⭐️🌙 🌕 [ถุงมือนักเขียน - FINAL] เรื่องที่ 7 " เที่ยง " โดย "ถุงมือเงา" ครับ 🌕 🌙⭐️

กระทู้คำถาม


อิ่มหนำสำราญกับมื้อเที่ยงแล้ว ก็มาต่อกันด้วยเรื่องที่ 7 เข้าสู่ครึ่งหลังแล้วครับสำหรับ เกมถุงมือนักเขียน ของเรา...

เรื่องนี้ ชื่อเรื่องก็สั้นๆ คำเดียว ชื่อถุงมือ ก็สั้นๆ คำเดียว เหมือนกัน...มันจะเป็นไปในแนวใด มาอ่านกันครับ อมยิ้ม04หัวใจดอกไม้

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------




เด็กชายนั่งห้อยขาที่ท่าน้ำหลังบ้าน  พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน ทำให้เขาเกิดความรู้สึกอ้างว้าง ห่อเหี่ยวไม่ชื่นบานยังไงก็ไม่รู้

“ ผีหลอก ” เขาร้องออกมาสุดเสียง เมื่อจู่ๆขาทั้งสองข้างถูกกระตุกเกือบหน้าคะมำหล่นลงไปในแม่น้ำ ดีว่าเอามือยึดเสาไว้ทัน  

“คน ไม่ใช่ผี ” เสียงร้องบอกดังๆกลั้วหัวร่อ  ก่อนร่างนั้นจะโผล่พรวดขึ้นจากใต้น้ำพร้อมกับใบหน้าที่ระบายรอยยิ้มจนเห็นฟันทุกซี่

“กริ๊งๆ” เสียงโทรศัพท์มือถือดังถี่ๆ ผมสะดุ้งเฮือกพรวดพราดลุกขึ้นนั่ง  กวาดตาไปรอบๆมองหาเจ้าของรอยยิ้มที่โผล่พรวดจากน้ำและยิ้มให้จนเห็นฟันทุกซี่แต่ไม่เจอ กลับพบตัวเองนั่งอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่นของคอนโดที่ผมเช่าอยู่

โธ่เอ๊ย  นึกว่าโดนผีหลอก ที่แท้ก็ฝันไป

“กริ๊งๆ”  เสียงโทรศัพท์ร้องเตือน  ผมยื่นมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะข้างโซฟาขึ้นมาส่องตรงหน้า  พอเห็นหมายเลขที่ปรากฏบนหน้าจอ ก็หัวเราะออกมาอย่างขำๆ เพราะคนที่โทรมาหาผมเป็นคนๆเดียวกับที่ผมเพิ่งจะฝันถึง เจ้าของรอยยิ้มที่เห็นฟันทุกซี่นั่นแหละ

“เพิ่งจะฝันถึงนายหยกๆ นายก็โทรมาหา  เหลือเชื่อจริงๆ”

“อย่าไปพูดอย่างนี้ให้ใครฟังล่ะ  ดีไม่ดีเขาจะหาว่าความสัมพันธ์ของเราลึกซึ้งมากกว่าเพื่อน” เที่ยงเอ่ยกับผมอย่างขำๆ เขาเป็นอย่างนี้ตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกัน   ยิ้มง่าย มองโลกในแง่ดี  ไม่เคยคิดร้ายกับใคร

“สบายนะดีเที่ยง ”

“ไม่เจ็บไม่ไข้สบายดี  ว่าแต่นายเถอะสบายดีใช่มั้ย”

“คงจะสบายกว่านี้ ถ้าไม่มีเรื่องบ้าๆมากวนใจ” ผมตอบเสร็จก็ถอนใจยาว

เรื่องบ้าๆที่ผมว่าคือเรื่องเสี่ยอ๋า นายทุนผู้กว้างขวางมาตื้อขอซื้อบ้านริมน้ำของผมเพราะมันดันไปติดกับที่ดินที่เขาจะทำโฮมสเตย์ ผมบอกกับเขาแต่แรกไม่ว่าจะเป็นเขาหรือใครผมก็ไม่ขาย เพราะตายกบ้านหลังนี้ให้ผมและบอกให้ผมดูแลดีๆก่อนที่ตาจะจากโลกนี้ไป

