได้มอบความมีชีวิตที่แท้จริงกลับคืนมาให้เราได้ ทุกข์ สุข เหนื่อยล้า สบาย รัก คิดถึง เกลียดชัง อภัย อดทน และปล่อยวาง
และนี่คือมอเตอร์ไซเคิลไดอารี่ที่บันทึก16วันของผมกับการเดินทางด้วยมอเตอร์ไซค์ไปในดินแดนสวรรค์ที่ถูกพระเจ้าลืมไว้ทางตอนเหนือของอินเดีย ที่ชื่อว่า”แคชเมียร์”
ก่อนอื่นผมต้องขอออกตัวแรงๆก่อนนะครับว่าผมไม่ใช่นักเขียนปากกาคม ไม่ใช่ช่างภาพฝีมือเทพเจ้า และไม่ใช่ไบเกอร์ในตำนานแต่อย่างใด ผมเป็นแค่คนธรรมดามากๆที่รักในการเดินทางด้วยมอเตอร์ไซค์และต้องการบันทึกเรื่องราวในแบบฉบับของตัวเองก็แค่นั้นครับผม.
การเดินทางในทริปนี้เริ่มต้นมาจากการเชิญชวนของรุ่นพี่คนนึง ซึ่งผมก็ตกปากรับคำทันที เพราะว่ามีความคึกคะนองที่อยากจะไปมานานแล้ว เราใช้เวลาเก็บเงินจากค่าขนมแปรเปลี่ยนเป็นค่าเดินทาง ค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าเช่ารถมอเตอร์ไซค์ ก็อดเบียร์หลายเดือนอยู่ และเตรียมอุปกรณ์ยังชีพ,เสื้อผ้าที่ใช้ในการขับขี่ เช่น เต็นท์ ถุงนอน เตาแก๊ส อาหารแห้ง แจ๊คเกตกันหนาว แต่เวลา3-4เดือนมันผ่านไปเร็วอย่างกับจรวดติดเทอร์โบ จากมีเวลาเตรียมทุกอย่างเหลือเฟือ รู้ตัวอีกทีคือต้องเดินทางพรุ่งนี้เสียแล้วสิ!
21ส.ค.2560
เวลาตีสามกว่าๆผมได้พาร่างไร้วิญญาณเพราะง่วงนอน จากนนทบุรีปรี่ไปสุวรรณภูมิเพื่อไปเจอเดอะแก้งค์ร่วมทริปที่พร้อมจะทรมานกันเป็นหมู่คณะไปอีก16วัน เราใช้เวลาเมาขี้ตาไปบนเครื่องบินราว5ชั่วโมงก็มาถึงนิวเดลี เมืองหลวงของอินเดีย
เราถูกต้อนรับสไตล์อินเดียแบบออริจินัลด้วยอากาศระดับ34องศา และการถูกรถตู้ที่นัดมารับเบี้ยวเราซะงั้น!!! เราเสียเวลาไปราว3ชั่วโมงเพื่อแลกกับรถตู้คันใหม่ที่จะพาเราไปเมืองมะนาลี ที่ห่างจากเดลีไปราวๆ580กม.ใช้เวลาเดินทาง16ชั่วโมง!!!!
เรามีลุงโชเฟอร์สายดิบขนาดแท้ ที่สร้างท่วงทำนองการขับรถแบบที่ผมไม่เคยเคยเห็นมาก่อน ถ้าเป็นบทเพลงก็เพลงแขกผสมกับเฮฟวี่เมทัล คือซัดยับตั้งแต่เมืองยันภูเขา เทโค้ง กินเลน เบียดชาวบ้าน ผมโคตรเมามันไปกับ16ชั่วโมงในรถตู้ราวกับตัวเองถูกข่มขืนในเครื่องซักผ้า
22ส.ค.2560
หลังจากที่ผมได้ลุงโชเฟอร์เป็นไอดอลในการขับรถ เราขึ้นไปทางเหนือไม่ถึงมะนาลีซักที เพราะทั้งคืนเราวิ่งผ่านภูเขาที่อันตรายบวกกับถนนที่นี่ราวกับพื้นดาวอังคาร เราไม่สามารถใช้ความเร็วได้ ในขณะที่คนอื่นกำลังหลับยาวๆ..........ปุ้งงงงงง!!!!.......
