เที่ยวอินเดีย 17 วัน EP.2 Hampta pass เทรกกิ้งหิมาลัย ผจญหิมะที่เมืองมะนาลี ด้วยเงินหลักพัน


.
อ่าน ep.1 เรื่องราวการเดินทางตอนก่อนหน้านี้ได้ที่:
https://pantip.com/topic/41708187
.
เรื่องราวต่อจากความเดิมตอนที่แล้ว เมื่อผมเดินทางมาถึงเมืองชานดิการ์
เมืองชานดิการ์ จะแบ่งย่านต่างๆ ด้วย Sector 1 2 3 4 5 การโดยสารภายในเมืองเลือกใช้ได้ทั้งรถเมล์ และริกชอว์ แต่ถ้าใครจะมาเที่ยวอินเดียแนะนำโหลด Uber  อย่าไปเสียอารมณ์กับการเจอคนขับริกชอว์หัวหมอเลย ที่ไม่ว่าคุณจะเก่งกาจอย่างไร ก็ไม่มีทางเอาชนะเล่ห์เหลี่ยมของเหล่าคนขับได้ ผมทะเลาะกับคนขับริกชอร์ไปรอบหนึ่ง สงบศึกด้วยการไปนั่งกินไจ หรือชาด้วยกันเฉย 5555 
.
สำหรับเรื่องอาหารการกินนั้น ผมว่าระหว่างเดินทางนักท่องเที่ยวสามารถเลือกอาหารได้หลากหลาย ตั้งแต่ข้างทาง ยันภัตตาคาร  ตามกำลังทรัพย์  ผมเองบางมื้อก็กินข้างทาง บางมื้อคิดถึงอาหารไทยก็เข้าหาร้านอาหารจีนที่มีทั่วประเทศอินเดีย  สั่งข้าวผัดไก่ บะหมี่ ให้พอหายคิดถึงบ้านเกิด แต่ที่ต้องห้ามพลาดคือ ไม่ว่าคุณจะไปเมืองไหน ควรที่จะได้ลิ้มลองอาหารท้องถิ่นของเมืองนั้น หนึ่งในความสนุกของการเที่ยวอินเดีย คือการได้ลิ้มลองอาหารที่หลากหลาย
.

.
เย็นวันนี้ผมต้องทำเวลาเดินทางไปเมืองมะนาลีต่อ เหตุผลก็เพราะว่าผมจองเทรกกิ้ง Hampta pass ไว้ Hamta Pass เป็นทางเดินในเทือกเขาหิมาลัย ระหว่างหุบเขา Chandra ใน Lahaul และหุบเขา Kullu ของรัฐหิมาจัลประเทศ ประเทศอินเดีย เป็นประสบการณ์ครั้งแรกที่จะได้เดินเทรกกิ้งบนเทือกเขาหิมาลัย ผมจึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อไปให้ทันวันดังกล่าว
.
เมืองชานดิการ์มีสถานีขนส่งรถบัสอยู่ที่ sector 43 รถบัสของอินเดียจะแบ่งได้เป็น 3 เกรด คือ 1.รถแอร์นอน 2.รถแอร์นั่ง และ 3.รถนั่งไม่มีแอร์  อย่างที่ผมกำลังจะไปมะนาลี ถ้าเป็นรถแอร์นอน ราคาอยู่ที่ประมาณ 1200 รูปี ถ้าเป็นรถแอร์นั่ง 800 รูปี รถนั่งไม่มีแอร์ 650 รูปี ผมเลือกแบบที่ 3 แต่ถ้าจะให้แนะนำเลือกแบบที่ 1 คุ้มค่าสุด เพราะเราจะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ถ้าย้อนกลับไปได้ผมก็จะเลือกโดยสารแบบที่ 1 แต่เพราะตอนแรก ไม่รู้ว่าจะไปขึ้นรถแอร์ที่ไหน ประกอบกับความรีบจึงโดยสารแบบรถนั่งไม่มีแอร์ โชคดีที่ขาไปคนน้อย เจอรถใหม่เอี่ยม จึงยังได้พอพักผ่อน แต่ปัญหามันเกิดขึ้นตอนขากลับนี่ละ ที่ไว้จะเล่าให้ฟัง
.
