ตามความเข้าใจส่วนตัว อาจเข้าใจไม่ตรงกับบางท่านก็ได้
ถ้าจะกินเจหรือมังสวิรัติ ก็ต้องกินให้เป็น หากกินไม่เป็น จิตย่อมไม่เป็นกุศล เช่น แม้กินเจหรือมังสวิรัติ แต่ยังติดเพลินกับรสชาติอยู่ การกินนั้นย่อมเป็นโลภะซึ่งเป็นจิตที่เป็นอกุศล
ถ้าจะกินเนื้อสัตว์ก็ต้องกินให้เป็น หากกินเป็น จิตย่อมไม่เป็นอกุศล เช่น อาหารที่มีเนื้อสัตว์ผสมอยู่นั้น
1. ผู้ทานไม่รู้ว่าเนื้อสัตว์นั้นถูกฆ่ามาเพื่อตน (จากวณิชชสูตร เนื้อสัตว์นั้นต้องไม่เป็นเนื้อสัตว์ที่ถูกฆ่าเพื่อการค้า)
2. เนื้อสัตว์ที่ไม่ได้อยู่ในข้อหนึ่งนั้น ต้องไม่เป็นเนื้อสัตว์ที่รังเกียจและต้องห้าม 10 ชนิด
3. การทานนั้นเป็นการทานที่ไร้การติดเพลินในรสชาติ ทานไปเพื่อไม่ให้เกิดความหิวซึ่งเป็นทุกขเวทนาอันเป็นเครื่องอุปสรรคในการปฏบัติธรรม และเป็นไปเพื่อให้ร่างกายมีพละกำลังในการดำรงธรรมเพื่อสร้าประโยชน์ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น
เมื่อบุคคลใดรู้จักการทานอาหารที่ถูกต้อง จะเป็นเจหรือไม่เจ ย่อมเป็นบุญเสมอ
พระพุทธองค์ตรัสไว้ในวณิชชสูตร บุคคลไม่ควรประกอบการค้าขาย 5 ประการ
1. การค้าขายอาวุธ 2. การค้าขายสัตว์ 3. การค้าขายเนื้อสัตว์ 4. การค้าขายน้ำเมาสิ่งเสพติด 5. การค้าขายยาพิษ
ดูจากพระสูตรนี้แล้ว เนื้อสัตว์ที่มีอยู่เพื่อเป็นอาหานในสมัยนี้นั้น ล้วนแล้วแต่มาจากการค้าเนื้อสัตว์ทั้งสิ้น ทุกคนย่อมรู้ข้อนี้ดี เมื่อรู้อยู่แล้วว่าการค้าเนื้อสัตว์นั้น ไม่พึงกระทำ แต่ก็ยังสนับสนุนให้กระทำอยู่ดี แสดงว่าสติยังไม่มั่นคงที่จะพิจารณายับยั้งการสนับสนุนในสิ่งที่ไม่พึงกระทำ เหตุผลหลัก ๆ ที่ไม่สามารถยับยั้งได้ก็เพราะโลภะเป็นมูลที่เกิดจากการอยากกินเพื่อติดเพลินนั่นเอง ดังนั้น แม้พระพุทธองค์ไม่ได้บัญญัติห้ามพระภิกษุฉันเนื้อสัตว์ตามที่ปรากฏในพระวินัยก็ตาม หากกินไม่เป็นก็เป็นอกุศลอยู่ดี
ตามที่ตนเข้าใจ... เพียงแค่คิดไม่เบียดเบียนสัตว์ ขณะคิดนั้น จิตเป็นกุศลแล้ว ยิ่งถ้าปฏิบัติได้ด้วยกายและวาจาโดยการหลีกเลี่ยงจากการสนับสนุนและการกระทำในการเบียดเบียนสัตว์ด้วยแล้ว ยิ่งเป็นบุญที่เต็มกำลัง
กินเจได้บุญจริงหรือไม่
ถ้าจะกินเจหรือมังสวิรัติ ก็ต้องกินให้เป็น หากกินไม่เป็น จิตย่อมไม่เป็นกุศล เช่น แม้กินเจหรือมังสวิรัติ แต่ยังติดเพลินกับรสชาติอยู่ การกินนั้นย่อมเป็นโลภะซึ่งเป็นจิตที่เป็นอกุศล
ถ้าจะกินเนื้อสัตว์ก็ต้องกินให้เป็น หากกินเป็น จิตย่อมไม่เป็นอกุศล เช่น อาหารที่มีเนื้อสัตว์ผสมอยู่นั้น
1. ผู้ทานไม่รู้ว่าเนื้อสัตว์นั้นถูกฆ่ามาเพื่อตน (จากวณิชชสูตร เนื้อสัตว์นั้นต้องไม่เป็นเนื้อสัตว์ที่ถูกฆ่าเพื่อการค้า)
2. เนื้อสัตว์ที่ไม่ได้อยู่ในข้อหนึ่งนั้น ต้องไม่เป็นเนื้อสัตว์ที่รังเกียจและต้องห้าม 10 ชนิด
3. การทานนั้นเป็นการทานที่ไร้การติดเพลินในรสชาติ ทานไปเพื่อไม่ให้เกิดความหิวซึ่งเป็นทุกขเวทนาอันเป็นเครื่องอุปสรรคในการปฏบัติธรรม และเป็นไปเพื่อให้ร่างกายมีพละกำลังในการดำรงธรรมเพื่อสร้าประโยชน์ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น
เมื่อบุคคลใดรู้จักการทานอาหารที่ถูกต้อง จะเป็นเจหรือไม่เจ ย่อมเป็นบุญเสมอ
พระพุทธองค์ตรัสไว้ในวณิชชสูตร บุคคลไม่ควรประกอบการค้าขาย 5 ประการ
1. การค้าขายอาวุธ 2. การค้าขายสัตว์ 3. การค้าขายเนื้อสัตว์ 4. การค้าขายน้ำเมาสิ่งเสพติด 5. การค้าขายยาพิษ
ดูจากพระสูตรนี้แล้ว เนื้อสัตว์ที่มีอยู่เพื่อเป็นอาหานในสมัยนี้นั้น ล้วนแล้วแต่มาจากการค้าเนื้อสัตว์ทั้งสิ้น ทุกคนย่อมรู้ข้อนี้ดี เมื่อรู้อยู่แล้วว่าการค้าเนื้อสัตว์นั้น ไม่พึงกระทำ แต่ก็ยังสนับสนุนให้กระทำอยู่ดี แสดงว่าสติยังไม่มั่นคงที่จะพิจารณายับยั้งการสนับสนุนในสิ่งที่ไม่พึงกระทำ เหตุผลหลัก ๆ ที่ไม่สามารถยับยั้งได้ก็เพราะโลภะเป็นมูลที่เกิดจากการอยากกินเพื่อติดเพลินนั่นเอง ดังนั้น แม้พระพุทธองค์ไม่ได้บัญญัติห้ามพระภิกษุฉันเนื้อสัตว์ตามที่ปรากฏในพระวินัยก็ตาม หากกินไม่เป็นก็เป็นอกุศลอยู่ดี
ตามที่ตนเข้าใจ... เพียงแค่คิดไม่เบียดเบียนสัตว์ ขณะคิดนั้น จิตเป็นกุศลแล้ว ยิ่งถ้าปฏิบัติได้ด้วยกายและวาจาโดยการหลีกเลี่ยงจากการสนับสนุนและการกระทำในการเบียดเบียนสัตว์ด้วยแล้ว ยิ่งเป็นบุญที่เต็มกำลัง