คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 7
ผมว่า สุดท้ายก็ต้องที่ว่า เราประเมินมูลค่าหุ้นที่เราจะซื้อได้แม่นยำขนาดไหน
เพราะคงไม่มีประโยชน์ ที่จะซื้อผู้ชนะในอุตสาหกรรม แต่ PE สูงลิ่ว (แถม PEG ก็สูงลิ่ว)
สู้ไปซื้อหุ้นของบริษัทที่เป็นที่ 2-3 ในอุตสาหกรรม ที่ค่า PE ยังไม่สูง หรือเราประเมินแล้ว คุ้มค่ากับการลงทุน
อันดับแรกที่ต้องดู ก็คือ อุตสาหกรรม หรือ ธุรกิจ ที่เราจะไปซื้อหุ้นเนี่ย อุตสาหกรรมนั้น/ธุรกิจนั้น มันสามารถเติบโตได้อีกหรือเปล่า
เช่น ถ้าคุณไปซื้อหุ้น SE-ED แน่นอน นี่คือ บริษัทขายหนังสือที่ครอง Market Share เป็นอันดับ 1 ของเมืองไทย
แต่ถามว่า SE-ED ลงทุนแล้วคุ้มหรือเปล่า ผมบอกเลย ไม่คุ้มกับการลงทุน เพราะปัจจุบัน ธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ทะยอยหายไปเรื่อย ๆ ดูได้จาก สำนักพิมพ์ต่าง ๆ ที่ปิดตัวลง เพราะการเข้ามาของ E-Book และสื่ออินเตอร์เน็ต
หรือสรุปง่าย ๆ ก็คือ ธรุกิจที่ SE-ED กำลังทำอยู่ในปัจจุบัน ถึงจะตัวเองจะเป็นอันดับ 1 ในอุตสาหกรรม แต่ก็เป็นธุรกิจ "ตะวันตกดิน" ที่ไม่มีคู่แข่งใหม่ ๆ เข้ามา ก็เพราะมันไม่คุ้มค่ากับการแข่งขัน ไม่คุ้มค่ากับการลงทุนในระยะยาว
จขกท. ไม่จำเป็นต้องซื้อผู้ชนะในธุรกิจหรืออุตสาหกรรมนั้น ๆ ก็ได้ คุณสามารถซื้อบริษัทอันดับ 2-3 ก็ได้ ถ้าธุรกิจ/อุตสาหกรรมนั้น สามารถเติบโตได้ในระยะยาว หรือเป็นธุรกิจที่จะเป็นเทรนด์ในอนาคต
เช่น ธุรกิจโรงพยาบาล BDMS คือผู้ครอง Market Share อันดับ 1 แต่แน่นอนว่าค่า PE สูงลิ่ว (ค่า PEG = 1.8) ก็แสดงว่า บริษัทนี้แพงมากแล้ว
แต่เราก็ลองไปดูโรงพยาบาลอื่น ๆ ที่อยู่อันดับ 2-3 ว่าถ้าเราประเมินแล้ว มูลค่ายังสมเหตุ สมผล กับการลงทุน ก็สามารถลงทุนได้ครับ
เพราะในอนาคตอีก 20 ปีข้างหน้า (ที่เค้าประเมินกันไว้นะครับ) ประเทศไทย จะก้าวไปสู่ "สังคมผู้สูงอายุ" แบบเต็มตัว เช่นเดียวกับประเทศญี่ปุ่นในปัจจุบันนี้ครับ (ในอนาคต คนเราจะอายุยืนมากขึ้น และมีลูกกันน้อยลง)
ฉะนั้น เมื่อประชากรในประเทศโดยส่วนใหญ่เป็น "ผู้สูงอาย" ธุรกิจที่จะได้ประโยชน์ที่สุดคือ กลุ่มโรงพยาบาล หรือบริษัทที่ผลิตสินค้าชะลอวัย, อาหารเพื่อสุขภาพ หรือธุรกิจอะไรก็ตามที่กลุ่มลูกค้าหลักเป็น "ผู้สูงอายุ"
