เที่ยวสเปน ตอนที่ 1 พระราชฐาน El Escorial กรุงมาดริด
ทริปนี้เราจะพาเพื่อน ๆ ไปเที่ยวประเทศสเปนกันค่ะ แพลนคร่าว ๆ คือ 1 เดือนเต็ม 27/7/17-27/8/17 ทั้งไปเที่ยวกันเอง และไปเยี่ยมญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงสมัยวัยขบเผาะของสามีด้วย เราออกเดินทางจากสนามบินชางกี ประเทศสิงคโปร์ เพราะเราอยู่สิงคโปร์กันจ้า ขาไปเราไปกับเพื่อนสามี เพราะเค้ามาเยี่ยมและพักกับพวกเราที่สิงคโปร์ ส่วนสามีเรานั้น....ฮีเดินทางไปประชุมที่สหรัฐอเมริกาล่วงหน้าแล้ว 4-5 วัน และนัดไปเจอกันที่มาดริด ดังนั้นเมื่อเราไปถึงเราและลูกจะต้องพักอยู่กับเพื่อนไปก่อน 3 วัน

พักผ่อนพอหายเหนื่อยแล้ว วันรุ่งขึ้นเพื่อนก็ขับรถพาออกไปเที่ยวที่พระราชฐานซาน โลเรนโซ เด เอลเอสโกเรียล (Real Sitio de San Lorenzo de El Escorial) หรือเรียกอย่างย่อว่า เอลเอสโกเรียล (El Escorial) ในอดีตเป็นที่ประทับของกษัตริย์แห่งสเปน สร้างขึ้นในสมัยของพระเจ้าฟิลิปที่ 2 เมื่อปี ค.ศ. 1563-1584 รวมระยะเวลาในการสร้างนาน 21 ปี

El Escorial ตั้งอยู่ในเมืองซาน โลเรนโซ เด เอลเอสโกเรียล บริเวณเชิงเขาอาบันโตส สูงจากระดับน้ำทะเลราว 1,028 เมตร และจัดว่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุดในยุคนั้น อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงมาดริด แม้ว่าประเทศสเปนจะมีเขตพระราชฐานมากมาย แต่ El Escorial มีความพิเศษตรงที่ภายในอาคารมีส่วนต่าง ๆ อย่างครบถ้วน ทั้งอาราม พระราชวัง โรงเรียน และพิพิธภัณฑสถาน

El Escorial ประกอบด้วยหมู่อาคารสองสถาปัตยกรรม ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม หมู่อาคารแรกคืออารามหลวง และหมู่อาคารที่สองคือ ลากรังคียาเดลาเฟรสเนดา (La Granjilla de La Fresneda) ที่ประทับ เพื่อเสด็จล่าสัตว์อันมีความสงบเงียบซึ่งตั้งอยู่ห่างออกไป 5 กิโลเมตร ทั้งสองสถานที่นี้มีสถาปัตยกรรมร่วม บ่งชี้ถึงอำนาจของราชวงศ์สเปนและอำนาจของศาสนจักรโรมันคาทอลิกในแผ่นดินสเปน ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 16 ถึง 17 ปัจจุบัน El Escorial เป็นสำนักงานใหญ่ของคณะสงฆ์แห่งนักบุญออกัสติน
ในวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 1984 องค์การยูเนสโก้ได้ประกาศให้พระราชฐานซานโลเรนโซแห่งเอลเอสโกเรียลเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม ปัจจุบัน El Escorial เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม สามารถเดินทางไปกลับจากกรุงมาดริดได้ภายในวันเดียว แต่ละปีมีนักท่องเที่ยวเข้าเยี่ยมชมกว่า 5 แสนคน (หมายเหตุ: ขอบคุณข้อมูลจาก วิกิพีเดีย)

ฝั่งซ้ายมือคือโรงเรียน และฝั่งขวาคือพระราชวัง
จากบ้านเพื่อน ขับรถไปยัง El Escorial ใช้เวลาประมาณ 45 นาที เพื่อนเล่าให้ฟังว่า El Escorial ประกอบไปด้วยโรงเรียน ตั้งอยู่ด้านนอกพระราชวัง และมีพระราชวังขนาดใหญ่ด้านใน มีโบสถ์โรมัน วิหารคอร์ยาร์ด หอสมุด และพิพิธภัณฑ์ มีหอคอย 4 หลังสูงโดดเด่นเป็นสง่า มีสวนที่ทำเหมือนเขาวงกตอยู่ด้านข้างของพระราชวัง