ตาพาผมไปตกปลา  ยายทำอาหารกับขนมอร่อยให้ผมกินและยิ้มแก้มปริทุกครั้งที่ผมชมว่าอร่อย  ผมกับเที่ยงเพื่อนผมไปว่ายน้ำในคลอง ไม่ก็วิ่งเล่นกันในสวน  ความทรงจำดีๆเหล่านี้มันมีค่าสำหรับผม แต่ไม่ใช่นักธุรกิจอย่างเขาที่ต้องการซื้อบ้านผมเพื่อเอาไปทำเป็นลานจอด

เที่ยงรู้ดีว่าผมหมายถึงอะไร เลยเอ่ยขึ้นว่า

“พูดอย่างนี้ แสดงว่าเสี่ยอ๋า  โทรมากวนนายอีกใช่มั้ย”

“โทรมาบ่อย เรารำคาญขึ้นมา เลยบอกไปว่า ไม่ต้องโทรมาอีกนะ เพราะเรากำลังจะย้ายไปอยู่ที่นั่นเร็วๆนี้”

“นายจะย้ายไปจริงๆ หรือแค่พูดยั่วประสาทเขา ”

“ไม่ได้ยั่ว แต่พูดจริงๆ ถึงเราไม่ไปอยู่วันนี้ วันหนึ่งก็ต้องไปอยู่ดี อย่าลืมนะเที่ยง นั่นมันบ้านของเรา”

“เข้าใจเพื่อน แต่ขานั้นเขาเป็นเจ้าพ่อ มีลูกน้องเป็นร้อย นายไปทำให้เขาโกรธ ดีไม่ดีเขาอาจจะเล่นงานนายก็ได้”

“ขอบใจนะเพื่อน ที่เป็นห่วง  ”

“ไม่ห่วงเพื่อน จะไปห่วงใคร ” เที่ยงพูดจบก็หัวเราะเบาๆ


ผมยังจำวันแรกที่ผมกับเที่ยงพบกันได้ดี  

ผมเรียนอยู่ปอสี่  เป็นช่วงปิดเทอม พ่อกับแม่พาผมไปบ้านตากับยาย ไปถึงก็ไล่ให้ผมไปนั่งเล่นที่ท่าน้ำ ส่วนพ่อกับแม่ก็ถกเกียงกันอยู่ในบ้านว่าจะทำอย่างไรกับผมดี  หากพ่อกับแม่เลิกกัน

ตั้งแต่ผมเริ่มจำความได้ แม่กับพ่อทะเลาะกันแทบทุกวัน ทำให้เด็กอย่างผมมีแต่ความทุกข์  ผมก็เลยเป็นเด็กเงียบขรึม ไม่ชอบพูดชอบคุยอย่างที่ครูเขียนไว้ในสมุดพก   แต่ครั้งนี้พ่อกับแม่กำลังจะเลิกกันจริงๆ  

ผมก้มหน้าลงมองสายน้ำตรงหน้า ตอนแรกน้ำตาก็ปริ่มแค่หัวตา  แต่พอคิดถึงพ่อกับแม่ที่กำลังจะทิ้งผมไป ผมก็ปล่อยโฮออกมาดังๆอย่างสุดกลั้น

“ขี้แยเป็นเด็กผู้หญิงไปได้ เด็กผู้ชายเขาไม่ร้องไห้หรอกนะจะบอกให้  “ เขาพูดแค่นั้นก็ว่ายน้ำตรงมาหาผม

ผมโกรธเป็นบ้า ยกแขนปาดน้ำตา ตวาดให้ดังๆ

“ยุ่งอะไรด้วยล่ะ”

“ก็ไม่อยากยุ่งหรอกนะ แต่ไม่อยากเห็นนายร้องไห้  “ พูดจบก็จัดแจงดำผุดดำว่าย  ก่อนจะโผล่ขึ้นมาร้องถามดังๆ

“ทำอย่างนี้เป็นมั้ย “ ถามเสร็จก็ฉีกยิ้มจนเกือบจะถึงใบหู  แถมแลบลิ้นปลิ้นตาใส่

ผมมองเขาอย่างแปลกใจ และนึกขำกับหน้าตาและท่าทางตลกๆของเขาเสียจริงๆ

“เราชื่อเที่ยง  ชื่อจริงชื่อเที่ยงธรรม อยู่แถวนี้  นายล่ะชื่ออะไร “เขาร้องถามยิ้มๆ ยักคิ้วแผล่บ

“เราชื่อ โอ๊ต”

“สวัสดีโอ๊ต  ดีใจที่ได้รู้จัก”

