เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่ 20 และอาจเป็นเรื่องสุดท้ายครับ เพราะจนถึงเวลาที่กรรมการกำลังตั้งกระทู้นี้อยู่ (10 โมง 15) ก็ยังไม่มีใครส่งเรื่องมาเพิ่ม
และกรรมการ ขอกำหนด "วันส่งคำตอบสุดท้าย" ของทุกเรื่อง เป็น 18 พ.ย. ครับ
เชิญติดตาม เรื่องที่ 20 ได้ ณ บัดนี้...
เขาว่าหญิงชายมาพบและรักกันเป็นเพราะบุพเพสันนิวาส ผมเห็นด้วยกับเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่งเพราะพ่อผมเป็นคนใต้ แม่ผมเป็นคนเหนือแต่มาพบและรักกันที่กทม. ถ้าอย่างนี้ไม่เรียกว่าบุพเพแล้วจะเรียกว่าอะไร
แม่ผมเสียไปตั้งแต่ผมย่างเข้าวัยรุ่น ตอนแม่เสียพ่อยังหนุ่มแน่นอายุสามสิบปลายๆ รูปร่างหน้าตาดีจะหาใครมาแทนที่แม่ก็ได้แต่พ่อกลับไม่สนใจใคร พอใจจะเป็นคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวดูแลผมกับพี่สาวอย่างอดทน และไม่ว่าผมกับพี่สาวจะถามพ่อตอนนั้น หรือว่าตอนนี้ที่พ่อชรา ว่าทำไมพ่อจึงไม่มีความรักครั้งใหม่ พ่อก็จะตอบในประโยคเดิม
“จะรักใครได้ล่ะ ในเมื่อแม่เราคือรักแรก และรักสุดท้ายของพ่อ”
เพราะซาบซึ้งในความรักที่พ่อมีต่อแม่ผมก็เลยภาวนาอยู่ในใจเงียบๆ วันหนึ่งเมื่อผมเจอผู้หญิงที่ผมรัก ผมจะรักเธอให้เท่ากับที่พ่อรักแม่ทีเดียว
แล้วบุพเพก็อุ้มสมให้ผมได้พบกับเธอในวันนั้น…..
ผมไปทำธุระแถวสีลม กะว่าเสร็จธุระซึ่งคงไม่เกินชั่วโมงจะไปหาข้าวกินที่ร้านอาหารเจ้าประจำที่สยาม แต่ทำไปทำมากว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยปาเข้าไปเกือบบ่าย ทำเอาผมที่ไม่ได้กินอาหารเช้าหิวจนตาลาย ระหว่างที่ขับรถผ่านซอยเล็กๆเพื่อจะไปออกถนนใหญ่ ผมเหลือบไปเห็นร้านอาหารไม่มีชื่อตั้งอยู่ในตึกแถวเก่าๆ เพราะหิวผมเลยปาดรถไปจอดที่หน้าร้านไม่ไปกินที่ร้านเจ้าประจำแต่จะกินที่ร้านนี้นี่แหละ
ภายในร้านมีแปดโต๊ะด้านซ้ายสี่โต๊ะเท่ากับด้านขวาที่มีบาร์ตั้งอยู่ด้านในสุด โต๊ะไม้รูปทรงสี่เหลี่ยมปูด้วยผ้าปูสีครีมมีดอกไม้หลากสีช่อเล็กๆประดับอยู่ในแจกันแก้วใบเขื่องชวนมอง
ลูกค้าในร้านมีแค่สามโต๊ะ ขวามือสองโต๊ะ ส่วนอีกโต๊ะอยู่ด้านซ้ายมือติดกับประตู ผมหันรีหันขวางอยู่ครู่ก่อนจะเดินไปนั่งที่โต๊ะที่สองด้านซ้ายมือ เกรงว่าถ้าไปนั่งที่โต๊ะขวามือเดี๋ยวโต๊ะซ้ายมือจะน้อยใจ
ผมสั่งข้าวราดหน้ากระเพราไก่กับไข่ดาวน้ำปล่าหนึ่งขวดกับชาดำเย็นหนึ่งแก้ว ระหว่างที่รออาหารและครื่องดื่มอยู่นั้นผมก็มองลูกค้าที่อยู่ในร้านฆ่าเวลาไปพลางๆ
ขวามือโต๊ะแรกเป็นคู่รักวัยรุ่น โต๊ะถัดไปเป็นหญิงสาวสองคนในเครื่องแบบธนาคารชื่อดังกำลังคุยกันอย่างออกรส ส่วนด็กหนุ่มสี่คนที่นั่งเลยจากโต๊ะผมไปหน่อยกำลังคุยกันอย่างสนุกสนานประสาเพื่อน