เราไปถึงประมาณ 5 โมงเย็น แต่ว่าแดดช่วงซัมเมอร์ร้อนมาก ๆ สว่างจ้าเหมือนแดดตอนเที่ยงวันบ้านเราเลย พอเข้าไปด้านในก็ต่อแถวซื้อบัตร เด็ก 5 ยูโร หรือประมาณ 200 บาท ผู้ใหญ่ 10 ยูโร หรือประมาณ 400 บาท มีให้เช่าหูฟังพร้อมคำอธิบายเป็นภาษาต่าง ๆ 3 ยูโร หรือ 120 บาท แต่ไม่มีภาษาไทยนะจ๊ะ เราไม่ได้เช่าเพราะมีเด็กไปด้วย คงไม่สะดวกเท่าไหร


ด้านในมีเจ้าหน้าที่ยืนตามจุดต่าง ๆ บ้างก็เดินสำรวจ บ้างก็ยืนในห้องที่มีการจัดแสดงภาพวาด เพราะเค้าห้ามไม่ให้สัมผัสและถ่ายภาพใด ๆ ในพระราชวัง แต่ถ้าจะถ่ายสวนก็ทำได้ ตอนเราจะถ่ายรูปสวนที่อยู่ทางด้านข้างของพระราชวัง เราหันไปหาเจ้าหน้าที่ ทำท่ายกกล้องแล้วชี้ไปทางสวน เค้าก็พยักหน้าให้ถ่ายได้ จากนั้นก็เก็บ กลัวว่าจะอดใจไม่ไหวแอบถ่าย โดนจับได้ขึ้นมาจะยุ่ง

ในส่วนของพระราชวังชั้นใต้ดินจะเป็นที่เก็บพระศพของกษัตริย์ ราชินี นางสนม พระโอรส พระธิดาและบุคคลสำคัญ ๆ ในยุคนั้น เป็นห้องโถงยาว เดินลัดเลาะไปตามทางที่กำหนดให้ บางห้องทำเป็นวงกลมแล้วเก็บศพโดยรอบ มีเจ้าหน้าที่ทำหน้าเข้มคุมอยู่

นี่ก็ห้องหลุมศพ 360 องศา
ผ่านจากห้องเก็บศพแล้วก็เข้าชมนิทรรศการภาพวาดฝาผนังที่เล่าเรื่องราวในอดีต การศึกสงครามต่าง ๆ การสูญเสียไพร่พลมากมายในสนามรบ ชมพิพิธภัณฑ์ สภาพความเป็นอยู่ในพระราชวัง ห้องบรรทมที่ยังคงเก็บที่นอน ผ้าปูที่นอน เตียง รวมถึงที่ทำความร้อน มีลักษณะเป็นเหล็กสำหรับใส่ถ่านร้อน ๆ จากนั้นใส่ไว้ใต้ที่นอน เพื่อให้ความอบอุ่นในฤดูหนาว และถ้วย ช้อน จาน ชาม แจกันโบราณหลายร้อยปี

หนึ่งในห้องสมุดที่ใหญ่ที่สุดของโลก
จากนั้นก็เดินเรื่อยไปยังห้องสมุดขนาดใหญ่ที่พระเจ้าฟิลิปที่ 2 ได้บริจาคเงินส่วนพระองค์ เพื่อสร้างห้องสมุดแห่งนี้ขึ้นมา ออกแบบโดย Juan de Herrera และภาพเฟรสโกบนเพดานโค้งเป็นภาพวาดของจิตรกรเอก Pellegrino Tibaldi ห้องโถงขนาดใหญ่ปูด้วยหินอ่อน และชั้นวางไม้แกะสลักอย่างสวยงาม ภายในห้องบรรจุด้วยหนังสือกว่า 40,000 เล่ม อยากถ่ายรูปมาก ๆ แต่ทำไม่ได้ ช่วงก่อนกลับเลยถ่ายจากโปสการ์ด แต่ก็ไม่สามารถเห็นความงดงามของทั้งห้องได้

ความงดงามของโบสถ์
ออกจากห้องสมุดเพื่อนพาเข้าไปชมความงดงามของโบสถ์ เพดานสูงเฉียดฟ้า ผนังทั้ง 4 ด้านตกแต่งด้วยภาพเขียนเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ และบุคคลสำคัญๆทางศาสนา สวยมากจนไม่อยากออกมา พวกเรานั่งมองไปรอบ ๆ ดูดด่ำความงดงามที่บรรพชนรุ่นหลัง ได้สร้างไว้ให้คนรุ่นเราๆ ได้ชื่นชม พร้อมกับคำถามที่เรามักจะพูดขึ้นมาลอย ๆ ว่า ทำได้ยังไง สมัยก่อนเทคโนโลยีก็ไม่ได้ทันสมัยเหมือนสมัยนี้ แต่สามารถสร้างสถาปัตยกรรมที่ใหญ่อลังการได้ถึงเพียงนี้

