
สถานการณ์ล่าสุดเกี่ยวกับความก้าวหน้าของ AI ที่จะสามารถเข้ามาแทนที่คนในธุรกิจต่าง ๆ พบว่าวงการเงินซึ่งรวมถึงธนาคาร การประกัน และหลักทรัพย์นั้น อยู่ในระดับสูงมากถึงระดับ 50% ไปแล้ว โดยที่ธุรกิจหลักทรัพย์ ซึ่งแน่นอนว่ารวมถึงการบริหารทรัพย์สินและการลงทุนนั้นอยู่ที่ประมาณ 40%
การลงทุนและการเทรดหลักทรัพย์ของผู้บริหารกองทุนต่าง ๆ ทั่วโลก ในปัจจุบันนั้น ผมคิดว่าทำโดยโปรแกรมคอมพิวเตอร์น่าจะมากกว่า 50% ไปแล้ว บางแห่งอาจจะสูงเป็นกว่า 90% ไปแล้วก็ได้ เพราะแม้แต่ในตลาดหุ้นไทยเอง โปรแกรมเทรดดิงกลายเป็นผู้เล่นหลักในแต่ละวัน คือเทรดมากกว่ากลุ่มอื่นทั้งหมด ว่าที่จริงในตลาดอย่างในสหรัฐนั้น ผมเชื่อว่าคนที่ซื้อขายในตลาดส่วนใหญ่กลายเป็น “เครื่องจักร” หรือหุ่นยนต์ที่ทำหน้าที่นี้เป็นหลัก โดยเครื่องจักรที่ว่าก็คือคอมพิวเตอร์และโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เป็น AI ที่คิดแทนคนในการตัดสินใจสั่งซื้อ-สั่งขาย
หลักคิดหรือกลยุทธในการลงทุนในยุคที่คอมพิวเตอร์และ AI มีบทบาทนำในปัจจุบันนั้น ก็เป็นการลงทุนหรือการเทรดหลักทรัพย์ที่เน้นความรวดเร็วและออกแนวเก็งกำไรเป็นหลัก และแนวที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นมากก็คือสิ่งที่เรียกว่า ”Quant” หรือการวิเคราะห์หลักทรัพย์โดยอาศัยข้อมูลเชิงปริมาณหรือข้อมูลที่เป็นตัวเลขเป็นหลัก
พวก Quant ก็คือคนที่ประยุกต์สถิติทางคณิตศาสตร์ระดับสูงกับตัวเลขในตลาดการเงินโดยใช้ความสามารถของคอมพิวเตอร์และ AI เข้าไปคำนวณเพื่อมองหารูปแบบและแนวโน้มของราคาหลักทรัพย์ โดยที่โปรแกรมจะถูกออกแบบมาให้ทำการซื้อ-ขายอย่างอัตโนมัติตามกลยุทธที่จะทำให้สามารถทำกำไรได้
ความสำเร็จและการขยายตัวของพวก Quant นั้น ดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และถึงวันนี้น่าจะเป็น “กระแสหลัก” ไปแล้ว และแน่นอนว่า เหนือกว่าการลงทุนแบบ “VI” ที่เคยโดดเด่นและดังมานานอานิสงค์จากการสนับสนุนและรับรองโดย วอเร็น บัฟเฟตต์ นักลงทุนมือหนึ่งของโลกที่สร้างผลงานยอดเยี่ยมโดยมีผลตอบแทนทบต้นปีละประมาณ 20% ติดต่อกันประมาณ70 ปี
