สมาธิ ใครพิจารณาขันธ์ 5 แบบผมมั้ง

ผมเห็นดวงแสง ที่มารู้ทีหลังว่า อุคคหนิมิต  ผมได้เข้าสู่เอกตารมณ์ (อารมณ์เป็นหนึ่ง) วันนั้นผมเข้าออก สู่ความว่างความนิ่ง จนมีผู้หนึ่งมาแนะนำให้ พิจรณา หรือเรียก วิปัสนา  โดยใช้ ขันธ์ 5 (รุป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มาประกอบการพิจารณา ) เพื่อไม่ให้จิตนิ่งจนเกินไป ไม่เกิดประโยชน์  ผมลองมาทุกอย่างแล้วครับ จนถึงรู้ว่า การพิจารณาขันธ์5 นั้นเป็นสิ่งดี เพราะ
1. การพิจารณา รุป ให้นึก ดิน น้ำ ลม ไฟ แล้วพิจารณาคิดตาม ดินคือ เกศา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ ตับไตไส้พุง คิดตาม จิตจะไม่นิ่งเฉย จิตจะไม่คิดไปที่อื่น น้ำ คือ น้ามุก น้ำลาย ในการพิจารณา ให้พิจารณาจากหัวถึงเท้า ลม คือ ลมหายใจเข้าออก ไฟคือความอบอุ่นร่างกาย ให้คิดตามนะครับทุกขั้นตอน แล้วมาพิจารณา อนิจัง ทุกขัง อนัตตา ตามลำดับ เช่น ดิน เมื่อมีร่างกายเกิดขึ้น ร่างกายเราก็เติบโต เจ็บ แก่ ตายไป ไม่เที่ยง ร่างกายไม่ใช่ของเรา ให้รู้แล้ว วางลง พิจารณาต่อ หรือ ลม ลมหายใจเข้าคือมีชิวิต หายใจออก คือไร้ชิวิต ไม่เที่ยง รู้แล้ววาง
2.พิจารณา เวทนา ทั้ง กาย ทั้งใจ แต่เกิดกับกายมักพิจารณาได้ดีกว่า เช่นการนั่งสมาธิจนปวดขามาก ก็ให้พิจารณา ว่า เมื่อตอนเริ่มนั่งใหม่ๆ ไม่ปวด มาปวดทีหลัง แสดงว่าร่างกายเราบังคับไม่ได้ คือ อนิจัง เมื่อไหร่ที่กายเราเจ็บ แต่ใจยิ้มสบายในสมาธิ เมื่อนั้นจะเกิดการแยกกายแยกใจ แยกขันธ์ได้(ผมยังไม่ขอพูดถึง)
3.พิจารณา สัญญา จำได้ไหมรู้ รู้เรื่องราวที่ผ่านมา ในเรื่องที่ผ่านมา รู้แล้ววาง(ไม่มีใครไม่คิด คิดให้หมดไปจากสมองแล้วจะว่าง) เหมือนเป็นการทบทวนความจำ เพื่อให้เกิดมหาสติ ได้ปัญญา
4.พิจารณา สังขาร การปรุงแต่ง จิตปรุงแต่งคิดไปเอง ปรุงดีปรุงชั่ว(ไม่มีใครไม่เคยคิดปรุงแต่ง คิดออกมาให้หมดเมื่อหมดจะว่าง) จิตเราเมื่อวอกแวกเมื่อไหร่ คิดไปเองเมื่อไหร่ ให้กำหนดสังขาร คิดว่านี่มันคือสังขารที่เราปรุงแต่งไปเอง(เมื่อก่อนจิตส่งออกนอกเราไม่รู้ว่าคืออะไร แต่เมื่อพิจารณาขันธ์5 แล้วเราถึงรู่ว่าเราเริ่มปรุงแต่งกับความคิดตัวเองคือสังขารแล้ว เช่น แฟนไปกินเหล้า แล้วแฟนไปมีผุ้หญิงอื่นหรือปล่าว ให้ดึงกลับรู้แล้ววาง จนความนึกคิดทั้งหลายหมดไป
5.พิจารณาวิญญาณ อายตนะ คำนี้เราต้องรู้ก่อนว่าคืออะไร มี 2อย่างคือ อายตนะภายใน(ตาหูจมูกลิ้นกายใจ)กับภายนอก(รุป รส กลิ่น เสียง)