แต่ก็ต้องดูอีกนั่นแหละ ถ้าบริษัทอันดับ 2-3 ดูแล้วอนาคตไม่มีวันเอาชนะอันดับ 1 ได้ รายได้ของบริษัทก็คงไม่พัฒนาไปมากกว่านี้ ฉะนั้น ราคาหุ้นในระยะยาว ก็จะไม่มีทางเพิ่มขึ้นแน่นอน (เพราะไม่สามารถเอาชนะบริษัทอันดับ 1 ได้)
ยกตัวอย่างเช่น 7-11 CPALL ที่ทุกคนก็รู้ว่าคือ ร้านค้าปลีกอันดับ 1 ไม่มีใครสู้ได้ (ขนาด CPN โดดลงมาสู้ ก็พ่ายแพ้ไปแล้ว)
ในกรณีที่ ดูแล้วบริษัทอันดับ 2-3 ไม่สามารถเอาชนะบริษัทอันดับ 1 ได้แน่ ๆ ทางเลือกที่ง่ายที่สุดก็คือ "ไปหาธุรกิจอื่น หรืออุตสาหกรรมอื่น"
แต่ถ้าวิเคราะห์หุ้นไม่เป็น ประเมินมูลค่าหุ้นไม่เป็น การเลือกซื้อบริษัทที่เป็นอันดับ 1 ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย เพียงแต่ผลตอบแทนอาจจะไม่สูงมากนัก
ขออย่างเดียว คือ ขอให้เป็นบริษัทที่ทำธุรกิจ หรืออยู่ในอุตสาหกรรม ที่สามารถเติบโตไปได้ในอนาคต (อย่างน้อยก็ในอีก 5 ปีข้างหน้า)
เพราะคงไม่มีประโยชน์ ที่จะซื้อผู้ชนะในอุตสาหกรรม แต่ PE สูงลิ่ว (แถม PEG ก็สูงลิ่ว)
สู้ไปซื้อหุ้นของบริษัทที่เป็นที่ 2-3 ในอุตสาหกรรม ที่ค่า PE ยังไม่สูง หรือเราประเมินแล้ว คุ้มค่ากับการลงทุน
อันดับแรกที่ต้องดู ก็คือ อุตสาหกรรม หรือ ธุรกิจ ที่เราจะไปซื้อหุ้นเนี่ย อุตสาหกรรมนั้น/ธุรกิจนั้น มันสามารถเติบโตได้อีกหรือเปล่า
เช่น ถ้าคุณไปซื้อหุ้น SE-ED แน่นอน นี่คือ บริษัทขายหนังสือที่ครอง Market Share เป็นอันดับ 1 ของเมืองไทย
แต่ถามว่า SE-ED ลงทุนแล้วคุ้มหรือเปล่า ผมบอกเลย ไม่คุ้มกับการลงทุน เพราะปัจจุบัน ธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ทะยอยหายไปเรื่อย ๆ ดูได้จาก สำนักพิมพ์ต่าง ๆ ที่ปิดตัวลง เพราะการเข้ามาของ E-Book และสื่ออินเตอร์เน็ต
หรือสรุปง่าย ๆ ก็คือ ธรุกิจที่ SE-ED กำลังทำอยู่ในปัจจุบัน ถึงจะตัวเองจะเป็นอันดับ 1 ในอุตสาหกรรม แต่ก็เป็นธุรกิจ "ตะวันตกดิน" ที่ไม่มีคู่แข่งใหม่ ๆ เข้ามา ก็เพราะมันไม่คุ้มค่ากับการแข่งขัน ไม่คุ้มค่ากับการลงทุนในระยะยาว
จขกท. ไม่จำเป็นต้องซื้อผู้ชนะในธุรกิจหรืออุตสาหกรรมนั้น ๆ ก็ได้ คุณสามารถซื้อบริษัทอันดับ 2-3 ก็ได้ ถ้าธุรกิจ/อุตสาหกรรมนั้น สามารถเติบโตได้ในระยะยาว หรือเป็นธุรกิจที่จะเป็นเทรนด์ในอนาคต
เช่น ธุรกิจโรงพยาบาล BDMS คือผู้ครอง Market Share อันดับ 1 แต่แน่นอนว่าค่า PE สูงลิ่ว (ค่า PEG = 1.8) ก็แสดงว่า บริษัทนี้แพงมากแล้ว