ความสำเร็จและความนิยมของ Quant นั้น ส่วนสำคัญอย่างหนึ่งก็คงมาจากตัวนักลงทุนที่เป็นผู้นำเช่นกัน ซึ่งก็คือ Jim Simons ผู้บริหารของ Renaissance Technologies ซึ่งบริหารกองทุนหลักคือ “Medallion Fund” ตั้งแต่ปี 1988-2018 เป็นเวลา 30 ปีและได้ผลตอบแทนแบบทบต้นถึง 66% ต่อปี และถ้าหักค่าธรรมเนียมค่าบริหารก็ยังให้ผลตอบแทนถึงปีละ 39% เหนือกว่าผลตอบแทนของบัฟเฟตต์มาก และกลายเป็นสถิติโลกที่ไม่มีใครทำได้ ส่วนตัวของจิม ไซม่อนเองซึ่งเพิ่งเสียชีวิตเมื่อปีก่อนที่อายุ 86 ปี ก็ร่ำรวยติดอันดับโลก ด้วยความมั่งคั่งประมาณ 30 พันล้านเหรียญหรือ 1 ล้านล้านบาทในวันที่เขาตาย
ที่มาของการลงทุนแบบ Quant เองนั้น ก็มีอะไรคล้ายคลึงกับการลงทุนแบบ VI ในแง่ที่ว่าทั้งคู่มี “บิดา” หรือผู้ให้กำเนิดแนวคิดที่สามารถสร้างผลงานการลงทุนแบบใหม่ที่เหนือกว่าได้ ในกรณีของ VI ก็คือเบน เกรแฮม ในช่วงประมาณปี 1934 หลังวิกฤติตลาดหุ้นครั้งใหญ่ในปี 1929 ที่หุ้นตกลงมาและมีราคาถูกมาก
Quant นั้น คนที่น่าจะเป็น “บิดา” ก็คือ Edward O. Thorp ศาสตราจารย์ด้านคณิตศาสตร์ที่หันไปศึกษาเรื่องการพนันในบ่อนและการลงทุนใน “ตลาดการพนันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก” หรือตลาดหุ้น โดยวัตถุประสงค์ก็คือการพิสูจน์ว่าเราสามารถเอาชนะในเกมนี้ได้โดยอาศัยการคำนวณด้วยคณิตศาสตร์และสถิติ
เริ่มแรก เขาเข้าไปเล่นไพ่แบล็คแจ็คหรือไพ่ 21 ในคาสิโนโดยการคิด “สูตร” ตามสถิติและคณิตศาสตร์และกำหนดวิธีการเล่นโดยการ “นับไพ่” และการกำหนด “เม็ดเงินพนันในแต่ละรอบ” ที่ทำให้เขา “ได้เปรียบ” ทางสถิติ ซึ่งผลก็คือ เขาก็สามารถทำเงินได้กำไรจากบ่อนเป็นประจำจนทำให้คาสิโนต่างก็ปฎิเสธไม่ให้เขาเล่น เขาเขียนหนังสือเล่าเรื่องนี้ในชื่อ “Beat the Dealer” หรือ “เอาชนะบ่อน” ในปี 1964 ซึ่งดังมาก เพราะไม่มีใครเคยคิดว่านักพนันจะชนะบ่อนได้
ต่อมา เขาเปลี่ยนไปเล่นหุ้นหรือซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาด โดยการใช้สูตรคณิตศาสตร์และเริ่มใช้คอมพิวเตอร์ในการคำนวณหามูลค่าหลักทรัพย์ที่เป็นอนุพันธ์เช่น วอแรนต์และออปชั่นที่มีหลักทรัพย์แม่ที่มีราคาตลาดอยู่แล้ว เขาจะซื้อ-ขายหลักทรัพย์โดยมีกลยุทธที่จะเฮดจ์ความเสี่ยงที่หุ้นจะขึ้นหรือลงโดยการซื้อหุ้นในด้านหนึ่ง และขายชอร์ตหุ้นตัวเดียวกันเมื่ออ็อบชั่นของหุ้นตัวนั้นมีราคาที่ผิดเพี้ยนไปจากสูตรที่เขาคำนวณได้มากพอ ด้วยการทำแบบนั้น เขาก็แทบจะไม่มีความเสี่ยงเลยไม่ว่าหุ้นจะขึ้นหรือลง แต่จะได้ผลตอบแทนเพียงเล็กน้อยในการเทรดแต่ละครั้ง แต่เมื่อเทรดหุ้นมาก กำไรก็จะเป็นกอบเป็นกำ และทั้งหมดนั้นเขาก็เขียนไว้ในหนังสืออีกเล่มหนึ่งก็คือ “Beat the Market” หรือเอาชนะตลาดในปี 1967