ความคิดของผมสะดุดเมื่อเธอผลักประตูร้านก้าวเข้ามา ผู้หญิงตัวเล็กๆสูงประมาณร้อยห้าสิบกว่าใบหน้ากลมไว้ผมบ๊อบสั้นแค่คอ แม้ใบหน้าของเธอจะไม่หวานหยาดเยิ้ม ทรวดทรงองค์เอวก็ไม่ได้เว้าโค้งเห็นแล้วชวนน้ำลายหกแต่เธอก็เป็นผู้หญิงน่ารักมากๆสำหรับผม
ผมแอบสำรวจเธออยู่เงียบๆ เริ่มจากใบหน้ากลมๆที่ปากคอคิ้วคางดูกระจุ๋มกระจิ๋มน่ารัก ก่อนจะไปหยุดที่ใฝเม็ดเขื่องที่ปลายคิ้วซ้ายสุดเก๋ มองร่างเล็กๆในกระโปรงชุดติดกันคอกลมแขนสั้นความยาวแค่เข่าสีเหลืองสดใสราวกับดอกทานตะวันในทุ่งตัดกับผิวสีแทนของเธอ ไหล่ขวาสะพายกระเป๋าสีดำเข้ากับรองเท้าคัทชูส้นเตี้ย ดูเธอจะไม่สนใจผมหรือใครๆ ก้าวฉับๆไปยังเคาน์เตอร์
“รับอะไรดีคะ? “
“มาเอาอาหารที่สั่งไว้น่ะค่ะ”
“ขอโทษนะคะ คุณลูกค้าชื่ออะไรคะ” แคชเชียร์ถามอย่างสุภาพ
“อรุณรุ่งค่ะ “
อรุณรุ่ง ผมทวนชื่อเธอในใจไปมา ส่งยิ้มไปให้แต่เธอไม่เห็น เสียดายแต่ไม่เสียใจ เพราะเธอจะเห็นหรือไม่ผมก็ดีใจอยู่นั่น ที่ยิ้มให้เธอ
แคชเชียร์เดินหายเข้าไปในครัวด้านหลังสักครู่ก็กลับออกมาพร้อมกับอาหารถุงใหญ่
อาหารมากมายขนาดนี้เธอไม่ได้กินคนเดียวแน่นอน แถวนี้บริษัทห้างร้านออกพรึ่บเธออาจจะซื้อไปกินกับเพื่อนร่วมงาน ผมคิดเงียบๆอยู่ในใจตาทั้งสองจับจ้องอยู่ที่เธอ
“ค่าอาหารทั้งหมดเท่าไหร่คะ” เธอถามยิ้มๆ เสียงอันอ่อนหวานของเธอดึงความคิดของผมกลับมา
“ ห้าร้อยหกสิบค่ะ” แคชเชียร์ตอบอย่างสุภาพตามเคยพร้อมกับส่งยิ้มไปให้ เธอยิ้มตอบพร้อมกับยื่นแบงค์พันให้แคชเชียร์อีกฝ่ายรับเงินไปเร็วๆแล้วเปิดลิ้นชักหาเงินทอน
“นี่ค่ะ เงินทอน “แคชเชียร์ร้องบอกยิ้มๆ ส่งเงินทอนให้ เธอได้เงินทอนก็หมุนตัวกลับก้าวยาวๆจะไปที่ประตู
อ้าว แล้วอาหารที่คุณสั่ง ไม่เอาไปด้วยเหรอครับ จ่ายเงินแล้วนะครับนั่น ผมไม่ได้พูดแต่คิด หากแคชเชียร์ที่คิดเช่นเดียวกับผมเห็นอย่างนั้นก็เรียกเธอดังๆ
“อย่าเพิ่งไปค่ะคุณ อรุณรุ่ง คุณลืมอาหารที่คุณสั่งไว้ “
เธอที่เดินไปเกือบจะถึงประตูชะงัก หมุนกลับมาเร็วๆ เดินกลับไปที่บาร์หยิบถุงอาหารจากเคาน์เตอร์ส่ายศีรษะไปมา บอกกับแคชเชียร์เขินๆ
“พักนี้หลงลืมประจำเลยค่ะ โทษทีนะคะ ” พูดจบก็ยิ้มให้แคชเชียร์ อีกฝ่ายยิ้มตอบ เธอขอบใจแคชเชียร์เรียบร้อยก็หมุนตัวกลับก้าวเร็วๆไปที่ประตู หนึ่งในสี่หนุ่มที่นั่งโต๊ะถัดจากผม วิ่งปรู๊ดไปเปิดประตูให้
ผมโกรธตัวเองจนหัวหมุน มัวแต่คิดแต่ไม่ทำเลยได้แต่นั่งมองหล่อนขอบใจไอ้หนุ่มคนนั้นพร้อมกับส่งยิ้มให้เสียหวานจ๋อยอย่างเสียดาย
อะไรจะเกิดขึ้น หากวันนั้นไม่ใช่ไอ้หนุ่มคนนั้นที่ไปเปิดประตูให้เธอแต่เป็นผม ที่เปิดประตูให้เธอเรียบร้อยก็ตามเธอไปนอกร้านเพื่อขอเบอร์โทรศัพท์ หน้าตาของเธอไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำ ยังไงเสียเธอต้องให้เบอร์ผมแน่ๆผมมั่นใจ แต่เพราะมัวแต่เชื่องช้าก็เลยโดนไอ้หนุ่มคนนั้นตัดหน้า ยิ่งคิดผมก็สุดแสนเสียดาย ถ้าทำได้ผมอยากจะย้อนเวลากลับไปวันนั้น ….
2.
