เคยมั้ย? ที่เบื่องานมาก ปัญหารอบด้าน ทั้งเรื่องงาน เรื่องนาย เรื่องเพื่อนร่วมงาน มันเหมือนมีปัญหาไปซะทุกด้าน ลาออกจากที่ทำงานหนึ่ง ก็ไปเจอปัญหาอีกอย่างหนึ่ง จนเปลี่ยนงาน ไป 2-3ที่ เราอยากจะแบ่งปันประสบการณ์ของตัวเราเอง คือ เราจบ ม.เอกชนมีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง ทันทีที่จบก็มีบริษัทมีชื่อดังแห่งหนึ่งมารอรับเข้าทำงานทันที ในตำแหน่งเลขานุการผู้บริหาร การทำงานเป็นไปด้วยดี นายดี เงินเดือนดี แต่มีปัญหาเพื่อนร่วมงานบ้าง ซึ่งอาจเป็นเพราะวัยพึ่งจบ ความอดทนยังน้อย ทำไปได้ประมาณ2ปี ก็หางานใหม่ ไปทำเกี่ยวกับบริษัทเงินทุน ก็ไปเจอ นายหื่น จนต้องหาทางลาออก ต่อจากนั้น
ก็ได้ไปทำงานในบริษัทอสังหาริมทรัพย์แห่งหนึ่ง ชอบงานมาก เพราะเป็นคนชอบแก้ปัญหา[เรื่องงาน] งานนี้ต้องดิวกับลูกค้าและวิศวกร ทำให้ได้เรียนรู้เยอะ
จนมาวันนึงในปี 2540 หลังจากประกาศค่าเงินบาทลอยตัว บริษัทต่างๆได้ปิดตัวหรือลดพนง. เราก็เป็นหนึ่งในนั้นที่โดน เพราะบริษัทปลดพนง. ที่มีตำแหน่งและเงินเดือนสูงออกก่อน ยังจำภาพติดตาว่า กอดกับลูกน้องร้องไห้กันทั้งออฟฟิศ หลังจากนั้งงานก็หายาก แต่มีธุรกิจ ที่แทบไม่ได้รับผลกระทบเลย โชคดี เราได้ทำงานบริษัทนั้น ในตำแหน่ง Marketing Manager ทำไปเรียนรู้งานไป ความกดดันจากนายก็สูง เครียดมาก อยากลาออกทุกวัน แต่ต้องทนเพื่อเงิน จนวันนึงทนไม่ไหวแล้ว ไม่อยากเป็นลูกจ้างแล้ว ไม่รู้จะสมัครงานที่ไหนแล้ว ไม่คิดมากเลย ต้องลาออกเท่านั้น มาเปิดบริษัทเอง และทำธุรกิจเดียวกับบริษัทที่ลาออกมาเพราะไม่รู้จะทำอะไรแล้ว แต่ต้องทำ ต้องสู้
ตอนเปิดบริษัทยังไม่มีลูกน้อง ทำเองคนเดียวทุกอย่าง ทั้งหาลูกค้าเอง ทำงานเอกสารเอง ส่งของเอง วางบิลเอง บางวันกว่าจะนอนก็ตีสาม
เหนื่อยและท้อมาก ถ้าวันไหนหาลูกค้าไม่ได้ขายไม่ดี จะท้อมากแบบเครียดจนมือสั่นอะ จนต้องเขียนแปะหน้าคอมเลยว่า "เราต้องทำให้ได้ ห้ามขี้เกียจ"แล้วก็คิดถึงพ่อของเราเองเป็นตัวอย่างความอดทน เหนื่อยมายิ่งกว่าเราเยอะทำให้มีแรงฮึดสู้ ลูกค้าเริ่มเยอะขึ้นเราก็เริ่มจ้างพนง. 