ผลตอบแทนการลงทุนในตลาดหุ้นของเขาในช่วง 20 ปี ตั้งแต่ปี 1969-1988 คือ บวก 19.1% ต่อปีแบบทบต้น และไม่มีปีไหนที่ขาดทุนเลย เทียบกับดัชนี S&P 500 ที่ 10.2% และติดลบไป 4 ปี ความมั่งคั่งของเขาก็ “รวย” ระดับเศรษฐี แม้อาจจะไม่ใช่มหาเศรษฐี เขาเลิกจากการลงทุนและกลับไปใช้ชีวิตที่เขาชอบ นั่นก็คือ การเป็นนักวิชาการ ซึ่งนั่นก็คงคล้าย ๆ กับเบน เกรแฮมที่มีธรรมชาติเป็นนักคิดมากกว่าการหาเงินจากการลงทุนมาก ๆ
โดยสรุปแล้ว ความแตกต่างระหว่าง VI กับการเทรดหุ้นหรือลงทุนแบบ Quant ก็คือ คนที่เป็น VI นั้น จะเป็นคนที่เน้นพื้นฐานทางธุรกิจของหุ้นหรือหลักทรัพย์ ซึ่งต้องมองหรือวิเคราะห์ธุรกิจในระยะยาว เสร็จแล้วก็ต้องดูว่าผลประกอบการในระยะยาวจะคุ้มกับราคาหุ้นหรือไม่ ดังนั้น คนที่จะเป็น VI จะต้องรอบรู้ในศิลปะต่าง ๆ ที่หลากหลายมากรวมถึงเรื่องทางธุรกิจที่ทุกบริษัทจะต้องแข่งขันกัน
พวก Quant นั้น ต้องใช้ข้อมูลตัวเลขในการคำนวณดูความเคลื่อนไหวของราคาเพื่อหาสถิติและความผิดเพี้ยนที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้น ๆ แล้วถือโอกาสซื้อ-ขายทำกำไรได้อย่างรวดเร็ว คนที่เป็น Quant จึงมักจะเป็นคนที่รู้เรื่องของตัวเลข การคำนวณและเป็นคนเก่งทางด้านโค้ดดิง โดยที่แทบจะไม่ต้องรู้เลยว่าหุ้นตัวนั้นเป็นบริษัทที่ทำอะไร
“บิดา” ของ Quant คือ Ed Thorp นั้น เป็นนักคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ เช่นเดียวกับ Jim Simons ก็เป็นศาสตราจารย์ด้านคณิตศาสตร์และเคยเป็นนักถอดระหัดโค้ดในช่วงสงครามเย็น นอกจากนั้น เฮดจ์ฟันด์ดัง ๆ ส่วนใหญ่เวลาจ้างพนักงานก็มักจะไม่จ้างนักการเงินแต่จ้างนักคณิตศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ นักคอมพิวเตอร์ วิศวกร หรือแม้แต่นักดาราศาสตร์มาบริหารกองทุน ถ้าจะพูดไป คนเหล่านี้จำนวนมากเป็นคน “อัจฉริยะ” IQ ระดับ 130-140 น่าจะเป็นเรื่องปกติ ผมเองรู้จักเด็กหนุ่มสาวคนไทยที่ทำงานให้กับกองทุนเหล่านี้ที่ไม่ได้จบทางด้านการเงินการลงทุน แต่เป็นเด็กทุนระดับ Top ของประเทศที่ไม่มีใครรู้จัก