“คุณคะ ขอข้าวฉันอีกคำได้ไหม ฉันยังกินไม่อิ่มเลย เอาไข่เยอะๆเลยนะ”
“ได้ซิครับ ทำไมจะไม่ได้ ” ผมบอกเธอยิ้มๆจับช้อนตักไข่ใส่ข้าวแล้วป้อนใส่ปากเธอที่อ้ารอ
“ขออีกสองช้อนนะคะ ” เธอร้องขอ ทำตาปริบๆราวกับเด็กตัวเล็กๆยามที่อยากได้ขนม หรือของเล่น
“ผมให้คุณห้าช้อน เลยนะ ”
“ไม่เอา ห้าช้อนมากไป เดี๋ยวท้องแตก “เธอพูดจบก็หัวเราะเอิ๊กอ๊าก ใบหน้าเบี้ยวไปมายกมือเกาศีรษะแกรกๆ ผมพยายามกล้ำกลืนก้อนเนื้อแข็งๆที่แล่นมาจุกคอหอยลงไปในอก
ผมมองเธออันเป็นสุดที่รัก ที่ตอนนี้รูปร่างหน้าตาของเธอเปลี่ยนไปแทบจะไม่เหลือเค้าโครงเดิม ทั้งที่ในวันแต่งงานของเราเธอสวมชุดสีขาวฟูฟ่อง สวยราวกับนางฟ้าตัวน้อยๆ
ท่ามกลางแขกเหรื่อที่มาล้นห้องจัดงานผมยืนเคียงข้างนางฟ้าของผม พร้อมกับกล่าวขอบคุณเพื่อนๆญาติผู้ใหญ่รวมทั้งแขกผู้มีเกียรติที่มาร่วมในงานของเรา และไม่ลืมที่จะกล่าวขอบคุณบุพเพสันนิวาส ที่บันดาลให้ผมพบกับเจ้าสาวของผมครั้งแรกที่ร้านอาหารแถวสีลม หกเดือนให้หลังเราได้มาพบกันอย่างบังเอิญอีกครั้งที่โรงพยาบาลแห่งนั้น เมื่อผมพาพ่อผมไปหาหมอส่วนเธอไปตรวจสุขภาพ สามเดือนต่อมาเราก็แต่งงานกัน
“คุณคะ คุณเป็นใคร ชื่ออะไรเหรอคะ”
เสียงของเธอ ดึงความคิดของผมกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ผมเอาผ้าเช็ดหน้าเช็ดข้าวที่ติดมุมปากให้เธอ บอกเธอยิ้มๆ
“ผมชื่อสถิต เป็นคนรักของคุณไงล่ะครับ ”
“คนรัก” เธอทำเสียงแหลมปรี๊ด ทำตาโตใส่ผม
“ครับ เรารักกัน”
“แล้วฉันชื่ออะไรล่ะคะ คุณสถิต “
“คุณชื่ออรุณรุ่ง เป็นผู้หญิงที่น่ารัก และสวยที่สุดในโลกเลย “ ผมตอบเธออย่างตื้นตันขอบตาทั้งสองข้างร้อนผ่าวผมพยายามแล้ว แต่ห้ามไม่ได้จริงๆพักหลังผมร้องไห้บ่อยๆจนอดรำคาญตัวเองไม่ได้
ปีที่แล้วเธอออกไปที่ห้างใกล้บ้าน เพื่อซื้อของขวัญให้ผมเนื่องในวันครบรอบวันแต่งงานเจ็ดปีของเราแล้วเกิดหลงทางกลับบ้านไม่ถูก โชคดีที่พนักงานห้างโทรหาผมจากเบอร์ของผมที่เซฟไว้ในโทรศัพท์มือถือของเธอ
“อาการของภรรยาคุณ เป็นอาการของโรคประสาทเสื่อมหรือโรคอัลซไฮเมอร์ และอาการที่ว่านี้จะหนักขึ้นเรื่อยๆจนคุณอาจจะดูแลเธอไม่ไหว ผมจึงขอแนะนำว่าคุณควรจะต้องวางแผนเอาไว้เนิ่นๆ ว่าจะทำอย่างไร เมื่อถึงตอนนั้นที่เธอจำอะไรไม่ได้ แม้แต่ชื่อตัวเองหรือว่าชื่อคุณ”
นายแพทย์ที่ตรวจอาการเธอรายงานอาการของเธอกับผม ผมตกใจนะแต่ไม่แปลกใจ เพราะวันแรกที่พบกันในห้องอาหารเธอจ่ายค่าอาหารแต่ลืมเอาอาหารไป เจอกันครั้งที่สองที่โรงพยาบาลเธอบอกผมว่าเธอหลงๆลืมๆตอนนั้นผมยังให้กำลังใจเธอเลยว่า ไอ้โรคขี้ลืมใครๆก็เป็นกันได้ อนิจจาผมไม่รู้เลยว่าเธอเป็นโรคนี้
“คุณคะ อย่าร้องไห้ซิคะ ทำไมคุณขี้แยเป็นเด็กอย่างนี้ล่ะ” เธอร้องบอกดังๆ ยื่นมือมาเช็ดน้ำตาให้
“ผมขอโทษ ผมจะไม่ร้องไห้อีก ผมให้สัญญา”
“ใครทำให้คุณเสียใจคะ บอกฉันมาซิคะ ฉันจะไปบอกเขาว่าอย่ามาทำให้คุณร้องไห้อีก ”
“ทานข้าวเถอะนะครับ เสร็จแล้วจะได้ไปอาบน้ำนอน”
“สระผมด้วยนะคะ ฉันคันหัวน่าดูเลย” เธอพูดจบก็เอาสองมือเกาศีรษะถี่ๆ ผมจึงรวบมือเธอมาจูบแรงๆเธอชักมือกลับ ถามอย่างไม่พอใจ
“คุณมาจูบมือฉัน ทำไม”
“จูบเพราะว่าผมรักคุณ “
“แล้วฉันรักคุณเหรอเปล่าคะ” เธอเอียงคอถามคิ้วทั้งสองขมวดเข้าหากัน