รถบัสออกจากชานดิการ์ตอน 5 โมงเย็น แล่นไปได้สักหนึ่งถึงสองชั่วโมง ก็เข้าสู่รัฐหิมาจัลประเทศ สภาพแวดล้อมเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง สองข้างทางรายล้อมด้วยขุนเขา รถบัสแล่นไต่ระดับความสูง ผ่านภูเขาลูกแล้วลูกเล่า ผ่านเมืองเล็กเมืองน้อยไปตลอดทาง อากาศเริ่มหนาวเย็น จนผมต้องเปลี่ยนเสื้อเปลี่ยนกางเกงกันหนาวบนรถ กึ่งหลับกึ่งตื่นไปตลอดคืน ผู้โดยสารทยอยลงตามรายทางคนแล้วคนเล่า จนเหลือผู้โดยสารแค่ 2 คน ผมชักใจเต้นตุ๊บๆ ต่อมๆ จนกระทั่งเวลาตีสาม รถบัสเข้าเทียบท่าที่มะนาลี อากาศหนาวเป็นบ้า ราวๆ 7 องศา
.

เมืองมะนาลี
.
เวลาวางแผนการเดินทางถ้าเลือกได้พยายามให้รถมาถึงช่วงเช้าจะดีกว่า การมาถึงตอนช่วงตีสาม ตีสี่แบบนี้ เราไม่สามารถไปไหนต่อได้เลย อันที่จริงมีรถออกจากชานดิการ์ช่วงสองทุ่มและมาถึงมะนาลีช่วงเจ็ดโมงเช้า แต่ผมมันเป็นพวกโอกาสไหนเข้ามาก็คว้าไม่ก่อน ส่วนหลังจากนั้นจะเกิดอะไรขึ้น ค่อยไปจัดการเอาทีหลัง เหมือนที่ค่ำคืนนี้ผมต้องหาที่อุ่นๆ ซุกตัว รอจนฟ้าสว่าง ผมไปนั่งหลบลมหนาวกับชายอินเดียแปลกประหลาดคนหนึ่ง
.
เขามีท่าทางเหมือนกลัวอะไรสักอย่าง พูดจาไม่ค่อยรู้เรื่อง  ผมซื้อชามานั่งจิบกับเขา เขาไม่มีเสื้อกันหนาวสักตัว ผมคิดในใจ คนบ้าอะไรมาเมืองหนาวแต่ไม่พกเสื้อกันหนาวมา แถมยังมานั่งสั่นอยู่แบบนี้ตอนกลางคืน จนเขาใช้โปรแกรมแปลภาษาให้ผมฟังว่า เขาไปรู้จักคนคนหนึ่งที่มะนาลี และไปแชร์โรงแรมนอนด้วยกัน แต่ถูกไอหนุ่มนั่นลวนลามจึงตัดสินใจหนีออกมานั่งสั่นอยู่ตรงนี้ ผมกลายเป็นคนต่างชาติที่ต้องคอยนั่งปลอบใจคนอินเดีย
.
ในที่สุดแดดยามเช้าก็มาถึง ผมเปิด GPS เดินตามแผนที่ที่โฮสต์ผมส่งมาให้ 
Google map ในมะนาลีใช้งานยากมาก เพราะด้วยความที่เป็นเมืองที่อยู่ในหุบเขา บางทีเส้นทางจึงไม่ละเอียด และยากต่อการเดินตามแผนที่ ผมเดินลัดเลาะไปเรื่อยจนถึงบ้านที่ตั้งอยู่บนเนินเขา เป็นที่พักของผมในคืนนี้  สิ่งหนึ่งที่ลืมบอก มามะนาลีอย่าลืมชิมไข่เจียวที่ย่าน Mall ผมว่ามันอร่อยดี
.