ผลงานของ VI นั้น มองในระยะยาวแล้วก็ค่อนข้างโดดเด่น โดยเฉพาะถ้าเป็นระดับ “เซียน” ก็สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีต่อเนื่องยาวนานและเป็นที่ยอมรับของสังคมการลงทุน เหตุผลอาจจะเป็นว่าคนรู้ว่ากองทุนอย่าง ARK Invest ของป้าเคที่วูด หรือบริษัทอย่างเบิร์กไชร์นั้น “รวยยังไง” ถือหุ้นอะไรบ้าง
ในกรณีของ Quant นั้น เกมก็คือการทำกำไรแต่ละครั้งจะน้อย ๆ และมีการป้องกันความเสี่ยงได้ดี ไม่มีการขาดทุนเพราะทุกเทรดทำด้วยโปรแกรมที่คำนวณถึงโอกาสขาดทุนไว้แล้ว วิธีทำกำไรให้มากก็คือการเทรดให้มากด้วยต้นทุนที่ต่ำ เช่น ค่าธรรมเนียมน้อยมาก คิดเป็นเปอร์เซ็นต์อาจจะใกล้ 0 ดังนั้น Quant จำนวนมากในช่วงเวลานี้จึงอาจจะทำผลงานได้ดีเนื่องจากโลกของการเทรดหลักทรัพย์พัฒนาไปมาก ต้นทุนการดำเนินการลดลงมาก เช่นเดียวกับโปรแกรมหรือโค้ดก็อาจจะทำได้เร็วและถูก อานิสงค์จากความก้าวหน้าของ AI
อย่างไรก็ตาม ผลงานของ Quant ส่วนมากมักจะไม่ค่อยได้เปิดเผยมากนัก เพราะกองทุนมักจะเสนอให้กับผู้ลงทุนรายใหญ่จำนวนจำกัดที่ไม่ต้องเปิดเผยต่อสาธารณชน สิ่งที่พอรู้นอกจากผลงานของ Jim Simons ในกองทุน Medallion Fund ซึ่งไม่ได้เปิดให้กับประชาชนทั่วไปที่โดดเด่นมากแล้ว ผลงานกองทุนอื่น ๆ ของ Jim Simons เองก็อยู่ในระดับประมาณปีละ 8-12% แบบทบต้นเท่านั้น และน่าจะไม่ต่างจากผลงานในกลุ่ม VI ทั่วไปมากนัก
สุดท้ายก็คือ เราในฐานะของนักลงทุน ควรจะเลือกแนวทางไหนในการลงทุน ควรจะเป็นแนว VI หรือเชื่อในแนว Quant?
โดยส่วนตัวผมเองนั้น ผมคิดว่าคนที่จะเป็นนักลงทุนแนว Quant นั้น จะต้องมีความรู้ความสามารถทางตัวเลขและวิทยาศาสตร์สูง หรือเป็นพวก “อัจฉริยะ” คนที่รู้แต่วิธีใช้โปรแกรมเทรดหุ้นนั้นยากที่จะประสบความสำเร็จแบบยั่งยืน เพราะโปรแกรมที่ประสบความสำเร็จนั้น พอใช้ไปซักระยะก็มักจะใช้ไม่ได้ต่อไป คนที่จะชนะคงต้องเป็นคนที่สามารถดัดแปลงโปรแกรมไปเรื่อย ๆ เมื่อเห็นว่าของเดิมเริ่มใช้ไม่ได้แล้ว
ด้วยการพัฒนาของ AI ในช่วงเร็ว ๆ นี้ ผมเองคิดว่ามีความเสี่ยงมากสำหรับคนที่ลงทุนระยะสั้นหรือเทรดหุ้นที่จะเอาชนะผลตอบแทนของตลาดได้ไม่ว่าจะใช้กลยุทธไหนรวมถึง VI ดังนั้น ผมคิดว่าน่าจะยังเหลือแค่ทางเดียวที่จะเอาตัวรอดได้ในตลาดนั่นก็คือ การ “ลงทุนระยะยาวจริง ๆ” ที่ AI ก็ยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ดีกว่าคนที่ยังมี “จินตนาการ” มากกว่า