“รักซิครับ ถ้าไม่อย่างนั้นเราคงไม่แต่งงานกันในวันนั้น และอยู่ด้วยกันจนทุกวันนี้“
เธอเอียงคอถามผม
“ฉันชื่ออะไรคะ ”
“คุณชื่อ อรุณรุ่ง “
“แล้วคุณ ชื่ออะไรเหรอคะ”
“ผมชื่อสถิต”
“ฉันชื่ออรุณรุ่ง คุณชื่อสถิต โอ้ยฉันปวดหัวจังไปนอนดีกว่า”
“แต่คุณยังทานข้าวไม่หมด เหลือไม่กี่คำแข็งใจทานอีกนิด มามะผมจะป้อนให้ ”
“อิ่มแล้ว ไม่กินแล้ว จะนอน “ เธอทำเสียงกระเง้ากระงอด พรวดพรวดลุกจากเก้าอี้ ผมปราดเข้าไปประคองเพราะกลัวเธอจะหกล้ม
“ไม่ต้องประคอง ฉันเดินได้” เธอโอ่เสร็จก็ยิ้มแป้น
“ผมรู้ว่าคุณเดินได้ แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ยังอยากประคองคุณอยู่ดี ”
“ทำไม คุณถึงต้องทำอย่างนี้ ด้วยล่ะ”
“ก็เพราะผมรักคุณ “
“รัก ฉัน ”
“ครับ ผมรักคุณมาก“
เธอมองหน้าผม ยิ้มให้ ก่อนจะทำให้ผมตีบตันจนพูดไม่ออกด้วยประโยคนั้นของเธอ
“ขอบคุณนะคะ ที่รักฉัน“ เธอพูดกับผมราวกับผมเป็นคนแปลกหน้าทำให้ผมรู้สึกเจ็บแปลบที่ใจ ความจริงผมน่าจะชินกับมันได้แล้ว แต่จนแล้วจนรอดผมก็ยังทำใจไม่ได้สักที
ผมประคองเธอไปยังห้องน้ำ สระผม อาบน้ำ แต่งตัวให้เธอเรียบร้อยก็พาเธอไปยังห้องนอน ให้เธอนอนบนเตียงแล้วห่มผ้าให้
ผมนั่งลงบนเตียงข้างเธอ ถามเธอว่าวันนี้จะฟังผมร้องเพลงหรือว่าจะให้ผมเล่านิทานให้ฟังดี เธอบอกผมว่าไม่ฟังแล้วนิทาน เบื่อแต่อยากฟังผมร้องเพลง ผมได้ยินอย่างนั้นก็ไม่รอช้ารีบร้องเพลงให้เธอฟังทันที
ผมร้องเพลงไปเรื่อยๆ ไม่ได้นับว่ากี่เพลง ไม่สนใจด้วยว่าเพลงอะไร ร้องกระทั่งเธอหลับใหล แล้วผมได้ยินเสียงสะอื้นของตัวเองลึกๆในอก นั่นแหละผมจึงได้หยุดร้อง
ผมค่อยๆโน้มตัวลงไปหาเธอ จรดริมฝีปากที่หน้าผากแล้วค่อยๆเลื่อนลงมาที่แก้มทั้งสอง จากนั้นก็มาหยุดที่ริมฝีปากที่ครั้งหนึ่งทำให้ผมตื่นเต้น หวั่นไหวทุกครั้งที่สัมผัสหากตอนนี้กลับจืดชืดเย็นชา ก่อนจะบอกทั้งที่เธอไม่ได้ยินอย่างเคย
“หลับฝันดีนะครับอรุณรุ่ง พรุ่งนี้คุณตื่นขึ้นมาตอนรุ่งอรุณ ผมก็ยังอยู่ที่นี่เพราะรัก และจะรักตลอดไป”
โดย ถุงมือ "แมกไม้"
รายชื่อให้เลือกตอบครับ
1. Na(นะ)
2. สวนดอก
3. WANG JIE
4. ส่องแสงตะวันฉาย
5. LUCKARD
6. ผีเสื้อสีดำ
7. เกสรผกา
8. เพ็ญพิชญา
9. peiNing
10. Lady Star 919
11. kasareev
12. KTHc
13. นลินมณี
14. ladylongleg สมาชิกหมายเลข 2326325
15. ยัยตัวร้ายมุกอันดา
16. สมาชิกหมายเลข 4103002
17. คีตมินทร์
18. ลายลิขิต
19. turtle_cheesecake
20. อิสิ
21. จอมยุทธนักสืบ
22. psycho_factory
23. Tantava
24. B-thirteen
25. ชายขอบคันนายาว
หมายเหตุ : ท่านใด ยังไม่ได้ส่งเรื่องให้กรรมการ
โปรดส่ง ภายในเวลา ไม่เกินวันที่ 16 พ.ย. พ้นจากนี้ ถือว่าสละสิทธิ์ หรือถอนตัวครับ
***** ส่ง "คำตอบสุดท้าย" ของทุกเรื่อง ภายในวันที่ 18 พ.ย. 2560 *****
🌼💖🌼 ถุงมือนักเขียน (ครึ่งหลัง) เรื่องที่ 20 "เพราะรัก และจะรักตลอดไป" โดย ถุงมือ "แมกไม้" ครับ 🌼💖🌼
เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่ 20 และอาจเป็นเรื่องสุดท้ายครับ เพราะจนถึงเวลาที่กรรมการกำลังตั้งกระทู้นี้อยู่ (10 โมง 15) ก็ยังไม่มีใครส่งเรื่องมาเพิ่ม
และกรรมการ ขอกำหนด "วันส่งคำตอบสุดท้าย" ของทุกเรื่อง เป็น 18 พ.ย. ครับ
เชิญติดตาม เรื่องที่ 20 ได้ ณ บัดนี้...
