ความเข้าใจที่อาจจะคลาดเคลื่อน ในความหมายของการพิจารณา นาม-รูป ของคนที่ฝึกวิปัสสนา ....
-------------------------------------------------
การเห็น นามรูป ไม่ใช่จะเห็นกันได้ง่ายๆหรอก ...ต้องได้วิปัสสนาญาณ จึงจะสามารถเห็นได้...และ นามรูป ที่กล่าวถึง ในการดำเนินวิปัสสนาญาณ...ไม่ใช่นามรูปทั่วๆไป ที่เราเจอในโลกประจำวัน...นามรูปที่กล่าวถึงในวิปัสสนาญาณชั้นต่างๆนั้น หมายถึง การปรุงแต่งเกิดๆดับๆของจิต ที่ไวมากๆ(กระพริบตา ๑ ครั้ง จิตเกิดๆดับๆไปแล้วประมาณแสนโกฏิดวง)...เมื่อจิต เกิดๆดับไปครบ ๑๗ ดวง ก็จะเป็นรูปขึ้นมา ๑ รูป(จะรวมรูปทั้ง ๒๘ ไว้ครบหมด) ความหมายคือ จิต ๑๖ ดวงแรก เป็นนาม แต่ดวงที่ ๑๗ เป็นรูป ..ในเวลากระพริบตาครั้งเดียว มีจิตเกิดๆดับๆไปประมาณแสนโกฏิดวง นั่นคือ มีรูปเกิดขึ้นประมาณ ๖ หมื่นล้านรูป ในชั่วแค่การกระพริบตา ๑ ครั้ง ...รูป มี ๒๘ ประเภท ...แต่ในชีวิตประจำวัน เราสามารถเห็นได้แค่ประเภทเดียว เท่านั้น คือ วรรณรูป หรือ สีต่างๆ นั่นเอง..อีก ๒๗ ประเภท เราไม่อาจจะมองเห็นได้...รูปที่เห็นได้ด้วยตา เรียกว่า นิทัสสนรูป ซึ่งมีอย่างเดียว คือ วรรณรูป (สีต่างๆนั่นแหละ) / รูปที่เหลืออีก ๒๗ เราไม่อาจจะเห็นได้ด้วยตา เรียกว่า อนิทัสสนรูป /..แต่เราอาจจะสัมผัสรูปบางอย่างได้ด้วยกาย /...ของแข็งๆ ต่างๆ รอบตัวเรา ที่เราเห็นทั้งหมด เช่น เก้าอี้ บ้าน คอมพิวเตอร์ ก้อนหิน ดิน ต้นไม้ รถ..ฯลฯ นั่นคือธาตุดิน(ปฐวีรูป)...แต่ว่า ที่เราเห็นสิ่งพวกนั้น นั่น ไม่ใช่หมายถึงเราเห็นธาตุดิน ที่แท้เราเห็น สี ที่ฉาบธาตุดินนั้นไว้(ธาตุดินทั้งหมด จะมีวรรณรูปหรือสีฉาบไว้ภายนอกหมด ธาตุดินจริงๆ ไม่มีสีอะไร)... ธาตุดิน เราไม่อาจจะเห็นได้ด้วยตา แต่อาจจะสัมผัสได้ด้วยร่างกาย เท่านั้น....สมมุติ เราจับก้อนหินขึ้นมาก้อนหนึ่งไว้ในมือ ก้อนหินในมือก้อนนั้นนั่นคือธาตุดินแน่นอน ...เพราะเป็นของแข็ง...แต่ที่เราเห็นก้อนหินนั้น ที่แท้นั่นคือเราเห็นสีที่ฉาบธาตุดินหรือก้อนหินนั้น ไม่ใช่เราเห็นธาตุดิน ...แต่เรารู้ธาตุดิน(ก้อนหิน) นั้น ด้วยการสัมผัสจากมือเรา ได้ ....เพราะฉะนั้น คนที่พูดกันเรื่อยๆ ว่า พิจารณา นามรูป ...คนพูดก็พูดก็พูดมั่วไปงั้นเอง เพราะไม่รู้ความจริง... จริงๆแล้วไม่ใช่ของง่าย....จะพิจารณารูปนามได้ ต้องยกจิตเข้าถึงวิปัสสนาญาณ แล้วเท่านั้น จึงจะเห็นได้.....ต่อ เมื่อใดที่ถ้าสามารถเห็นการปรุงแต่งของจิตอย่างละเอียดยิบยับๆ ไวๆมากๆ สุดๆๆ นั่นได้ทัน .นั่นจึงจะเริ่มเรียกได้ ว่า พิจารณานามรูป ....
..... สรุปคือ การพิจารณา นามรูป ของจริงนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย ตามแบบที่พูดๆกันทั่วๆไป....ต้องฝึกจนได้จิตสงบเป็นอัปปนาสมาธิดีๆก่อน(คือได้ฌานมาดีๆก่อน)..แล้วเริ่มฝึกวิปัสสนาญาณ จนสามารถตามทันการปรุงแต่งที่ละเอียดและไวๆมากๆในจิตได้ทัน..นั่นจึงพอจะเรียกได้ว่า เริ่มเห็นรูปนามในขั้นแรกๆ...ซึ่งยังต้องฝึกๆๆๆ กันอีกมากมาย จนสามารถเห็นการเกิดๆดับๆของจิตที่ไวๆๆมากๆสุดๆนั่นได้ทันเมื่อใดเมื่อนั้นจึงเรียกได้ว่าเริ่มเห็นรูปนามอย่างแท้จริง และจะเริ่มเห็นไตรลักษณ์ ของแท้ เริ่มต้นที่ตรงนี้ขั้นนี้ไป ..