สำหรับผังเมืองมะนาลีนั้น สามารถแบ่งออกมาได้เป็นสองฝั่งคือ old มะนาลี กับย่าน mall หรือ new manali  ถ้าย่าน old จะสงบมากกว่า เหมาะแก่การพักผ่อน ไม่วุ่นวาย  ย่าน mall วุ่นวายคนเยอะ แถมสกปรกเต็มไปด้วยเกลื่อน แต่ข้อดีคือครึกครักหาของกินง่าย ถนนคนเดินย่าน mall เป็นอะไรที่น่าเดินมาก อากาศดี อาหารอร่อย เสื้อผ้า สิ่งของให้ช้อปปิ้งก็มีเยอะ แถมราคาไม่แพง แถมเราจะได้เจอคนที่มาที่นี่หลากหลายมาก ทั้งแขก ฝรั่ง อินเดีย เอเชีย เป็นอีกเสน่ห์ของที่นี่
.

ภาพบรรยากาศจากเดินเทรกกิ้งวันที่ 3
.
หลังจากผมหลับพักผ่อนเอาแรงก็ได้เวลาเดินสำรวจเมืองอีกครั้ง ตลอด 17 วัน ผมน่าจะเดินไม่ต่ำกว่าวันละ 6-7 กิโลเมตร โดยผมเดินไปที่เอเจนซี่ที่ผมจองโปรแกรมเทรกกิ้งไว้ เพื่อพูดคุยถึงกำหนดการให้แน่นอน และด้วยความที่ผมไม่ใช่สายเทรกกิ้งอุปกรณ์ครบครัน จึงเตรียมมาแค่เสื้อกันหนาว กับรองเท้าผ้าใบออดิดาส ซึ่งทางทีมผู้จัดไม่อนุญาตให้ใส่รองเท้าผ้าใบขึ้นเทรกกิ้ง 
.
เขาให้ผมเช่ารองเท้า 1,000 รูปี แต่ใครจะไม่ยอมจ่ายราคานั้น ผมเลือกที่จะไปหาซื้อรองเท้าเทรกกิ้งมือสองย่าน mall ในราคาแค่ 600 รูปี แต่ที่ตลกคือ มีพี่คนไทยที่มาเทรกกิ้งเหมือนกัน เราเจอกันระหว่างทาง พี่เขาสามารถใส่รองเท้าวิ่งไนกี้ได้ โดยที่ทางทีมคนจัดไม่ทักท้วง ฉะนั้นแล้วอย่าถามหาคำว่ามาตรฐานจากอินเดีย และอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญคือ เราต้องดูแลความปลอดภัยด้วยตัวเองตลอด ในอินเดียเราแทบไม่รู้เลยว่าตรงไหนอันตรายหรือปลอดภัยจริงๆ ผมเพิ่งมารู้ว่ามีคนเสียชีวิตในเส้นทางที่ผมไปเทรกกิ้งเพียงแค่ 1 สัปดาห์ก่อนที่ผมจะไปเทรกกิ้ง
.
หลังจากได้รองเท้ามาแล้ว ผมก็ออกเดินสำรวจเมืองต่อ มุมหนึ่งมะนาลีเป็นเมืองที่เหมาะแก่การท่องเที่ยว แต่ก็หนาแน่นไปด้วยผู้คนและขยะเกลื่อนเมือง เท่าที่ดูในรัฐหิมาจัลประเทศ น่าจะมีอีกหลายจังหวัดที่เงียบสงบกว่านี้ แต่มะนาลีได้รับความนิยมเพราะ มีความสะดวกสบาย มีกิจกรรมให้ทำเยอะ และเดินทางมาง่ายทั้งจากนิวเดลี และจากเมืองชานดิการ์
.

ภาพบรรยากาศแคมป์คืนที่ 3
.
ผมนอนหลับพักผ่อนเอาแรงก่อนที่เช้าวันรุ่งขึ้นจะมาถึง อากาศยามเช้าปลอดโปร่งฟ้าใส แดดจ้า ผมแพ็คของที่จำเป็นสำหรับการเทรกกิ้ง ฝากของที่ไม่จำเป็นไว้ที่บ้านขอชานุโฮสต์ของผม  เดินไปด้วยใจตื่นเต้นกับสิ่งที่รอคอยอยู่ในอีก 4 วันข้างหน้า หลังจากที่เคยแต่เห็นภาพภูเขาหิมะในอินเทอร์เน็ต อ่านบรรยายความรู้สึกตามหนังสือบันทึกการเดินทาง ของผู้คนที่เคยเดินบนภูเขาหิมาลัยและบรรยายความรู้สึกออกมาได้อย่างสวยงาม วันนี้ผมจะได้เห็นสิ่งนั้นด้วยสองตาของผมเอง
.