เขาว่าหญิงชายมาพบและรักกันเป็นเพราะบุพเพสันนิวาส ผมเห็นด้วยกับเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่งเพราะพ่อผมเป็นคนใต้ แม่ผมเป็นคนเหนือแต่มาพบและรักกันที่กทม. ถ้าอย่างนี้ไม่เรียกว่าบุพเพแล้วจะเรียกว่าอะไร
แม่ผมเสียไปตั้งแต่ผมย่างเข้าวัยรุ่น ตอนแม่เสียพ่อยังหนุ่มแน่นอายุสามสิบปลายๆ รูปร่างหน้าตาดีจะหาใครมาแทนที่แม่ก็ได้แต่พ่อกลับไม่สนใจใคร พอใจจะเป็นคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวดูแลผมกับพี่สาวอย่างอดทน และไม่ว่าผมกับพี่สาวจะถามพ่อตอนนั้น หรือว่าตอนนี้ที่พ่อชรา ว่าทำไมพ่อจึงไม่มีความรักครั้งใหม่ พ่อก็จะตอบในประโยคเดิม
“จะรักใครได้ล่ะ ในเมื่อแม่เราคือรักแรก และรักสุดท้ายของพ่อ”
เพราะซาบซึ้งในความรักที่พ่อมีต่อแม่ผมก็เลยภาวนาอยู่ในใจเงียบๆ วันหนึ่งเมื่อผมเจอผู้หญิงที่ผมรัก ผมจะรักเธอให้เท่ากับที่พ่อรักแม่ทีเดียว
แล้วบุพเพก็อุ้มสมให้ผมได้พบกับเธอในวันนั้น…..
ผมไปทำธุระแถวสีลม กะว่าเสร็จธุระซึ่งคงไม่เกินชั่วโมงจะไปหาข้าวกินที่ร้านอาหารเจ้าประจำที่สยาม แต่ทำไปทำมากว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยปาเข้าไปเกือบบ่าย ทำเอาผมที่ไม่ได้กินอาหารเช้าหิวจนตาลาย ระหว่างที่ขับรถผ่านซอยเล็กๆเพื่อจะไปออกถนนใหญ่ ผมเหลือบไปเห็นร้านอาหารไม่มีชื่อตั้งอยู่ในตึกแถวเก่าๆ เพราะหิวผมเลยปาดรถไปจอดที่หน้าร้านไม่ไปกินที่ร้านเจ้าประจำแต่จะกินที่ร้านนี้นี่แหละ
ภายในร้านมีแปดโต๊ะด้านซ้ายสี่โต๊ะเท่ากับด้านขวาที่มีบาร์ตั้งอยู่ด้านในสุด โต๊ะไม้รูปทรงสี่เหลี่ยมปูด้วยผ้าปูสีครีมมีดอกไม้หลากสีช่อเล็กๆประดับอยู่ในแจกันแก้วใบเขื่องชวนมอง
ลูกค้าในร้านมีแค่สามโต๊ะ ขวามือสองโต๊ะ ส่วนอีกโต๊ะอยู่ด้านซ้ายมือติดกับประตู ผมหันรีหันขวางอยู่ครู่ก่อนจะเดินไปนั่งที่โต๊ะที่สองด้านซ้ายมือ เกรงว่าถ้าไปนั่งที่โต๊ะขวามือเดี๋ยวโต๊ะซ้ายมือจะน้อยใจ
ผมสั่งข้าวราดหน้ากระเพราไก่กับไข่ดาวน้ำปล่าหนึ่งขวดกับชาดำเย็นหนึ่งแก้ว ระหว่างที่รออาหารและครื่องดื่มอยู่นั้นผมก็มองลูกค้าที่อยู่ในร้านฆ่าเวลาไปพลางๆ
ขวามือโต๊ะแรกเป็นคู่รักวัยรุ่น โต๊ะถัดไปเป็นหญิงสาวสองคนในเครื่องแบบธนาคารชื่อดังกำลังคุยกันอย่างออกรส ส่วนด็กหนุ่มสี่คนที่นั่งเลยจากโต๊ะผมไปหน่อยกำลังคุยกันอย่างสนุกสนานประสาเพื่อน
ความคิดของผมสะดุดเมื่อเธอผลักประตูร้านก้าวเข้ามา ผู้หญิงตัวเล็กๆสูงประมาณร้อยห้าสิบกว่าใบหน้ากลมไว้ผมบ๊อบสั้นแค่คอ แม้ใบหน้าของเธอจะไม่หวานหยาดเยิ้ม ทรวดทรงองค์เอวก็ไม่ได้เว้าโค้งเห็นแล้วชวนน้ำลายหกแต่เธอก็เป็นผู้หญิงน่ารักมากๆสำหรับผม