แต่เราก็ลองไปดูโรงพยาบาลอื่น ๆ ที่อยู่อันดับ 2-3 ว่าถ้าเราประเมินแล้ว มูลค่ายังสมเหตุ สมผล กับการลงทุน ก็สามารถลงทุนได้ครับ
เพราะในอนาคตอีก 20 ปีข้างหน้า (ที่เค้าประเมินกันไว้นะครับ) ประเทศไทย จะก้าวไปสู่ "สังคมผู้สูงอายุ" แบบเต็มตัว เช่นเดียวกับประเทศญี่ปุ่นในปัจจุบันนี้ครับ (ในอนาคต คนเราจะอายุยืนมากขึ้น และมีลูกกันน้อยลง)
ฉะนั้น เมื่อประชากรในประเทศโดยส่วนใหญ่เป็น "ผู้สูงอาย" ธุรกิจที่จะได้ประโยชน์ที่สุดคือ กลุ่มโรงพยาบาล หรือบริษัทที่ผลิตสินค้าชะลอวัย, อาหารเพื่อสุขภาพ หรือธุรกิจอะไรก็ตามที่กลุ่มลูกค้าหลักเป็น "ผู้สูงอายุ"
แต่ก็ต้องดูอีกนั่นแหละ ถ้าบริษัทอันดับ 2-3 ดูแล้วอนาคตไม่มีวันเอาชนะอันดับ 1 ได้ รายได้ของบริษัทก็คงไม่พัฒนาไปมากกว่านี้ ฉะนั้น ราคาหุ้นในระยะยาว ก็จะไม่มีทางเพิ่มขึ้นแน่นอน (เพราะไม่สามารถเอาชนะบริษัทอันดับ 1 ได้)
ยกตัวอย่างเช่น 7-11 CPALL ที่ทุกคนก็รู้ว่าคือ ร้านค้าปลีกอันดับ 1 ไม่มีใครสู้ได้ (ขนาด CPN โดดลงมาสู้ ก็พ่ายแพ้ไปแล้ว)
ในกรณีที่ ดูแล้วบริษัทอันดับ 2-3 ไม่สามารถเอาชนะบริษัทอันดับ 1 ได้แน่ ๆ ทางเลือกที่ง่ายที่สุดก็คือ "ไปหาธุรกิจอื่น หรืออุตสาหกรรมอื่น"
แต่ถ้าวิเคราะห์หุ้นไม่เป็น ประเมินมูลค่าหุ้นไม่เป็น การเลือกซื้อบริษัทที่เป็นอันดับ 1 ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย เพียงแต่ผลตอบแทนอาจจะไม่สูงมากนัก
ขออย่างเดียว คือ ขอให้เป็นบริษัทที่ทำธุรกิจ หรืออยู่ในอุตสาหกรรม ที่สามารถเติบโตไปได้ในอนาคต (อย่างน้อยก็ในอีก 5 ปีข้างหน้า)
แสดงความคิดเห็น
VI เวลาเลือกหุ้น จำเป็นมั้ยครับว่าจะต้องเลือกหุ้นตัวที่มีแนวโน้มจะเป็นผู้ชนะของกลุ่มเท่านั้น
อย่างหุ้นกลุ่มไหนที่จะไม่มีทางมีผู้ชนะเด็ดขาด เช่นกลุ่มแบ๊งค์ กลุ่มประกันภัย กลุ่มอสังหาฯ นี่ อาจารย์จะไม่แนะนำให้ลงทุนเลย เพราะพวกนี้กินกันไม่ลง จึงไม่มีตัวไหนที่จะเป็นผู้ชนะเด็ดขาด
แต่เวลาที่ผมดูหุ้นอย่างในกลุ่มแบ๊งค์ หรือกลุ่มประกันภัย มันก็จะมีหุ้นที่ให้ผลตอบแทนดี สม่ำเสมอ และก็เติบโตในอัตราที่น่าพอใจ ค่า P/E บางตัวก็ยังต่ำอยู่ มันก็น่าซื้อไว้ลงทุนบ้างนะ
เพราะหุ้นกลุ่มที่จะมีผู้ชนะเด็ดขาด เท่าที่ผมเห็น ตอนนี้ ก็มีแต่กลุ่มค้าปลีก อย่างเซเว่น ฯลฯ เท่านั้นเอง ซึ่งตอนนี้ P/E ก็ค่อนข้างแพงมากแล้ว
แต่ในกลุ่มอื่นๆ ผมเองก็ยังมองไม่เห็นว่ากลุ่มไหนจะมีผู้นำกลุ่มที่จะชนะเด็ดขาด
หรือผมยังศึกษาไม่พอครับ