13 ก.ย 2568
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
จาก VI สู่ AI เทรดเดอร์อัจฉริยะ : โลกในมุมมองของ Value Investor โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
การลงทุนและการเทรดหลักทรัพย์ของผู้บริหารกองทุนต่าง ๆ ทั่วโลก ในปัจจุบันนั้น ผมคิดว่าทำโดยโปรแกรมคอมพิวเตอร์น่าจะมากกว่า 50% ไปแล้ว บางแห่งอาจจะสูงเป็นกว่า 90% ไปแล้วก็ได้ เพราะแม้แต่ในตลาดหุ้นไทยเอง โปรแกรมเทรดดิงกลายเป็นผู้เล่นหลักในแต่ละวัน คือเทรดมากกว่ากลุ่มอื่นทั้งหมด ว่าที่จริงในตลาดอย่างในสหรัฐนั้น ผมเชื่อว่าคนที่ซื้อขายในตลาดส่วนใหญ่กลายเป็น “เครื่องจักร” หรือหุ่นยนต์ที่ทำหน้าที่นี้เป็นหลัก โดยเครื่องจักรที่ว่าก็คือคอมพิวเตอร์และโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เป็น AI ที่คิดแทนคนในการตัดสินใจสั่งซื้อ-สั่งขาย
หลักคิดหรือกลยุทธในการลงทุนในยุคที่คอมพิวเตอร์และ AI มีบทบาทนำในปัจจุบันนั้น ก็เป็นการลงทุนหรือการเทรดหลักทรัพย์ที่เน้นความรวดเร็วและออกแนวเก็งกำไรเป็นหลัก และแนวที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นมากก็คือสิ่งที่เรียกว่า ”Quant” หรือการวิเคราะห์หลักทรัพย์โดยอาศัยข้อมูลเชิงปริมาณหรือข้อมูลที่เป็นตัวเลขเป็นหลัก
พวก Quant ก็คือคนที่ประยุกต์สถิติทางคณิตศาสตร์ระดับสูงกับตัวเลขในตลาดการเงินโดยใช้ความสามารถของคอมพิวเตอร์และ AI เข้าไปคำนวณเพื่อมองหารูปแบบและแนวโน้มของราคาหลักทรัพย์ โดยที่โปรแกรมจะถูกออกแบบมาให้ทำการซื้อ-ขายอย่างอัตโนมัติตามกลยุทธที่จะทำให้สามารถทำกำไรได้
ความสำเร็จและการขยายตัวของพวก Quant นั้น ดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และถึงวันนี้น่าจะเป็น “กระแสหลัก” ไปแล้ว และแน่นอนว่า เหนือกว่าการลงทุนแบบ “VI” ที่เคยโดดเด่นและดังมานานอานิสงค์จากการสนับสนุนและรับรองโดย วอเร็น บัฟเฟตต์ นักลงทุนมือหนึ่งของโลกที่สร้างผลงานยอดเยี่ยมโดยมีผลตอบแทนทบต้นปีละประมาณ 20% ติดต่อกันประมาณ70 ปี