ผมแอบสำรวจเธออยู่เงียบๆ เริ่มจากใบหน้ากลมๆที่ปากคอคิ้วคางดูกระจุ๋มกระจิ๋มน่ารัก ก่อนจะไปหยุดที่ใฝเม็ดเขื่องที่ปลายคิ้วซ้ายสุดเก๋ มองร่างเล็กๆในกระโปรงชุดติดกันคอกลมแขนสั้นความยาวแค่เข่าสีเหลืองสดใสราวกับดอกทานตะวันในทุ่งตัดกับผิวสีแทนของเธอ ไหล่ขวาสะพายกระเป๋าสีดำเข้ากับรองเท้าคัทชูส้นเตี้ย ดูเธอจะไม่สนใจผมหรือใครๆ ก้าวฉับๆไปยังเคาน์เตอร์
“รับอะไรดีคะ? “
“มาเอาอาหารที่สั่งไว้น่ะค่ะ”
“ขอโทษนะคะ คุณลูกค้าชื่ออะไรคะ” แคชเชียร์ถามอย่างสุภาพ
“อรุณรุ่งค่ะ “
อรุณรุ่ง ผมทวนชื่อเธอในใจไปมา ส่งยิ้มไปให้แต่เธอไม่เห็น เสียดายแต่ไม่เสียใจ เพราะเธอจะเห็นหรือไม่ผมก็ดีใจอยู่นั่น ที่ยิ้มให้เธอ
แคชเชียร์เดินหายเข้าไปในครัวด้านหลังสักครู่ก็กลับออกมาพร้อมกับอาหารถุงใหญ่
อาหารมากมายขนาดนี้เธอไม่ได้กินคนเดียวแน่นอน แถวนี้บริษัทห้างร้านออกพรึ่บเธออาจจะซื้อไปกินกับเพื่อนร่วมงาน ผมคิดเงียบๆอยู่ในใจตาทั้งสองจับจ้องอยู่ที่เธอ
“ค่าอาหารทั้งหมดเท่าไหร่คะ” เธอถามยิ้มๆ เสียงอันอ่อนหวานของเธอดึงความคิดของผมกลับมา
“ ห้าร้อยหกสิบค่ะ” แคชเชียร์ตอบอย่างสุภาพตามเคยพร้อมกับส่งยิ้มไปให้ เธอยิ้มตอบพร้อมกับยื่นแบงค์พันให้แคชเชียร์อีกฝ่ายรับเงินไปเร็วๆแล้วเปิดลิ้นชักหาเงินทอน
“นี่ค่ะ เงินทอน “แคชเชียร์ร้องบอกยิ้มๆ ส่งเงินทอนให้ เธอได้เงินทอนก็หมุนตัวกลับก้าวยาวๆจะไปที่ประตู
อ้าว แล้วอาหารที่คุณสั่ง ไม่เอาไปด้วยเหรอครับ จ่ายเงินแล้วนะครับนั่น ผมไม่ได้พูดแต่คิด หากแคชเชียร์ที่คิดเช่นเดียวกับผมเห็นอย่างนั้นก็เรียกเธอดังๆ
“อย่าเพิ่งไปค่ะคุณ อรุณรุ่ง คุณลืมอาหารที่คุณสั่งไว้ “
เธอที่เดินไปเกือบจะถึงประตูชะงัก หมุนกลับมาเร็วๆ เดินกลับไปที่บาร์หยิบถุงอาหารจากเคาน์เตอร์ส่ายศีรษะไปมา บอกกับแคชเชียร์เขินๆ
“พักนี้หลงลืมประจำเลยค่ะ โทษทีนะคะ ” พูดจบก็ยิ้มให้แคชเชียร์ อีกฝ่ายยิ้มตอบ เธอขอบใจแคชเชียร์เรียบร้อยก็หมุนตัวกลับก้าวเร็วๆไปที่ประตู หนึ่งในสี่หนุ่มที่นั่งโต๊ะถัดจากผม วิ่งปรู๊ดไปเปิดประตูให้
ผมโกรธตัวเองจนหัวหมุน มัวแต่คิดแต่ไม่ทำเลยได้แต่นั่งมองหล่อนขอบใจไอ้หนุ่มคนนั้นพร้อมกับส่งยิ้มให้เสียหวานจ๋อยอย่างเสียดาย
อะไรจะเกิดขึ้น หากวันนั้นไม่ใช่ไอ้หนุ่มคนนั้นที่ไปเปิดประตูให้เธอแต่เป็นผม ที่เปิดประตูให้เธอเรียบร้อยก็ตามเธอไปนอกร้านเพื่อขอเบอร์โทรศัพท์ หน้าตาของเธอไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำ ยังไงเสียเธอต้องให้เบอร์ผมแน่ๆผมมั่นใจ แต่เพราะมัวแต่เชื่องช้าก็เลยโดนไอ้หนุ่มคนนั้นตัดหน้า ยิ่งคิดผมก็สุดแสนเสียดาย ถ้าทำได้ผมอยากจะย้อนเวลากลับไปวันนั้น ….
2.