กูว่าแล้ววว ยางแตก!!!! ผมปลุกทุกคนเพื่อมาช่วยกันเปลี่ยนยางกันแต่เช้ามืด ก็ถือว่าเป็นการต้อนรับเราด้วยอุปสรรคเล็กๆน้อยๆดี 80กิโลต่อมาเราเดินทางมาถึงมะนาลี เมืองท่องเที่ยวขนาดใหญ่มองๆไปผมก็ว่าคล้ายๆ”ปาย”บ้านเรานะ คือชาวต่างชาติเยอะ ร้านขายของ ร้านอาหารมากมาย ผู้คนที่นี่น่ารัก สู้กล้องทุกคนจ้าขอบอก จิกตาพ้อยขากันทุกคน ที่มะนาลีอยู่สูงเหนือระดับน้ำทะเล1950เมตร(ยอดดอยอินทนนท์สูง2200เมตร) วันนี้เราเลยใช้ชีวิตเบาๆเพื่อปรับสภาพร่างกาย อากาศที่นี่หนาวเย็นกว่าเดลีมาก รวมไปถึงเราต้องรับมอเตอไซค์คู่ใจที่จะพาเราออกเดินทางท่องโลกไปอีกหลายวัน
23ส.ค.2560
วันนี้เราตื่นกันแต่เช้า โคตรฟิตขอบอก เราแพ็คกระเป๋าพร้อมอาหารแห้ง และน้ำมันสำรองคนละ20ลิตร เพื่อใช้เวลา3วันเดินทางถึงเมืองเลห์ เมืองท่องเที่ยวสุดฮิปที่นักเดินทางทั่วโลกต่างอยากไปเยือน เราเดินทางราว80กิโลเมตรผ่าน ซูลอง วัลเล่,มาร์ไฮ จนมาถึงราตัง พาส(3800ม.) เป็นคล้ายจุดเช็คอินแรกๆที่ให้เราได้สัมผัสธงสีๆสไตล์ธิเบต ต้องบอกก่อนนะครับว่าระยะทางแนวราบเราไม่กลัวเลย แต่ระยะทางในแนวดิ่งมากกว่า คือระดับความสูงที่เราไต่ไปเรื่อยๆ เราเลยผ่านจุด4000ม.เหนือระดับน้ำทะเล ยังไม่มีใครมีอาการแพ้ที่สูง เพราะเราทุกคนได้กินยาดักไว้ อาการแพ้ที่สูงคือการมีอาการผิดปรกติในร่างกายในสภาวะออกซิเจนเบาบางเช่น ปวดหัว อาเจียน หน้ามืด หายใจไม่ออก หมดสติ เป็นต้น วันนี้ฟ้ามืดเร็วมากเราเลยตัดสินใจนอนเกสเฮ้าริมถนนที่เมืองซิสซู ที่นี่เราจะได้ยินเสียงลำธารที่เกิดจากการละลายของหิมะดังไปทั่ว โอบล้อมไปด้วยภูเขาและมิตรภาพที่ดี ถึงแม้ว่าไฟจะดับตลอดคืนก็ตามที
24ส.ค.2560
เราเก็บสัมภาระออจากซิสซูด้วยความคึกเต็มที่ แวะทานข้าวที่เมืองคีลอง เป็นเมืองเล็กๆน่ารัก เราได้ภาพถ่ายพรอตเทรตสวยๆที่นี่หลายรูป เด็กๆไม่อายที่จะมาเล่นกับคนหน้าโหดๆอย่างผม เราทานอาหารรสชาติแปลกๆแต่ก็อิ่มท้องแล้วเดินทางต่อถึงจุด บาราลาชา ลา(4890ม)เพื่อพักและถ่ายรูป ถนนในช่วงนี้ถนนเริ่มบู๊ขึ้นตามระยะทางที่ไกลออกไปเรื่อยๆ
ที่นี่อากาศหนาวแบบเฉียบพลัน หมอกหนาจนขับรถมองอะไรข้างหน้าแค่2-3เมตรไม่เห็น อันตรายมาก เพราะถนนที่นี่ซ้ายภูผา ขวาก็เหว!! วันนี้เราตัดสินใจกางเต๊นนอนที่ ซาชู(4290ม) ย่านชุมชนที่พอมีที่พักแบบกระโจมให้เช่า แต่เราขอแค้มปิ้งหน่อยละกัน เตรียมเต็นท์และอุปกรณ์มาแล้วนี้