$$$ AAA .....ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนของนักตำรา และหลายๆคนในเรื่องการพิจารณา นาม-รูป .....AAA $$$
-------------------------------------------------
การเห็น นามรูป ไม่ใช่จะเห็นกันได้ง่ายๆหรอก ...ต้องได้วิปัสสนาญาณ จึงจะสามารถเห็นได้...และ นามรูป ที่กล่าวถึง ในการดำเนินวิปัสสนาญาณ...ไม่ใช่นามรูปทั่วๆไป ที่เราเจอในโลกประจำวัน...นามรูปที่กล่าวถึงในวิปัสสนาญาณชั้นต่างๆนั้น หมายถึง การปรุงแต่งเกิดๆดับๆของจิต ที่ไวมากๆ(กระพริบตา ๑ ครั้ง จิตเกิดๆดับๆไปแล้วประมาณแสนโกฏิดวง)...เมื่อจิต เกิดๆดับไปครบ ๑๗ ดวง ก็จะเป็นรูปขึ้นมา ๑ รูป(จะรวมรูปทั้ง ๒๘ ไว้ครบหมด) ความหมายคือ จิต ๑๖ ดวงแรก เป็นนาม แต่ดวงที่ ๑๗ เป็นรูป ..ในเวลากระพริบตาครั้งเดียว มีจิตเกิดๆดับๆไปประมาณแสนโกฏิดวง นั่นคือ มีรูปเกิดขึ้นประมาณ ๖ หมื่นล้านรูป ในชั่วแค่การกระพริบตา ๑ ครั้ง ...รูป มี ๒๘ ประเภท ...แต่ในชีวิตประจำวัน เราสามารถเห็นได้แค่ประเภทเดียว เท่านั้น คือ วรรณรูป หรือ สีต่างๆ นั่นเอง..อีก ๒๗ ประเภท เราไม่อาจจะมองเห็นได้...รูปที่เห็นได้ด้วยตา เรียกว่า นิทัสสนรูป ซึ่งมีอย่างเดียว คือ วรรณรูป (สีต่างๆนั่นแหละ) / รูปที่เหลืออีก ๒๗ เราไม่อาจจะเห็นได้ด้วยตา เรียกว่า อนิทัสสนรูป /..แต่เราอาจจะสัมผัสรูปบางอย่างได้ด้วยกาย /...ของแข็งๆ ต่างๆ รอบตัวเรา ที่เราเห็นทั้งหมด เช่น เก้าอี้ บ้าน คอมพิวเตอร์ ก้อนหิน ดิน ต้นไม้ รถ..ฯลฯ นั่นคือธาตุดิน(ปฐวีรูป)...แต่ว่า ที่เราเห็นสิ่งพวกนั้น นั่น ไม่ใช่หมายถึงเราเห็นธาตุดิน ที่แท้เราเห็น สี ที่ฉาบธาตุดินนั้นไว้(ธาตุดินทั้งหมด จะมีวรรณรูปหรือสีฉาบไว้ภายนอกหมด ธาตุดินจริงๆ ไม่มีสีอะไร)... ธาตุดิน เราไม่อาจจะเห็นได้ด้วยตา แต่อาจจะสัมผัสได้ด้วยร่างกาย เท่านั้น....สมมุติ เราจับก้อนหินขึ้นมาก้อนหนึ่งไว้ในมือ ก้อนหินในมือก้อนนั้นนั่นคือธาตุดินแน่นอน ...เพราะเป็นของแข็ง...แต่ที่เราเห็นก้อนหินนั้น ที่แท้นั่นคือเราเห็นสีที่ฉาบธาตุดินหรือก้อนหินนั้น ไม่ใช่เราเห็นธาตุดิน ...แต่เรารู้ธาตุดิน(ก้อนหิน) นั้น ด้วยการสัมผัสจากมือเรา ได้ ....เพราะฉะนั้น คนที่พูดกันเรื่อยๆ ว่า พิจารณา นามรูป ...คนพูดก็พูดก็พูดมั่วไปงั้นเอง เพราะไม่รู้ความจริง... จริงๆแล้วไม่ใช่ของง่าย....จะพิจารณารูปนามได้ ต้องยกจิตเข้าถึงวิปัสสนาญาณ แล้วเท่านั้น จึงจะเห็นได้.....ต่อ เมื่อใดที่ถ้าสามารถเห็นการปรุงแต่งของจิตอย่างละเอียดยิบยับๆ ไวๆมากๆ สุดๆๆ นั่นได้ทัน .นั่นจึงจะเริ่มเรียกได้ ว่า พิจารณานามรูป ....
..... สรุปคือ การพิจารณา นามรูป ของจริงนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย ตามแบบที่พูดๆกันทั่วๆไป....ต้องฝึกจนได้จิตสงบเป็นอัปปนาสมาธิดีๆก่อน(คือได้ฌานมาดีๆก่อน)..แล้วเริ่มฝึกวิปัสสนาญาณ จนสามารถตามทันการปรุงแต่งที่ละเอียดและไวๆมากๆในจิตได้ทัน..นั่นจึงพอจะเรียกได้ว่า เริ่มเห็นรูปนามในขั้นแรกๆ...ซึ่งยังต้องฝึกๆๆๆ กันอีกมากมาย จนสามารถเห็นการเกิดๆดับๆของจิตที่ไวๆๆมากๆสุดๆนั่นได้ทันเมื่อใดเมื่อนั้นจึงเรียกได้ว่าเริ่มเห็นรูปนามอย่างแท้จริง และจะเริ่มเห็นไตรลักษณ์ ของแท้ เริ่มต้นที่ตรงนี้ขั้นนี้ไป ..