“คุณคะ ขอข้าวฉันอีกคำได้ไหม ฉันยังกินไม่อิ่มเลย เอาไข่เยอะๆเลยนะ”
“ได้ซิครับ ทำไมจะไม่ได้ ” ผมบอกเธอยิ้มๆจับช้อนตักไข่ใส่ข้าวแล้วป้อนใส่ปากเธอที่อ้ารอ
“ขออีกสองช้อนนะคะ ” เธอร้องขอ ทำตาปริบๆราวกับเด็กตัวเล็กๆยามที่อยากได้ขนม หรือของเล่น
“ผมให้คุณห้าช้อน เลยนะ ”
“ไม่เอา ห้าช้อนมากไป เดี๋ยวท้องแตก “เธอพูดจบก็หัวเราะเอิ๊กอ๊าก ใบหน้าเบี้ยวไปมายกมือเกาศีรษะแกรกๆ ผมพยายามกล้ำกลืนก้อนเนื้อแข็งๆที่แล่นมาจุกคอหอยลงไปในอก
ผมมองเธออันเป็นสุดที่รัก ที่ตอนนี้รูปร่างหน้าตาของเธอเปลี่ยนไปแทบจะไม่เหลือเค้าโครงเดิม ทั้งที่ในวันแต่งงานของเราเธอสวมชุดสีขาวฟูฟ่อง สวยราวกับนางฟ้าตัวน้อยๆ
ท่ามกลางแขกเหรื่อที่มาล้นห้องจัดงานผมยืนเคียงข้างนางฟ้าของผม พร้อมกับกล่าวขอบคุณเพื่อนๆญาติผู้ใหญ่รวมทั้งแขกผู้มีเกียรติที่มาร่วมในงานของเรา และไม่ลืมที่จะกล่าวขอบคุณบุพเพสันนิวาส ที่บันดาลให้ผมพบกับเจ้าสาวของผมครั้งแรกที่ร้านอาหารแถวสีลม หกเดือนให้หลังเราได้มาพบกันอย่างบังเอิญอีกครั้งที่โรงพยาบาลแห่งนั้น เมื่อผมพาพ่อผมไปหาหมอส่วนเธอไปตรวจสุขภาพ สามเดือนต่อมาเราก็แต่งงานกัน
“คุณคะ คุณเป็นใคร ชื่ออะไรเหรอคะ”
เสียงของเธอ ดึงความคิดของผมกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ผมเอาผ้าเช็ดหน้าเช็ดข้าวที่ติดมุมปากให้เธอ บอกเธอยิ้มๆ
“ผมชื่อสถิต เป็นคนรักของคุณไงล่ะครับ ”
“คนรัก” เธอทำเสียงแหลมปรี๊ด ทำตาโตใส่ผม
“ครับ เรารักกัน”
“แล้วฉันชื่ออะไรล่ะคะ คุณสถิต “
“คุณชื่ออรุณรุ่ง เป็นผู้หญิงที่น่ารัก และสวยที่สุดในโลกเลย “ ผมตอบเธออย่างตื้นตันขอบตาทั้งสองข้างร้อนผ่าวผมพยายามแล้ว แต่ห้ามไม่ได้จริงๆพักหลังผมร้องไห้บ่อยๆจนอดรำคาญตัวเองไม่ได้
ปีที่แล้วเธอออกไปที่ห้างใกล้บ้าน เพื่อซื้อของขวัญให้ผมเนื่องในวันครบรอบวันแต่งงานเจ็ดปีของเราแล้วเกิดหลงทางกลับบ้านไม่ถูก โชคดีที่พนักงานห้างโทรหาผมจากเบอร์ของผมที่เซฟไว้ในโทรศัพท์มือถือของเธอ
“อาการของภรรยาคุณ เป็นอาการของโรคประสาทเสื่อมหรือโรคอัลซไฮเมอร์ และอาการที่ว่านี้จะหนักขึ้นเรื่อยๆจนคุณอาจจะดูแลเธอไม่ไหว ผมจึงขอแนะนำว่าคุณควรจะต้องวางแผนเอาไว้เนิ่นๆ ว่าจะทำอย่างไร เมื่อถึงตอนนั้นที่เธอจำอะไรไม่ได้ แม้แต่ชื่อตัวเองหรือว่าชื่อคุณ”
นายแพทย์ที่ตรวจอาการเธอรายงานอาการของเธอกับผม ผมตกใจนะแต่ไม่แปลกใจ เพราะวันแรกที่พบกันในห้องอาหารเธอจ่ายค่าอาหารแต่ลืมเอาอาหารไป เจอกันครั้งที่สองที่โรงพยาบาลเธอบอกผมว่าเธอหลงๆลืมๆตอนนั้นผมยังให้กำลังใจเธอเลยว่า ไอ้โรคขี้ลืมใครๆก็เป็นกันได้ อนิจจาผมไม่รู้เลยว่าเธอเป็นโรคนี้
“คุณคะ อย่าร้องไห้ซิคะ ทำไมคุณขี้แยเป็นเด็กอย่างนี้ล่ะ” เธอร้องบอกดังๆ ยื่นมือมาเช็ดน้ำตาให้
“ผมขอโทษ ผมจะไม่ร้องไห้อีก ผมให้สัญญา”
“ใครทำให้คุณเสียใจคะ บอกฉันมาซิคะ ฉันจะไปบอกเขาว่าอย่ามาทำให้คุณร้องไห้อีก ”
“ทานข้าวเถอะนะครับ เสร็จแล้วจะได้ไปอาบน้ำนอน”