คนรับจัดทัวร์นัดผม 9 โมงเช้า ผมก็อุตส่าห์ไปถึงตั้งแต่แปดโมงครึ่ง แต่กว่าจะรอนู้นรอนี่ กรอกเอกสาร บรีฟก่อนเดินทาง เวลาก็ปาเข้าไป 11 โมงแล้ว ทั้งทริปมีทั้งหมด 8 คน ทั้งหมดเป็นคนอินเดียมีผมเป็นคนต่างชาติเพียงคนเดียว เป็นการเดินเทรกกิ้งที่โคตรเหงาเพราะไม่รู้จะคุยกับใคร โชคยังดีที่บุดด้าไกด์ของผม ยังชวนผมคุยบ้างในบางครั้ง แต่เพื่อนร่วมทริปพวกเขาก็คอยช่วยเหลือผมตลอดการเดินทาง
.
นึกขึ้นได้อีกหนึ่งสิ่งที่ลืมเล่ารายละเอียดให้ฟังคือการจองเทรกกิ้ง ผมจองโปรแกรมเทรกกิ้งผ่านเว็บไซต์นี้ เป็นเว็ปไซต์ที่เชื่อถือได้ แต่ผมไม่ค่อยประทับใจการบริการของพนักงานสักเท่าไหร่
https://banbanjara.com/tours/hampta-pass-trek-manali
.
ราคาตีเป็นเงินไทยราวๆ 3,000 บาท ถือว่าถูกมาก ราคานี้รวมไกด์ อาหารสามมื้อ เต็นท์ ถุงนอน เราเพียงแค่ต้องเตรียมหมอน อุปกรณ์เดินป่า และฟิตร่างกายของเราให้พร้อมเท่านั้น และถ้าพร้อมแล้วก็ลุยกันได้เลย
.

ภาพบรรยากาศการเดินเทรกกิ้งในวันที่ 1
.
ผมนั่งรถออกจากตัวเมืองมะนาลี รถไต่ขึ้นสู่ภูเขาลูกหนึ่ง ใช้เวลา 1 ชั่วโมงก็มาถึงจุดเริ่มต้นการเดินทางที่มีชื่อว่า Jobra  มันเป็นเขื่อนขนาดเล็ก ที่มีร้านขายของชำตั้งอยู่พร้อมกับคนเลี้ยงแกะ  แดดเปรี้ยงในช่วงบ่าย แต่ความหนาวก็ทำให้ผมเดินได้อย่างรู้สึกสบายตัว  ทางเดินช่วงแรกเป็นป่าดิบชื้น คล้ายป่าในเมืองไทย เป็นเหมือนประตูเปิดเข้าสู่ความอลังการของหิมาลัย
.
ทางเดินวันแรกเดินง่าย เป็นทุ่งหญ้าไกลสุดลูกหูลูกตา ขนาบข้างด้วยเทือกเขาสูง เห็นภูเขาหิมะอยู่ไกลๆ  เราเดินลัดเลาะลำน้ำ ลำน้ำที่ดูเหมือนจะนิ่งสงบและไม่ได้ลึก แต่ที่น่าตกใจคือ หนึ่งวันให้หลังเทรกกิ้ง เพื่อนคนท้องถิ่นเล่าให้ผมฟังว่า ก่อนผมมา 1 อาทิตย์เพิ่งมีนักท่องเที่ยวตกน้ำตาย ซึ่งทีมผู้จัดก็ไม่ได้มีคำเตือนอะไรเป็นพิเศษก่อนการเดินทาง ดังนั้นการเทรกกิ้งหรือทำอะไรก็ตามแต่ในอินเดีย เราต้องห้ามประมาทเด็ดขาด คนอินเดียไม่ค่อยคำนึงถึงความปลอดภัยในหลายครั้ง
.