ความสำเร็จและความนิยมของ Quant นั้น ส่วนสำคัญอย่างหนึ่งก็คงมาจากตัวนักลงทุนที่เป็นผู้นำเช่นกัน ซึ่งก็คือ Jim Simons ผู้บริหารของ Renaissance Technologies ซึ่งบริหารกองทุนหลักคือ “Medallion Fund” ตั้งแต่ปี 1988-2018 เป็นเวลา 30 ปีและได้ผลตอบแทนแบบทบต้นถึง 66% ต่อปี และถ้าหักค่าธรรมเนียมค่าบริหารก็ยังให้ผลตอบแทนถึงปีละ 39% เหนือกว่าผลตอบแทนของบัฟเฟตต์มาก และกลายเป็นสถิติโลกที่ไม่มีใครทำได้ ส่วนตัวของจิม ไซม่อนเองซึ่งเพิ่งเสียชีวิตเมื่อปีก่อนที่อายุ 86 ปี ก็ร่ำรวยติดอันดับโลก ด้วยความมั่งคั่งประมาณ 30 พันล้านเหรียญหรือ 1 ล้านล้านบาทในวันที่เขาตาย
ที่มาของการลงทุนแบบ Quant เองนั้น ก็มีอะไรคล้ายคลึงกับการลงทุนแบบ VI ในแง่ที่ว่าทั้งคู่มี “บิดา” หรือผู้ให้กำเนิดแนวคิดที่สามารถสร้างผลงานการลงทุนแบบใหม่ที่เหนือกว่าได้ ในกรณีของ VI ก็คือเบน เกรแฮม ในช่วงประมาณปี 1934 หลังวิกฤติตลาดหุ้นครั้งใหญ่ในปี 1929 ที่หุ้นตกลงมาและมีราคาถูกมาก
Quant นั้น คนที่น่าจะเป็น “บิดา” ก็คือ Edward O. Thorp ศาสตราจารย์ด้านคณิตศาสตร์ที่หันไปศึกษาเรื่องการพนันในบ่อนและการลงทุนใน “ตลาดการพนันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก” หรือตลาดหุ้น โดยวัตถุประสงค์ก็คือการพิสูจน์ว่าเราสามารถเอาชนะในเกมนี้ได้โดยอาศัยการคำนวณด้วยคณิตศาสตร์และสถิติ
เริ่มแรก เขาเข้าไปเล่นไพ่แบล็คแจ็คหรือไพ่ 21 ในคาสิโนโดยการคิด “สูตร” ตามสถิติและคณิตศาสตร์และกำหนดวิธีการเล่นโดยการ “นับไพ่” และการกำหนด “เม็ดเงินพนันในแต่ละรอบ” ที่ทำให้เขา “ได้เปรียบ” ทางสถิติ ซึ่งผลก็คือ เขาก็สามารถทำเงินได้กำไรจากบ่อนเป็นประจำจนทำให้คาสิโนต่างก็ปฎิเสธไม่ให้เขาเล่น เขาเขียนหนังสือเล่าเรื่องนี้ในชื่อ “Beat the Dealer” หรือ “เอาชนะบ่อน” ในปี 1964 ซึ่งดังมาก เพราะไม่มีใครเคยคิดว่านักพนันจะชนะบ่อนได้
ต่อมา เขาเปลี่ยนไปเล่นหุ้นหรือซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาด โดยการใช้สูตรคณิตศาสตร์และเริ่มใช้คอมพิวเตอร์ในการคำนวณหามูลค่าหลักทรัพย์ที่เป็นอนุพันธ์เช่น วอแรนต์และออปชั่นที่มีหลักทรัพย์แม่ที่มีราคาตลาดอยู่แล้ว เขาจะซื้อ-ขายหลักทรัพย์โดยมีกลยุทธที่จะเฮดจ์ความเสี่ยงที่หุ้นจะขึ้นหรือลงโดยการซื้อหุ้นในด้านหนึ่ง และขายชอร์ตหุ้นตัวเดียวกันเมื่ออ็อบชั่นของหุ้นตัวนั้นมีราคาที่ผิดเพี้ยนไปจากสูตรที่เขาคำนวณได้มากพอ ด้วยการทำแบบนั้น เขาก็แทบจะไม่มีความเสี่ยงเลยไม่ว่าหุ้นจะขึ้นหรือลง แต่จะได้ผลตอบแทนเพียงเล็กน้อยในการเทรดแต่ละครั้ง แต่เมื่อเทรดหุ้นมาก กำไรก็จะเป็นกอบเป็นกำ และทั้งหมดนั้นเขาก็เขียนไว้ในหนังสืออีกเล่มหนึ่งก็คือ “Beat the Market” หรือเอาชนะตลาดในปี 1967