“อาทิตย์หน้า เรากับดาจะเข้ากรุงเทพ มีธุระจะต้องไปทำนิดหน่อย เรียบร้อยแล้วจะไปหา พานายไปเลี้ยงข้าวสักมื้อ ”  เสียงของเที่ยงดึงความคิดที่ล่องลอยไปไกลของผมกลับมา

“ข่าวดีนะเนี่ย  กำลังอยากกินข้าวกับนายและดา อยู่พอดีเลย “

เที่ยงได้ยินก็หัวเราะเบาๆ แต่นานผิดปกติชวนสงสัย ผมเลยถามเขาว่า

“หัวเราะอย่างนี้   มีอะไรเหรอเปล่าเพื่อน”

เที่ยงหัวเราะฮึๆ   ก่อนจะทำให้ผมแปลกใจจนพูดไม่ออก

“เรากับดา  จะแต่งงานกันเร็วๆนี้  เลยจะไปดูสถานที่จัดงานสักหน่อย“

“ว้าว” ผมร้องออกมาดังๆด้วยความแปลกใจและยินดีระคนกัน  “ รอฟังข่าวดีจากนายมานานแล้ว  ยินดีด้วยนะเพื่อน“

“ขอบใจโอ๊ต นายเตรียมตัวเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวได้เลยนะ ”

"เราน่ะเตรียมพร้อม ตั้งแต่วันแรกที่นายเป็นแฟนกับดาแล้วล่ะ“

“เรากับดาจะแต่งงานกันแล้ว แล้วนายล่ะ เจอใครหรือยัง”

“ไม่รีบเพื่อน เจอเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น”

เที่ยงได้ยินเลยค้านอย่างรู้ทัน

“ไม่ใช่ทุกคู่หรอกนะโอ๊ต ที่จบไม่สวยอย่างพ่อกับแม่นาย ดูตากับยายซิ ท่านอยู่ด้วยกันตั้งห้าสิบกว่าปี ก่อนที่จะตายจากกัน ถ้านายจะเปิดใจสักครั้ง ลองรักใครสักคน คนดีๆอย่างนาย วันหนึ่งต้องเจอคนที่ใช่จนได้ เชื่อเราซิ”

ผมได้ยินก็หัวเราะฮึๆ ก่อนจะเปลี่ยนไปพูดเรื่องของเขา เที่ยงเป็นเซลล์แมนต้องเดินทางตลอด เขาว่าจะออกจากงานหลังแต่งงานแล้วทำธุรกิจส่วนตัวกับดา เพราะเบื่อที่จะเดินทางอีกต่อไป

เราคุยกันอยู่พักใหญ่ ก่อนจะเลิกสาย เที่ยงบอกกับผมในประโยคเดิมๆที่เที่ยงชอบพูด และทำให้ผมอบอุ่นทุกครั้งที่ได้ยิน  

"ขอบใจนะโอ๊ต ที่เป็นเพื่อนกับเรา"

"เราก็ต้องขอบใจนายเหมือนกัน เพราะนายแท้ๆที่ทำให้เด็กขี้แยอย่างเรายิ้มได้

ผมขับรถไปบนถนนสายนั้น จุดหมายปลายทางคือ บ้านริมน้ำ

ผมตั้งใจจะไปให้ถึงบ้านก่อนค่ำ แต่เพราะธุระติดพันกว่าจะออกจากกรุงเทพก็เย็น ขับมาได้ครึ่งทางก็มืด  มองเห็นพุ่มไม้ข้างทางดูเลือนรางเป็นเงาตะคุ่ม

ผมชอบขับรถตอนกลางวัน ทัศนวิสัยดีกว่า ปลอดภัยกว่า จะแวะพักที่ไหนก็ได้ไม่ง่วง  ผิดกับเที่ยงเขาชอบขับรถตอนกลางคืน  เจ้าตัวบอกว่าอากาศเย็นสบาย รถน้อย ฟังเพลงเพลินๆเดี๋ยวเดียวก็ถึงที่หมาย  

“บ้านเก่าใกล้จะพังอย่างนั้น แกจะเก็บเอาไว้ทำไม เขาอยากได้ก็ขายๆไปให้เขา แล้วเอามาแบ่งให้ฉันบ้าง ตอนนี้หนี้สินฉันท่วมหัวแกเป็นลูกก็ต้องช่วยฉันบ้าง”