1 คน มาช่วยขายหาลูกค้า ธุรกิจดีขึ้นเรื่อยๆ จนผ่านมา10กว่าปียังมีลูกน้องแค่ 5 คน เพราะเราพอใจ ในการเป็นธุรกิจเล็กๆ แต่รายได้จากบริษัทนี้ทำเงินให้เราเยอะ ตามตวามขยันของเรา จากเงินลงทุนในตอนนั้นแค่ 1 แสนบาทอยากบอกแบบไม่อายด้วยว่ากู้มา จนวันนี้บริษัทเล็กๆอย่างเรา ทำรายได้ให้เราถึงปีละหลายล้าน ทำให้เรามีบ้าน มีคอนโดปล่อยเช่าหลายที่ จากที่ไม่มีอะไรเลย เพราะเราใช้เงินเก่งตอนเป็นลูกจ้าง เงินเดือนสูง ก็หมดไปกับการแต่งตัว พ่อก็จะว่าใช้เงินเก่ง พี่ๆก็จะดูถูกว่า เอาแต่แต่งตัว เงินไม่พอใช้ ยังโชคดีที่ไม่เป็นคนดื่มเที่ยวกลางคืน แต่ตั้งแต่เปิดบริษัททำให้เราประหยัดขึ้น ช่วง5ปีแรกเก็บๆอย่างเดียวเลย
ที่เล่ามาทั้งหมดนี้แค่อยากจะบอกว่า มันเป็นการตัดสินใจที่จำเป็นต้องตัดสินใจจริงๆ ซึ่งมันเป็นข้อดี ทำให้เราไม่มัวมาแต่คิดว่า จะลาออกเมื่อไหร่ดี จะเริ่มเมื่อไหร่ดี
แต่ตอนนี้เริ่มอยากจะเที่ยวเยอะๆ เมื่อไหร่จะเลิกทำธุรกิจดี เพราะอยากมีเวลาให้ตัวเองไปเที่ยวโดยไม่มีห่วง แต่เคยลองหยุดโดยไม่ทำอะไรเลย แรกๆก็ดี
ชอบ สบาย แต่มาดูเงินในบัญชี มันเคลื่อนไหวน้อยลง ทำให้ตนเองฟุ้งซ้าน มาคิดอีกทีไม่ดีแน่
เนื้อหานี้ให้ลูกสาวพิมพ์ให้ บัญชีนี้ใช้กับลูกสาว อยากบอกเพิ่มเติมว่า เมื่อคิดทำอะไร หาข้อมูลเยอะก็ดี แต่ถ้ามัวแต่สะสมข้อมูลไม่ลงมือทำสักที ก็จะไม่ได้เริ่ม ข้อมูลก็จะไม่ได้ใช้ สำหรับเราไม่รู้ข้อมูลด้านเทคนิคกับสินค้าที่ขายเลย แต่เรามีความมั่นใจ ในความสามารถด้านการขาย การแก้ปัญหาและการบริการลูกค้าของเรา เรื่องอื่นๆ เราก็มาเรียนรู้ไปพร้อมกับปัญหา บางครั้งความกดดันก็เป็นสิ่งที่ดี เป็นเสมือนแรงผลักดันชั้นยอด ไม่อยากเชื่อเลยว่าเราทำได้และดีด้วย.....แค่อยากจะแบ่งปันลูกหลาน
จะลาออกครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ดี?
ก็ได้ไปทำงานในบริษัทอสังหาริมทรัพย์แห่งหนึ่ง ชอบงานมาก เพราะเป็นคนชอบแก้ปัญหา[เรื่องงาน] งานนี้ต้องดิวกับลูกค้าและวิศวกร ทำให้ได้เรียนรู้เยอะ
จนมาวันนึงในปี 2540 หลังจากประกาศค่าเงินบาทลอยตัว บริษัทต่างๆได้ปิดตัวหรือลดพนง. เราก็เป็นหนึ่งในนั้นที่โดน เพราะบริษัทปลดพนง. ที่มีตำแหน่งและเงินเดือนสูงออกก่อน ยังจำภาพติดตาว่า กอดกับลูกน้องร้องไห้กันทั้งออฟฟิศ หลังจากนั้งงานก็หายาก แต่มีธุรกิจ ที่แทบไม่ได้รับผลกระทบเลย โชคดี เราได้ทำงานบริษัทนั้น ในตำแหน่ง Marketing Manager ทำไปเรียนรู้งานไป ความกดดันจากนายก็สูง เครียดมาก อยากลาออกทุกวัน แต่ต้องทนเพื่อเงิน จนวันนึงทนไม่ไหวแล้ว ไม่อยากเป็นลูกจ้างแล้ว ไม่รู้จะสมัครงานที่ไหนแล้ว ไม่คิดมากเลย ต้องลาออกเท่านั้น มาเปิดบริษัทเอง และทำธุรกิจเดียวกับบริษัทที่ลาออกมาเพราะไม่รู้จะทำอะไรแล้ว แต่ต้องทำ ต้องสู้