แต่พอพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าเท่านั้นแหละ เอ้ยยย!!! ความหนาวประหนึ่งเปิดช่องฟรีสค้างไว้2เดือนบวกกับลมแรงที่ผ่านช่องเขาระดับเบอร์5 ได้ผสมผสานเป็นความเย็นมรณะพัดกระชากทั้งเต็นท์และวิญญาณของผมแทบจะปลิวไปพร้อมๆกัน คืนนั้นผมเอาชีวิตรอดด้วยการเอามาม่า โจ๊กถ้วย ถุงเท้า หมวกกันน๊อก ยัดใส่ถุงนอนที่เราแทรกตัวอยู่ในนั้นเพื่อหวังว่ามันจะอุ่นขึ้น และผูกเต๊นเข้ากับมอเตอร์ไซค์และหินก้อนเขื่องๆไม่งั้นแค้มปิ้งในฝันของกรูปลิวไปทั้งยวงแน่ๆ เราข่มตานอนหลับแทบไม่ลง เสียงลมที่โคตรโหยหวน พร้อมกับนอนภาวนาตาเหลือกๆว่า เมื่อไรจะเช้าสักทีวะ หนาว
25ส.ค.2560
เราตื่นนอนราวหกโมงเช้า ด้วยสภาพตัวแข็งหดเป็นมัมมี่ฤดูหนาว ความโหดร้ายจากลมหนาวเมื่อคืนได้ทำให้ผิวหน้าที่เคยฟรุ้งฟริ้งยาวไปจนถึงผิวตีนของผม แห้งราวกับหนังปลาตากแดด มือและเล็บม่วงจนน่าตกใจ ภาพของเดอะแก้งค์ในเช้านี้อยู่ในสภาพพังทุกคน เราค่อยๆคลืบคลานเข้าหาความอุ่นจากเตาแก๊สปิ๊กนิคที่เตรียมกันมา เราได้โจ๊กยับๆและมาม่าพังๆเป็นอาหารเช้าอุ่นๆเพื่อมีแรงขยับหดๆ ก่อนที่เราเดินทางเพื่อไปให้ถึงเมืองแปง(4688ม)ทุกคนมีอาการอ่อนล้าให้เห็นอย่างชัดเจน จอดปุ๊บนั่งปั้บ ถามอะไรปั้บไม่ตอบ เราพูดคุยกันน้อยลง แต่หน้าเหี่ยวมากขึ้น ด้วยสภาพอากาศที่หนาวและถนนสไตล์โคตรพ่อฮาร์ดคอร์ แต่พอเลยจุดนี้ไปไม่นานเหมือนพระเจ้าทรงโปรด เราเจอถนนตรงๆยาวๆเรียบๆ เป็นเส้นตรงลากผ่านที่ราบบนยอดเขาอันน่าพิศวง ผมใช้ความเร็วถึง100กม./ชม. เป็นครั้งแรกในทริป เชดดดด!!! มันคือที่ราบที่ไม่น่าจะมีได้บนยอดเขาระดับความสูง4500ม กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาหลายสิบกิโลเมตร มันทำให้ผมคิดขึ้นมาได้ว่า นี่คือโลกมนุษย์จริงๆเหรอวะ ทำไมภูมิประเทศมันสุดขั้วแบบนี้ งดงามและโหดร้ายในเวลาเดียวกัน นี่คือโลกที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนเลย เป็นวัยรุ่นมันเจ๋งอย่างนี้นี่เอง