แม่โทรหาผมทันทีที่รู้จากญาติว่าเสี่ยอ๋ามาขอซื้อบ้านริมน้ำเพื่อขอส่วนแบ่ง พ่อเองก็เหมือนกับแม่ โทรมาพูดเรื่องนี้กับผม  ขึ้นต้นบอกว่าห่วง  แต่ลงท้ายก็ขอส่วนแบ่งอย่างเดียวกับแม่

ตากับยายไม่ต้องห่วงนะครับ  ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ผมไม่ขายบ้านหลังนี้เด็ดขาด

“เฮ้ย ขับรถประสาอะไรวะเนี่ย “ ผมร้องออกมาดังๆ ความคิดที่เตลิดไปไกลคืนกลับมา เมื่อจู่ๆรถกระบะสีดำคันนั้นมาจากไหนผมไม่ทันเห็นดันแล่นมาตัดหน้าผมในระยะประชิด ดีว่าผมหักหลบเสียทัน

หน้าปากซอยบ้านผมเป็นร้านอาหารตามสั่งและขายของชำ เจ้าของร้านชื่อลุงดำรู้จักกับผมและครอบครัวผมดี ผมพารถไปจอดที่หน้าร้านเพื่อหาซื้อข้าวกับน้ำและของขบเคี้ยวกลับไปกินที่บ้าน   ลุงดำเห็นผมก็ทักทายไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบ  

ซอยบ้านผมค่อนข้างลึกและเปลี่ยว สองข้างทางมีหญ้าสูงท่วมหัว บ้านผมตั้งอยู่สุดซอยโดดเดี่ยว ไม่มีเพื่อนบ้าน

ผมขับรถไปคิดอะไรเรื่อยเปื่อย แต่ความคิดของผมต้องสะดุด เพราะมีรถขับตามหลังผมมา แถมเปิดไฟสูงจนตาทั้งสองของผมพร่า ผมเลยปรับกระจกมองหลังไม่ให้แสงแยงเข้าตา

หรือว่าเสี่ยอ๋าจะส่งคนมาเล่นงานผม ทันทีที่คิดใจผมก็หายวูบขึ้นมา สองวันก่อนผมโทรคุยกับเที่ยง พอผมบอกเขาว่าจะกลับบ้านเขาก็เตือนให้ผมระวังตัว  เสียดายที่เที่ยงไม่อยู่ด้วย ถ้าเขาอยู่ด้วยผมคงอุ่นใจ

ตากับยายผมเป็นคนแถวนี้ก็จริง แต่ผมไปอยู่กรุงเทพกับพ่อแม่ นานๆจะมาเยี่ยมตากับยายสักที   เด็กแถวนั้นเห็นผมเป็นเด็กต่างถิ่นเลยหาเรื่องผม แต่ก็แค่ตอนแรกเท่านั้น เพราะตอนหลังพอผมเป็นเพื่อนกับเที่ยง ใครหน้าไหนก็ไม่กล้ามายุ่งกับผม ถึงเที่ยงจะคนเดียว และตัวก็ไม่ใหญ่โตอะไร แต่เที่ยงก็จัดการเด็กพวกนั้นที่มีตั้งหลายคนจนหมอบทุกที  

ไม่เป็นไร ถึงเที่ยงไม่อยู่ด้วย แต่ปืนผมก็ยังมี ผมคิดพลางมองไปที่คอนโซลหน้ารถ ผมเก็บปืนพกไว้ในนั้น  ถ้าเขาเป็นคนของเสี่ยอ๋าอย่างที่ผมคิดและตามมาเพราะต้องการทำร้ายผม ปืนกระบอกนั้นคงจะพอช่วยผมได้ ผมให้กำลังใจตัวเอง แต่ก็ช่วยไม่ได้มากนักหรอก

ผมเหยียบคันเร่งจนสุด อีกนิดเดียวจะถึงบ้าน มองผ่านกระจกมองหลังไม่เห็นรถคันนั้นตามมา ผมก็ถอนใจออกมาอย่างโล่งอก

ผมจอดรถที่หน้าบ้าน ยื่นมือไปเปิดคอนโซลดึงปืนออกมา เผื่อว่าเจ้าของรถที่ขับตามผมมาเมื่อกี้จะย้อนกลับมา กันไว้ดีกว่าแก้ เรื่องอย่างนี้ประมาทได้ที่ไหน

ผมเปิดประตูก้าวลงจากรถ  จู่ๆลมเย็นก็พัดเกรียว จนผมขนลุกซู่

“ใคร มายืนทำอะไรที่นั่น ” ผมถามตัวเอง เมื่อมองไปที่ท่าน้ำแล้วเห็นเงาตะคุ่มๆของใครคนหนึ่งยืนอยู่ที่นั่น  