“สระผมด้วยนะคะ ฉันคันหัวน่าดูเลย” เธอพูดจบก็เอาสองมือเกาศีรษะถี่ๆ ผมจึงรวบมือเธอมาจูบแรงๆเธอชักมือกลับ ถามอย่างไม่พอใจ
“คุณมาจูบมือฉัน ทำไม”
“จูบเพราะว่าผมรักคุณ “
“แล้วฉันรักคุณเหรอเปล่าคะ” เธอเอียงคอถามคิ้วทั้งสองขมวดเข้าหากัน
“รักซิครับ ถ้าไม่อย่างนั้นเราคงไม่แต่งงานกันในวันนั้น และอยู่ด้วยกันจนทุกวันนี้“
เธอเอียงคอถามผม
“ฉันชื่ออะไรคะ ”
“คุณชื่อ อรุณรุ่ง “
“แล้วคุณ ชื่ออะไรเหรอคะ”
“ผมชื่อสถิต”
“ฉันชื่ออรุณรุ่ง คุณชื่อสถิต โอ้ยฉันปวดหัวจังไปนอนดีกว่า”
“แต่คุณยังทานข้าวไม่หมด เหลือไม่กี่คำแข็งใจทานอีกนิด มามะผมจะป้อนให้ ”
“อิ่มแล้ว ไม่กินแล้ว จะนอน “ เธอทำเสียงกระเง้ากระงอด พรวดพรวดลุกจากเก้าอี้ ผมปราดเข้าไปประคองเพราะกลัวเธอจะหกล้ม
“ไม่ต้องประคอง ฉันเดินได้” เธอโอ่เสร็จก็ยิ้มแป้น
“ผมรู้ว่าคุณเดินได้ แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ยังอยากประคองคุณอยู่ดี ”
“ทำไม คุณถึงต้องทำอย่างนี้ ด้วยล่ะ”
“ก็เพราะผมรักคุณ “
“รัก ฉัน ”
“ครับ ผมรักคุณมาก“
เธอมองหน้าผม ยิ้มให้ ก่อนจะทำให้ผมตีบตันจนพูดไม่ออกด้วยประโยคนั้นของเธอ
“ขอบคุณนะคะ ที่รักฉัน“ เธอพูดกับผมราวกับผมเป็นคนแปลกหน้าทำให้ผมรู้สึกเจ็บแปลบที่ใจ ความจริงผมน่าจะชินกับมันได้แล้ว แต่จนแล้วจนรอดผมก็ยังทำใจไม่ได้สักที
ผมประคองเธอไปยังห้องน้ำ สระผม อาบน้ำ แต่งตัวให้เธอเรียบร้อยก็พาเธอไปยังห้องนอน ให้เธอนอนบนเตียงแล้วห่มผ้าให้
ผมนั่งลงบนเตียงข้างเธอ ถามเธอว่าวันนี้จะฟังผมร้องเพลงหรือว่าจะให้ผมเล่านิทานให้ฟังดี เธอบอกผมว่าไม่ฟังแล้วนิทาน เบื่อแต่อยากฟังผมร้องเพลง ผมได้ยินอย่างนั้นก็ไม่รอช้ารีบร้องเพลงให้เธอฟังทันที
ผมร้องเพลงไปเรื่อยๆ ไม่ได้นับว่ากี่เพลง ไม่สนใจด้วยว่าเพลงอะไร ร้องกระทั่งเธอหลับใหล แล้วผมได้ยินเสียงสะอื้นของตัวเองลึกๆในอก นั่นแหละผมจึงได้หยุดร้อง
ผมค่อยๆโน้มตัวลงไปหาเธอ จรดริมฝีปากที่หน้าผากแล้วค่อยๆเลื่อนลงมาที่แก้มทั้งสอง จากนั้นก็มาหยุดที่ริมฝีปากที่ครั้งหนึ่งทำให้ผมตื่นเต้น หวั่นไหวทุกครั้งที่สัมผัสหากตอนนี้กลับจืดชืดเย็นชา ก่อนจะบอกทั้งที่เธอไม่ได้ยินอย่างเคย
“หลับฝันดีนะครับอรุณรุ่ง พรุ่งนี้คุณตื่นขึ้นมาตอนรุ่งอรุณ ผมก็ยังอยู่ที่นี่เพราะรัก และจะรักตลอดไป”
โดย ถุงมือ "แมกไม้"
รายชื่อให้เลือกตอบครับ
1. Na(นะ)
2. สวนดอก
3. WANG JIE
4. ส่องแสงตะวันฉาย
5. LUCKARD
6. ผีเสื้อสีดำ
7. เกสรผกา
8. เพ็ญพิชญา
9. peiNing
10. Lady Star 919
11. kasareev
12. KTHc
13. นลินมณี
14. ladylongleg สมาชิกหมายเลข 2326325
15. ยัยตัวร้ายมุกอันดา
16. สมาชิกหมายเลข 4103002
17. คีตมินทร์
18. ลายลิขิต
19. turtle_cheesecake
20. อิสิ
21. จอมยุทธนักสืบ
22. psycho_factory
23. Tantava
24. B-thirteen
25. ชายขอบคันนายาว
หมายเหตุ : ท่านใด ยังไม่ได้ส่งเรื่องให้กรรมการ
โปรดส่ง ภายในเวลา ไม่เกินวันที่ 16 พ.ย. พ้นจากนี้ ถือว่าสละสิทธิ์ หรือถอนตัวครับ
***** ส่ง "คำตอบสุดท้าย" ของทุกเรื่อง ภายในวันที่ 18 พ.ย. 2560 *****