ผลตอบแทนการลงทุนในตลาดหุ้นของเขาในช่วง 20 ปี ตั้งแต่ปี 1969-1988 คือ บวก 19.1% ต่อปีแบบทบต้น และไม่มีปีไหนที่ขาดทุนเลย เทียบกับดัชนี S&P 500 ที่ 10.2% และติดลบไป 4 ปี ความมั่งคั่งของเขาก็ “รวย” ระดับเศรษฐี แม้อาจจะไม่ใช่มหาเศรษฐี เขาเลิกจากการลงทุนและกลับไปใช้ชีวิตที่เขาชอบ นั่นก็คือ การเป็นนักวิชาการ ซึ่งนั่นก็คงคล้าย ๆ กับเบน เกรแฮมที่มีธรรมชาติเป็นนักคิดมากกว่าการหาเงินจากการลงทุนมาก ๆ
โดยสรุปแล้ว ความแตกต่างระหว่าง VI กับการเทรดหุ้นหรือลงทุนแบบ Quant ก็คือ คนที่เป็น VI นั้น จะเป็นคนที่เน้นพื้นฐานทางธุรกิจของหุ้นหรือหลักทรัพย์ ซึ่งต้องมองหรือวิเคราะห์ธุรกิจในระยะยาว เสร็จแล้วก็ต้องดูว่าผลประกอบการในระยะยาวจะคุ้มกับราคาหุ้นหรือไม่ ดังนั้น คนที่จะเป็น VI จะต้องรอบรู้ในศิลปะต่าง ๆ ที่หลากหลายมากรวมถึงเรื่องทางธุรกิจที่ทุกบริษัทจะต้องแข่งขันกัน
พวก Quant นั้น ต้องใช้ข้อมูลตัวเลขในการคำนวณดูความเคลื่อนไหวของราคาเพื่อหาสถิติและความผิดเพี้ยนที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้น ๆ แล้วถือโอกาสซื้อ-ขายทำกำไรได้อย่างรวดเร็ว คนที่เป็น Quant จึงมักจะเป็นคนที่รู้เรื่องของตัวเลข การคำนวณและเป็นคนเก่งทางด้านโค้ดดิง โดยที่แทบจะไม่ต้องรู้เลยว่าหุ้นตัวนั้นเป็นบริษัทที่ทำอะไร
“บิดา” ของ Quant คือ Ed Thorp นั้น เป็นนักคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ เช่นเดียวกับ Jim Simons ก็เป็นศาสตราจารย์ด้านคณิตศาสตร์และเคยเป็นนักถอดระหัดโค้ดในช่วงสงครามเย็น นอกจากนั้น เฮดจ์ฟันด์ดัง ๆ ส่วนใหญ่เวลาจ้างพนักงานก็มักจะไม่จ้างนักการเงินแต่จ้างนักคณิตศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ นักคอมพิวเตอร์ วิศวกร หรือแม้แต่นักดาราศาสตร์มาบริหารกองทุน ถ้าจะพูดไป คนเหล่านี้จำนวนมากเป็นคน “อัจฉริยะ” IQ ระดับ 130-140 น่าจะเป็นเรื่องปกติ ผมเองรู้จักเด็กหนุ่มสาวคนไทยที่ทำงานให้กับกองทุนเหล่านี้ที่ไม่ได้จบทางด้านการเงินการลงทุน แต่เป็นเด็กทุนระดับ Top ของประเทศที่ไม่มีใครรู้จัก