หลังจากผ่านถนนของพระเจ้าตรงๆยาวๆเรียบๆเราตัดสินใจพักที่ เดอบริง เป็นที่พักแบบบ้านดินเก่าๆ นอนเรียงๆกันในห้องฝุ่นหนาๆ ห้องน้ำสไตล์คนงานก่อสร้างย่านบางพลีที่ไม่มีน้ำล้างตูด ผมอึไม่ออกเลย นั่นไม่ใช่ปัญหา แต่พวกเราเลือกที่จะสลบทิ้งตัวยาวๆข้าวปลาไม่กิน เพื่อนอนพักผ่อนแบบร่างกะวิญญาณอยู่กันคนละที่ นอนมันทั้งชุดขี่มอไซค์นี่แหละ ช่าง
26ส.ค.2560
เจ็ดโมงกว่าๆเราตื่นมาในสภาพยับและพังสุดๆ ไม่มีใครอยากตื่นในสภาพมีแผ่นน้ำแข็งเกาะที่เบาะมอเตอร์ไซค์ เราใช้แสงแดดเป็นพลังในการขับเคลื่อนพลังในร่างกายช้า เก็บของ แล้วไปต่อ
วันนี้รถเราหลายคันเริ่มมีปัญหาเช่นหัวเทียนบอด และต้องปรับจูนคาร์บูเรเตอร์เพราะที่นี่อากาศเริ่มเบาบางทุกที เราขับมาสัก60กิโลเมตร เราก็มาถึงจุดที่เป็นถนนสูงอันดับ2ของโลกชื่อว่า ตากลัง ลา(5328ม) ที่นี่อากาศหนาวแบบสุดขั้ว ปากแตกจมูกลอกกันเป็นแถว ลิปมันก็เอาไม่อยู่ต้องเอาน้ำมันหมูทาหน้า ไม่น่าเชื่อว่านี่จะคือฤดูร้อนของที่นี่ หลายคนมีอาการปวดหัวเบาๆให้เห็น ผมก็มีอาการบ้างเพราะดันทะลึ่งลืมกินยาแพ้ที่สูงมา เดินก็เหนื่อย พูดก็เหนื่อย เพราะออกซิเจนน้อย ตรงนี้เราเริ่มเห็นน้ำแข็งสไตล์อินเดียได้ตามริมถนนที่เราขับผ่าน ไม่ต้องไปรอแม่คนิ้งจุ๋มจิ๋มที่ยอดดอยในฤดูหนาวบ้านเรา ที่นี่สามารถเจอน้ำแข็งและหิมะได้ตามริมถนนในฤดูร้อน
จากนั้นเราดึ่งลงเขายาวๆจากระดับความสูง 5328ม. จนมาเหลือ 3480ม. ในระยะทาง60กิโลเมตรจนมาถึงเมืองอัพชิ เมืองหน้าด่านของเลห์ เป็นประตูสู่แคชเมียร์ เราต้องตรวจเอกสารที่นี่ (ที่จริงเราต้องตรวจเอกสารพาสปอร์ตและพรอมิตรถมอเตอร์ไซค์ตลอดเส้นทางที่เราเจอด่านตรวจอยู่แล้ว) จากนั้นเรามุ่งหน้าอีก50กิโลเมตรก็ถึงเลห์ เมืองจุดหมายของเราในวันนี้ และเราจะพักที่เลห์2วันด้วยกัน
27ส.ค.2560
วันนี้เราตื่นมาพบว่าเลห์เหมือนกับเมืองร้าง ร้านค้า ร้านอาหารที่เคยคลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวหลายเชื้อชาติ กลับปิดตัวลงแบบงงๆ เพราะคนในเมืองต่างปิดกิจการ1วันเพื่อไว้อาลัยให้กับลามะองค์หนึ่ง ซึงลามะองค์นี้ได้ฆ่าตัวตายที่เลห์เมื่อ7ปีก่อน เพราะประท้วงจีนที่จะเอาดินแดนธิเบตไปเป็นของจีน วันนี้เราเลยหาอะไรกินยากหน่อย เลห์เป็นเมืองใหญ่ครับ มีสนามบิน ค่ายทหาร ศูนย์กลางการท่องเที่ยวในแคชเมียร์จะอยู่ที่เมืองนี้เป็นหลัก เราใช้เวลาท่องเที่ยวในเลห์แทบจะทั้งวันเพื่อพักร่างและขี่รถเพื่อบันทึกภาพความทรงจำในเลห์เป็นหลัก