เรามาถึงจุดหมายวันแรกที่ Chika ชิกการ์คือชื่อภูเขาที่อยู่ติดกับเต็นท์คืนแรกของเรา เต็นท์คืนแรกรายล้อมไปด้วยน้ำตาหลากหลายสาย จุดนี้แหละที่มีคนตกน้ำตาย แค่เดินมาถึงแคมป์วันแรกก็คุ้มค่ากับวิวที่ได้เห็นแล้ว ผมนั่งชมวิวอยู่ที่เชิงเขาเป็นจริงดังว่า ไม่ว่าเราจะดูภาพในอินเทอร์เน็ตว่าสวยงามเพียงใด ของจริงนั้น หิมาลัยอลังการ ยิ่งใหญ่ และทำให้มนุษย์เช่นผมตัวเล็กลงไปในทันตา  หลังจากคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยเพื่อนๆ ก็กวักมือเรียกไปกินข้าว
.

.
กับข้าวตลอดการเดินทาง ต้องใช้คำว่าโคตรอร่อย ไม่รู้ผมโชคดีได้พ่อครัวดี หรืออาหารมันอร่อยตลอดอย่างนี้อยู่แล้ว หรืออาจเป็นเพราะผมอยู่อินเดียนานจนชินกับอาหารอินเดียก็ไม่รู้ แต่ที่ต้องรู้อย่างนึงคือ อาหารเป็นมังสวิรัติทุกมื้อ เย็นวันนี้มีซุปมะเขือเทศร้อนๆ แกงอินเดียที่มีชื่อว่า Dal - ดาล ผัดผักหน้าตาคล้ายๆ บ้านเรา กินกับข้าวสวยร้อนๆ แต่แนะนำกินให้กับจาปาตีเข้ากันได้ดีกว่า ตบท้ายด้วยของหวาน ผมลืมชื่อมันเป็นข้าวที่ต้มกับนมจนเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน ฟังดูไม่น่าอร่อยแต่อร่อยมาก เรียกว่าตลอด 4 วัน บุดด้าไกด์ของผม ดูแลผมให้อิ่มอร่อยทุกมื้อ ไม่มีขาดตกบกพร่อง
.
อากาศเริ่มหนาวเย็นลงในตอนกลางคืน อันที่จริงต้องใช้คำว่าหนาวเห…ๆ สำหรับคนที่มาจากประเทศเมืองร้อนเช่นผม สิ่งที่ผมไม่มีและควรมีคือถุงมือ อากาศหนาวจนขยับมือไม่ได้ มันทรมานมาก แม้จะมีเสื้อหนาว กางเกงกันหนาวแล้ว  ผมแปรงฟันท่ามกลางสภาพอากาศหนาวเหน็บ แหงนหน้ามองดวงดาวไม่เห็นสักดวง
.
ข่มตาหลับด้วยเสียงฝนที่ตกกระทบเต็นท์ตลอดคืน ตื่นเช้ามาด้วยข่าวร้ายว่าเราไม่สามารถเดินทางไปต่อได้เนื่องจากสภาพอากาศ ผมทำหน้าเศร้า บุดด้าบอกว่า มุงยิ้มมาตอนที่เขากำลังจะปิดเส้นทางเอง ช่วยไม่ได้ การมาช่วงตุลาคมถือว่าเสี่ยงมากเพราะหิมะเริ่มตกแล้ว พูดไม่ทันขาดคำ จากฝนที่ตกอยู่ดีๆ ฝนกลายเป็นเกล็ดหิมะตกลงมาเฉยเลย ผมเห็นหิมะตกครั้งแรกก็วันนั้น ตื่นเต้นเหมือนเด็กน้อย ก่อนที่บุดด้าจะบอกว่าถ้าอยากมาเหมือนเฉกเช่นคนปกติเขามากัน ให้เลือกมาช่วงเดือนมิถุนายนถึงต้นเดือนกันยายน แต่ถ้าอยากผจญความลำบากก็ให้เลือกมาตุลาคม จะได้กลายเป็นผู้ประสบภัยเช่นผม
.

วันที่ 2 ฝนตกจากการเป็นเกล็ดหิมะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่