ใครไปเที่ยวสเปน มีโอกาสแวะที่กรุงมาดริด อย่าลืมไปชื่นชมความงดงามของ EL Escorial นะคะ รับรองว่าท่านจะไม่ผิดหวังแน่นอนค่ะ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่าน แล้วจะไปเที่ยวที่ไหนกันต่อ ต้องรอชมตอนต่อไปนะคะ
[CR] เที่ยวพระราชฐาน El Escorial กรุงมาดริด ประเทศสเปน หนึ่งในมรดกโลกทางวัฒนธรรมจากยูเนสโก้
ทริปนี้เราจะพาเพื่อน ๆ ไปเที่ยวประเทศสเปนกันค่ะ แพลนคร่าว ๆ คือ 1 เดือนเต็ม 27/7/17-27/8/17 ทั้งไปเที่ยวกันเอง และไปเยี่ยมญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงสมัยวัยขบเผาะของสามีด้วย เราออกเดินทางจากสนามบินชางกี ประเทศสิงคโปร์ เพราะเราอยู่สิงคโปร์กันจ้า ขาไปเราไปกับเพื่อนสามี เพราะเค้ามาเยี่ยมและพักกับพวกเราที่สิงคโปร์ ส่วนสามีเรานั้น....ฮีเดินทางไปประชุมที่สหรัฐอเมริกาล่วงหน้าแล้ว 4-5 วัน และนัดไปเจอกันที่มาดริด ดังนั้นเมื่อเราไปถึงเราและลูกจะต้องพักอยู่กับเพื่อนไปก่อน 3 วัน
พักผ่อนพอหายเหนื่อยแล้ว วันรุ่งขึ้นเพื่อนก็ขับรถพาออกไปเที่ยวที่พระราชฐานซาน โลเรนโซ เด เอลเอสโกเรียล (Real Sitio de San Lorenzo de El Escorial) หรือเรียกอย่างย่อว่า เอลเอสโกเรียล (El Escorial) ในอดีตเป็นที่ประทับของกษัตริย์แห่งสเปน สร้างขึ้นในสมัยของพระเจ้าฟิลิปที่ 2 เมื่อปี ค.ศ. 1563-1584 รวมระยะเวลาในการสร้างนาน 21 ปี
El Escorial ตั้งอยู่ในเมืองซาน โลเรนโซ เด เอลเอสโกเรียล บริเวณเชิงเขาอาบันโตส สูงจากระดับน้ำทะเลราว 1,028 เมตร และจัดว่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุดในยุคนั้น อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงมาดริด แม้ว่าประเทศสเปนจะมีเขตพระราชฐานมากมาย แต่ El Escorial มีความพิเศษตรงที่ภายในอาคารมีส่วนต่าง ๆ อย่างครบถ้วน ทั้งอาราม พระราชวัง โรงเรียน และพิพิธภัณฑสถาน
El Escorial ประกอบด้วยหมู่อาคารสองสถาปัตยกรรม ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม หมู่อาคารแรกคืออารามหลวง และหมู่อาคารที่สองคือ ลากรังคียาเดลาเฟรสเนดา (La Granjilla de La Fresneda) ที่ประทับ เพื่อเสด็จล่าสัตว์อันมีความสงบเงียบซึ่งตั้งอยู่ห่างออกไป 5 กิโลเมตร ทั้งสองสถานที่นี้มีสถาปัตยกรรมร่วม บ่งชี้ถึงอำนาจของราชวงศ์สเปนและอำนาจของศาสนจักรโรมันคาทอลิกในแผ่นดินสเปน ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 16 ถึง 17 ปัจจุบัน El Escorial เป็นสำนักงานใหญ่ของคณะสงฆ์แห่งนักบุญออกัสติน
ในวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 1984 องค์การยูเนสโก้ได้ประกาศให้พระราชฐานซานโลเรนโซแห่งเอลเอสโกเรียลเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม ปัจจุบัน El Escorial เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม สามารถเดินทางไปกลับจากกรุงมาดริดได้ภายในวันเดียว แต่ละปีมีนักท่องเที่ยวเข้าเยี่ยมชมกว่า 5 แสนคน (หมายเหตุ: ขอบคุณข้อมูลจาก วิกิพีเดีย)