ตอนเปิดบริษัทยังไม่มีลูกน้อง ทำเองคนเดียวทุกอย่าง ทั้งหาลูกค้าเอง ทำงานเอกสารเอง ส่งของเอง วางบิลเอง บางวันกว่าจะนอนก็ตีสาม
เหนื่อยและท้อมาก ถ้าวันไหนหาลูกค้าไม่ได้ขายไม่ดี จะท้อมากแบบเครียดจนมือสั่นอะ จนต้องเขียนแปะหน้าคอมเลยว่า "เราต้องทำให้ได้ ห้ามขี้เกียจ"แล้วก็คิดถึงพ่อของเราเองเป็นตัวอย่างความอดทน เหนื่อยมายิ่งกว่าเราเยอะทำให้มีแรงฮึดสู้ ลูกค้าเริ่มเยอะขึ้นเราก็เริ่มจ้างพนง. 1 คน มาช่วยขายหาลูกค้า ธุรกิจดีขึ้นเรื่อยๆ จนผ่านมา10กว่าปียังมีลูกน้องแค่ 5 คน เพราะเราพอใจ ในการเป็นธุรกิจเล็กๆ แต่รายได้จากบริษัทนี้ทำเงินให้เราเยอะ ตามตวามขยันของเรา จากเงินลงทุนในตอนนั้นแค่ 1 แสนบาทอยากบอกแบบไม่อายด้วยว่ากู้มา จนวันนี้บริษัทเล็กๆอย่างเรา ทำรายได้ให้เราถึงปีละหลายล้าน ทำให้เรามีบ้าน มีคอนโดปล่อยเช่าหลายที่ จากที่ไม่มีอะไรเลย เพราะเราใช้เงินเก่งตอนเป็นลูกจ้าง เงินเดือนสูง ก็หมดไปกับการแต่งตัว พ่อก็จะว่าใช้เงินเก่ง พี่ๆก็จะดูถูกว่า เอาแต่แต่งตัว เงินไม่พอใช้ ยังโชคดีที่ไม่เป็นคนดื่มเที่ยวกลางคืน แต่ตั้งแต่เปิดบริษัททำให้เราประหยัดขึ้น ช่วง5ปีแรกเก็บๆอย่างเดียวเลย
ที่เล่ามาทั้งหมดนี้แค่อยากจะบอกว่า มันเป็นการตัดสินใจที่จำเป็นต้องตัดสินใจจริงๆ ซึ่งมันเป็นข้อดี ทำให้เราไม่มัวมาแต่คิดว่า จะลาออกเมื่อไหร่ดี จะเริ่มเมื่อไหร่ดี
แต่ตอนนี้เริ่มอยากจะเที่ยวเยอะๆ เมื่อไหร่จะเลิกทำธุรกิจดี เพราะอยากมีเวลาให้ตัวเองไปเที่ยวโดยไม่มีห่วง แต่เคยลองหยุดโดยไม่ทำอะไรเลย แรกๆก็ดี
ชอบ สบาย แต่มาดูเงินในบัญชี มันเคลื่อนไหวน้อยลง ทำให้ตนเองฟุ้งซ้าน มาคิดอีกทีไม่ดีแน่
เนื้อหานี้ให้ลูกสาวพิมพ์ให้ บัญชีนี้ใช้กับลูกสาว อยากบอกเพิ่มเติมว่า เมื่อคิดทำอะไร หาข้อมูลเยอะก็ดี แต่ถ้ามัวแต่สะสมข้อมูลไม่ลงมือทำสักที ก็จะไม่ได้เริ่ม ข้อมูลก็จะไม่ได้ใช้ สำหรับเราไม่รู้ข้อมูลด้านเทคนิคกับสินค้าที่ขายเลย แต่เรามีความมั่นใจ ในความสามารถด้านการขาย การแก้ปัญหาและการบริการลูกค้าของเรา เรื่องอื่นๆ เราก็มาเรียนรู้ไปพร้อมกับปัญหา บางครั้งความกดดันก็เป็นสิ่งที่ดี เป็นเสมือนแรงผลักดันชั้นยอด ไม่อยากเชื่อเลยว่าเราทำได้และดีด้วย.....แค่อยากจะแบ่งปันลูกหลาน