ให้พิจารณาโดยใช้หลัก อายตนะคือ ภายใน ตา พิจารณาว่า เมื่อตามองกระทบสิ่งนั้นแล้ว เมื่อไปมองสิ่งอื่นใหม่ให้กำหนดว่า เกิด-ดับ เพราะเรามองสิ่งนั้นคือเกิดขึ้น เราละสายตาไปมองอีกอย่าง ก็ดับลง มันไม่เที่ยง มีเกิดดับตลอด หู ได้ยินเสียงนั้น แล้วดับไป ได้ยินอีก ดับอีก คือมันไม่เที่ยง จมูก ได้กลิ่นแล้วหายไป มันไม่เที่ยง ลิ้น สำผัสรส เมื่อกลืนแล้วรสนั้นก็หายไป มันไม่เที่ยง กาย การสัมผัส ลมหนาวร้อน ที่มากระทบ หรืออื่นๆ เกิดขึ้น ตั้งอยุ ก็หายไป ไม่เที่ยง ใจ ตัวสำคัญ ความคิด ให้รุ้แล้ววางตลอด ไม่ให้คิดเป็นไปไม่ได้ ใจที่นึกคิดเกิดขึ้นแล้วหายไปตลอด ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันไม่เที่ยง อยาตนะภายยนอก ก็ให้พิจารณาแบบนี้ รุป เมื่อมองเห็นสิ่งนั้นแล้วไม่ว่าจะ สุง ต่ำ ดำขาว หล่อไม่หล่อ ให้คิดว่าเป็นรุปไม่มีสุงต่ำ ดำขาว  คือรุป ใจเป็นกลาง เพราะเราพิจารณา ไปสุ่อนัตตาอยุ้แล้ว คือความว่าง รส ก็คือไมมี เปรี้ยวหวานมันเค็ม รสก็คือรส เป็นกลาง กลิ่นไม่มี เหม็น หอม เสียง ไม่มีเพราะ ดัง เบา ทุกอย่างต้องพิจารณาตามกฏไตรลักษณ์(อนิจัง ทุกขัง อนัตตา ) แล้วจะเกิดมหาสติ คือมีสติแก้ปัญหาไม่พอ พลังจิตที่สะสมไว้จะมาช่วยหนุนนำให้เรื่องร้ายๆ เป็นไปด้วยดี
***ฉะนั้นแล้วผมเหมือนได้กระบี่มาอยู่ในมือ ผมได้พิจารณาขันธ์5 โดยไม่หลงในสมาธิอีกต่อไป แม้แต่ดวงแสง(อุคคหนิมิต ) ผมก็ไม่ตามเลย ผมไม่หลงในดวงแสงนั้นอีกแล้ว ตอนพิจารณาขันธ์ ในห้วงพิจารณาผมสว่างขาวมาก สว่างจ้าอยุ่ตลอดเวลา ไม่เหมือนการเข้าออกจากชาน ที่ต้องใช้เวลา เราได้ทบทวนเรื่องใน สัญญา เราได้วางแผน ในสังขาร  เรามีสติรุ้ตัวอยุตลอดและไม่ประมาท นั่นคือสิ่งที่แท้จริงที่เราได้รับรุ้ในชิวิตประจำวันครับ  การพิจารณามีเยอะกว่านี้ครับเช่นพิจารณาตั้งแต่น้ำสุกกะ(อสุจิ) ผสมเป็นก้อนเนื้อ พิจารณาตอนเด็กวัยรุ่น ผุ้ใหญ่ แก่เจ็บตาย ตาย (ถ้าพิจาณา รุป  ลม ดับก่อน ไฟ ดับตาม น้ำ ดับ ดินดับ ) ตาย 1 วัน 3วัน พิจารณาความเน่า 7 วันเหลืออะไร เผาสุดท้ายเหลือกระดุกคืนสุ่ดิน ก็วกกลับมาเป็น อนัตตาคือความว่าง ไม่มีอะไรเลย พิจารณาแค่นี้เราได้ทั้งไตรลักษณ์ อนิจังคือ เกิดแก่ ทุกขังคือ เจ็บ และอนัตตา คือตาย  ผมขอชี้แนวทางเดียวกันให้ทราบ ถึงการพิจารณา เมื่อครบ 1 รอบแล้ว จะพิจารณาอีกกี่รอบก็ได้ หรือเข้าเอกตารมณ์ แล้วค่อยถอนออกมาพิจารณาอีกก็ได้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่