จากบ้านเพื่อน ขับรถไปยัง El Escorial ใช้เวลาประมาณ 45 นาที เพื่อนเล่าให้ฟังว่า El Escorial ประกอบไปด้วยโรงเรียน ตั้งอยู่ด้านนอกพระราชวัง และมีพระราชวังขนาดใหญ่ด้านใน มีโบสถ์โรมัน วิหารคอร์ยาร์ด หอสมุด และพิพิธภัณฑ์ มีหอคอย 4 หลังสูงโดดเด่นเป็นสง่า มีสวนที่ทำเหมือนเขาวงกตอยู่ด้านข้างของพระราชวัง
ด้านในมีเจ้าหน้าที่ยืนตามจุดต่าง ๆ บ้างก็เดินสำรวจ บ้างก็ยืนในห้องที่มีการจัดแสดงภาพวาด เพราะเค้าห้ามไม่ให้สัมผัสและถ่ายภาพใด ๆ ในพระราชวัง แต่ถ้าจะถ่ายสวนก็ทำได้ ตอนเราจะถ่ายรูปสวนที่อยู่ทางด้านข้างของพระราชวัง เราหันไปหาเจ้าหน้าที่ ทำท่ายกกล้องแล้วชี้ไปทางสวน เค้าก็พยักหน้าให้ถ่ายได้ จากนั้นก็เก็บ กลัวว่าจะอดใจไม่ไหวแอบถ่าย โดนจับได้ขึ้นมาจะยุ่ง
ในส่วนของพระราชวังชั้นใต้ดินจะเป็นที่เก็บพระศพของกษัตริย์ ราชินี นางสนม พระโอรส พระธิดาและบุคคลสำคัญ ๆ ในยุคนั้น เป็นห้องโถงยาว เดินลัดเลาะไปตามทางที่กำหนดให้ บางห้องทำเป็นวงกลมแล้วเก็บศพโดยรอบ มีเจ้าหน้าที่ทำหน้าเข้มคุมอยู่
ผ่านจากห้องเก็บศพแล้วก็เข้าชมนิทรรศการภาพวาดฝาผนังที่เล่าเรื่องราวในอดีต การศึกสงครามต่าง ๆ การสูญเสียไพร่พลมากมายในสนามรบ ชมพิพิธภัณฑ์ สภาพความเป็นอยู่ในพระราชวัง ห้องบรรทมที่ยังคงเก็บที่นอน ผ้าปูที่นอน เตียง รวมถึงที่ทำความร้อน มีลักษณะเป็นเหล็กสำหรับใส่ถ่านร้อน ๆ จากนั้นใส่ไว้ใต้ที่นอน เพื่อให้ความอบอุ่นในฤดูหนาว และถ้วย ช้อน จาน ชาม แจกันโบราณหลายร้อยปี
จากนั้นก็เดินเรื่อยไปยังห้องสมุดขนาดใหญ่ที่พระเจ้าฟิลิปที่ 2 ได้บริจาคเงินส่วนพระองค์ เพื่อสร้างห้องสมุดแห่งนี้ขึ้นมา ออกแบบโดย Juan de Herrera และภาพเฟรสโกบนเพดานโค้งเป็นภาพวาดของจิตรกรเอก Pellegrino Tibaldi ห้องโถงขนาดใหญ่ปูด้วยหินอ่อน และชั้นวางไม้แกะสลักอย่างสวยงาม ภายในห้องบรรจุด้วยหนังสือกว่า 40,000 เล่ม อยากถ่ายรูปมาก ๆ แต่ทำไม่ได้ ช่วงก่อนกลับเลยถ่ายจากโปสการ์ด แต่ก็ไม่สามารถเห็นความงดงามของทั้งห้องได้
ความงดงามของโบสถ์
ออกจากห้องสมุดเพื่อนพาเข้าไปชมความงดงามของโบสถ์ เพดานสูงเฉียดฟ้า ผนังทั้ง 4 ด้านตกแต่งด้วยภาพเขียนเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ และบุคคลสำคัญๆทางศาสนา สวยมากจนไม่อยากออกมา พวกเรานั่งมองไปรอบ ๆ ดูดด่ำความงดงามที่บรรพชนรุ่นหลัง ได้สร้างไว้ให้คนรุ่นเราๆ ได้ชื่นชม พร้อมกับคำถามที่เรามักจะพูดขึ้นมาลอย ๆ ว่า ทำได้ยังไง สมัยก่อนเทคโนโลยีก็ไม่ได้ทันสมัยเหมือนสมัยนี้ แต่สามารถสร้างสถาปัตยกรรมที่ใหญ่อลังการได้ถึงเพียงนี้
ใครไปเที่ยวสเปน มีโอกาสแวะที่กรุงมาดริด อย่าลืมไปชื่นชมความงดงามของ EL Escorial นะคะ รับรองว่าท่านจะไม่ผิดหวังแน่นอนค่ะ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่าน แล้วจะไปเที่ยวที่ไหนกันต่อ ต้องรอชมตอนต่อไปนะคะ