ผลงานของ VI นั้น มองในระยะยาวแล้วก็ค่อนข้างโดดเด่น โดยเฉพาะถ้าเป็นระดับ “เซียน” ก็สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีต่อเนื่องยาวนานและเป็นที่ยอมรับของสังคมการลงทุน เหตุผลอาจจะเป็นว่าคนรู้ว่ากองทุนอย่าง ARK Invest ของป้าเคที่วูด หรือบริษัทอย่างเบิร์กไชร์นั้น “รวยยังไง” ถือหุ้นอะไรบ้าง
ในกรณีของ Quant นั้น เกมก็คือการทำกำไรแต่ละครั้งจะน้อย ๆ และมีการป้องกันความเสี่ยงได้ดี ไม่มีการขาดทุนเพราะทุกเทรดทำด้วยโปรแกรมที่คำนวณถึงโอกาสขาดทุนไว้แล้ว วิธีทำกำไรให้มากก็คือการเทรดให้มากด้วยต้นทุนที่ต่ำ เช่น ค่าธรรมเนียมน้อยมาก คิดเป็นเปอร์เซ็นต์อาจจะใกล้ 0 ดังนั้น Quant จำนวนมากในช่วงเวลานี้จึงอาจจะทำผลงานได้ดีเนื่องจากโลกของการเทรดหลักทรัพย์พัฒนาไปมาก ต้นทุนการดำเนินการลดลงมาก เช่นเดียวกับโปรแกรมหรือโค้ดก็อาจจะทำได้เร็วและถูก อานิสงค์จากความก้าวหน้าของ AI
อย่างไรก็ตาม ผลงานของ Quant ส่วนมากมักจะไม่ค่อยได้เปิดเผยมากนัก เพราะกองทุนมักจะเสนอให้กับผู้ลงทุนรายใหญ่จำนวนจำกัดที่ไม่ต้องเปิดเผยต่อสาธารณชน สิ่งที่พอรู้นอกจากผลงานของ Jim Simons ในกองทุน Medallion Fund ซึ่งไม่ได้เปิดให้กับประชาชนทั่วไปที่โดดเด่นมากแล้ว ผลงานกองทุนอื่น ๆ ของ Jim Simons เองก็อยู่ในระดับประมาณปีละ 8-12% แบบทบต้นเท่านั้น และน่าจะไม่ต่างจากผลงานในกลุ่ม VI ทั่วไปมากนัก
สุดท้ายก็คือ เราในฐานะของนักลงทุน ควรจะเลือกแนวทางไหนในการลงทุน ควรจะเป็นแนว VI หรือเชื่อในแนว Quant?
โดยส่วนตัวผมเองนั้น ผมคิดว่าคนที่จะเป็นนักลงทุนแนว Quant นั้น จะต้องมีความรู้ความสามารถทางตัวเลขและวิทยาศาสตร์สูง หรือเป็นพวก “อัจฉริยะ” คนที่รู้แต่วิธีใช้โปรแกรมเทรดหุ้นนั้นยากที่จะประสบความสำเร็จแบบยั่งยืน เพราะโปรแกรมที่ประสบความสำเร็จนั้น พอใช้ไปซักระยะก็มักจะใช้ไม่ได้ต่อไป คนที่จะชนะคงต้องเป็นคนที่สามารถดัดแปลงโปรแกรมไปเรื่อย ๆ เมื่อเห็นว่าของเดิมเริ่มใช้ไม่ได้แล้ว
ด้วยการพัฒนาของ AI ในช่วงเร็ว ๆ นี้ ผมเองคิดว่ามีความเสี่ยงมากสำหรับคนที่ลงทุนระยะสั้นหรือเทรดหุ้นที่จะเอาชนะผลตอบแทนของตลาดได้ไม่ว่าจะใช้กลยุทธไหนรวมถึง VI ดังนั้น ผมคิดว่าน่าจะยังเหลือแค่ทางเดียวที่จะเอาตัวรอดได้ในตลาดนั่นก็คือ การ “ลงทุนระยะยาวจริง ๆ” ที่ AI ก็ยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ดีกว่าคนที่ยังมี “จินตนาการ” มากกว่า