ผมกระชับปืนในมือไว้แน่น กระแทกประตูปิดดังปัง  สาวเท้าไปหาชายคนนั้น  ผมอยากรู้ว่าเขาเป็นใคร  มายืนทำไมที่ท่าน้ำบ้านผมกลางค่ำกลางคืนอย่างนี้

“นั่นใคร มายืนทำอะไรที่นี่ “  ผมถามดังๆนำไปก่อน  

เราเอง เที่ยง

“มาได้ไง ไหนบอกว่าไปทำงานที่พิษณุโลก” ผมร้องถามเมื่อไปยืนตรงหน้า แสงสลัวของแสงจันทร์ทำให้ผมมองเห็นใบหน้าเขาลางๆ

รุ่งเช้าหลังตื่นนอนแปรงฟันล้างหน้าเรียบร้อย ผมซึ่งอยู่ในกางเกงขาสั้นทีเชิ้ตเก่าๆชุดเดียวกับที่ใส่นอน ออกจากห้องนอนก็ไปหาเที่ยงที่อยู่ในห้องติดกัน  เมื่อคืนเราคุยกันจนดึก ผมเลยให้เขาค้างที่บ้านผมแทนจะไปบ้านลุงเขาที่อยู่ถัดไปสองคุ้งน้ำ เมื่อไปถึงก็พบประตูปิดสนิทเหมือนกับตอนที่ผมออกมาจากห้องแล้วปิดให้เขาเมื่อคืนนี้  

ผมเรียกเขาอยู่หลายครั้ง แต่เขาไม่ตอบ ผมเลยเปิดประตูเข้าไปดูก็พบว่า เที่ยงไม่อยู่ในห้องเสียแล้ว  

เกิดอะไรกับเที่ยง ไม่ได้เอารถมาทำไมไม่ปลุกผม จะได้ไปส่ง  เมื่อคืนท่าทางเขาดูแปลกๆ ผมจะท้วงอยู่แล้ว แต่เพราะความดีใจที่ได้พบเขาอย่างไม่คาดฝัน ก็เลยไม่ได้พูดอะไรออกมา

ประตูหน้าบ้านถูกเคาะแรงๆ ผมก้าวยาวๆจากห้องนอน ไปยังประตู เปิดออกไปก็แปลกใจ เมื่อพบว่าคนที่มาเคาะประตูแต่เช้า คือลุงธรซึ่งเป็นลุงของเที่ยง

“สวัสดีครับลุง ไปไงมาไงครับเนี่ย เข้ามาก่อนซิครับ” ผมทักทายยกมือไหว้ เชื้อเชิญให้ลุงเข้ามาในบ้าน แต่ลุงธรปฏิเสธ

“ลุงไปที่ร้านลุงดำมา เขาว่าเรามา ก็เลยมาบอกเรื่องเที่ยงกับเรา”

“มีอะไรเหรอครับลุง “

“มันขับรถจะมาที่นี่ แต่รถคว่ำตาย ตอนนี้ศพมันอยู่ที่โรงพยาบาลในเมือง”


“อะไรนะครับลุง”

ผมร้องออกมาเสียงหลง ใจเต้นรัว  ตาทั้งสองที่มองไปยังลุงธรพร่ามัว หูอื้ออึง

“เที่ยงรถคว่ำตาย นี่ลุงกำลังจะไปโรงพยาบาลเพื่อไปดูศพมันไว้”

“ลุงล้อผมเล่นหรือเปล่า  จะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อเมื่อคืนนี้….”

“พูดถึงเมื่อคืนนี้  ลูกน้องเสี่ยอ๋ารถคว่ำกลางซอยบ้านเรา  ตายหนึ่ง บาดเจ็บสอง สิ่งใดในโลกล้วน อนิจจัง”

ลุงธรพูดจบก็ถอนใจ ในขณะที่ผมหมดแรงเซไปปะทะกับขอบประตู ขนลุกซู่  

“ลุงมาบอกเราแค่นี้ล่ะ จะรีบไปโรงพยาบาล “

“ผมไปด้วยครับลุง ขอผมไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเดี๋ยวเดียว ไม่นาน”

“ได้ซิ งั้นลุงรอหน้าบ้านแล้วกันนะ”

(ต่ออีกนิดนึงครับ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่