❖ สัมภเวสีที่รัก ❖ เรื่องราวแนว ช-ช YAOI

โดย

❂จุฑาฑุธฯ❂
………………………………………………………………………………


            ดวงไฟสีแดงจากสัญญาณจราจรบ่งบอกให้ผู้ขับขี่รถให้หยุดพาหนะของตนตามสัญชาตญาณ รถยนต์ยุโรปคันงามแล่นจอดเอื่อยๆแวดล้อมไปด้วยรถยนต์หลากหลายเรียงรายอย่างคับคั่งเบียดเสียดกันสุดลูกหูลูกตา
เหตุการณ์เช่นนี้คงเป็นเรื่องปกติวิสัยสำหรับคนกรุงฯที่ได้ชื่อว่ารถติดที่สุดในโลก หากเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นซ้ำซากประจำวันมีก็แต่ช่วงเทศกาลที่ถนนโล่งอย่างผิดวิสัย วันนี้คงเป็นอีกวันหนึ่งที่ปัญหานี้มาเยือนพวกเขาอีกครั้งแต่เชื่อไหมพวกเขามิได้ใคร่ปารถนาที่จะประสบเลยหรือ ‘พวกเขารังเกียจ’มันต่างหาก การรอคอยมันนานจนบางคันดับเครื่องหากิจกรรมอื่นทำไปก็มีแต่นั่นก็หาใช่เหตุผลที่จะหยุดใจคนเราให้นิ่งได้ ‘กรี’ หนุ่มลูกร่างสูงโปร่ง หน้าตาดีแต่ออกแนวน่ารักแบบไม่รู้ตัวเองซะมากกว่าดีกรีว่าที่นักศึกษาวิชากฏหมายเกียรตินิยมของมหาวิทยาลัยชื่อดัง เบื้องหลังแววตาที่ดูเรียบเฉยนี้กลับเต็มไปด้วยความกระวนกระวายใจอย่างที่สุด  กรามของเขากระตุกเป็นระยะบอกเป็นนัยว่าความอดทนนั้นใกล้หมดลง เขาเกลียดการที่ต้องมาเสียเวลาเช่นนี้ซะเหลือเกินเพราะมันทำให้เขาไปหาใครอีกคนช้ากว่าที่ใจนึกคิด กรีตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อโทรหา ‘ใครคนนั้น’ ให้ทราบด้วยเหตุผลที่เขาไม่อาจะหลีกเลี่ยงได้

“ฮัลโหล ว่าไงครับ ถึงไหนแล้ว” ปลายสายเสียงทุ้มนุ่มหูเหมือนเดิม เขาอุ่นใจทุกครั้งเวลาได้ยินเสียงนี้มันบรรเทาอาการเซ็งบนท้องถนนลงไปได้มาก
“โชติ ตอนนี้ผมกำลังรีบไปนะแต่รถติดมาก”
“ โอเคครับ เดี๊ยวผมทำอะไรรอไปก่อนนะ ” โชติวางสายก่อนนั่งเงียบๆในห้อง ความจริงเขาเตรียมทุกอย่างไว้หมดแล้วไม่เหลืออะไรให้ทำแล้วต่างหากแค่รอคนรักของเขามาเท่านั้นเอง
หลังจากที่ปลายสายวางหูไปเป็นจังหวะเดียวกับที่รถเคลื่อนตัวได้แล้ว กรีเหยียบคันเร่งนึกอยากให้รถมันเร็วเท่าใจของเขาจริงๆที่มันไปถึงที่หมายเสียตั้งนานแล้ว
เหมือนโชคชะตาเล่นตลกกับเขา รถตู้ตีนผีขับรถย้อนศรด้วยนิสัยโชเฟอร์ขาดจิตสำนึกไม่อยากกลับรถไกลจึงคิดมักง่าย ซึ่งแน่นอน กรี ไม่ทันระวังบวกกับความเร็วที่มากกว่า 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เขาหยุดรถของเขาไม่ทันเสียแล้ว ของเหลววิ่งพล่านทั่วร่างกาย ดวงตาเบิกโพลง สมองไร้ประโยชน์ในสถานการณ์เช่นนี้เสียแล้วคงเหลือเพียงสัญชาตญาณของสัตว์ที่มันสั่งให้เขาหักหลบ รถของเขาพุ่งชนของกั้นถนนแล้วหมุนเคว้งในอากาศราวกับว่าไร้สิ่งมวลแต่แล้วแรงโน้มถ่วงก็ประกาศตัวตนชัดมันดิ่งรถของเขาให้กระแทกพื้นแล้วจึงหมุนอีกหลายตลบ ร่างของเขาถูกอัดยู่กับถุงลมนิรภัยและสายเบลต์ที่รั้งร่างเขาไว้จากเงื้อมมือมัจจุราชก่อนที่ทุกอย่างจะหยุดนิ่ง โทรศัพท์หน้าจอแหลกละเอียดของเขาดังขึ้นหลายสาย ก่อนที่ความรับรู้จะดับหาย

ห้องนอนขนาดใหญ่ภายในเรียบหรูหรี่แสงสีส้มอ่อนๆ ประดับประดาไปด้วยสรรพสิ่งที่คนรักเขานิยมจะมีให้กันในวันสำคัญ บรรยายกาศช่างมีความสุขแตกต่างจากใบหน้าคมดวงตาคมโตดูมีเสน่ห์เหลือเกินเวลาเขายิ้มบัดนี้มันต่างไปสิ้นเชิง
‘โชติ’ เด็กหนุ่มวัย 21 ปี แต่วุฒิภาวะสูงบวกกับสาขาจิตวิทยาที่เขาเรียนมันยิ่งทำให้เขาดูสุขุมลุ่มลึก สีหน้าดูเป็นกังวล จิตใจหดหู่ ถ้าผู้คนที่เขาให้คำปรึกษาด้านภาวะทางจิตมาเห็นเขาในสภาพแบบนี้คงจะหัวเราะเยาะเขาแน่นอน นี่สินะที่เรียกว่า ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด เด็กหนุ่มเพิ่งเข้าใจสุภาษิตก็วันนี้ หลายครั้งเขาหยิบมือถือของตนขึ้นมาเพื่อที่จะโทรหาคนรักของเขา แต่ปลายสายไม่ได้ตอบรับเขาเลย ไม่สิ ‘อาจจะไม่อยากสนใจกันแล้วหรือเปล่า’

“ เบื่อกันแล้วหรอ ” เขาพึมพำกับตัวเองเบาๆ เขาไม่ใช่คนจู้จี้เรื่องส่วนตัวของอีกฝ่ายมักจะเว้นพื้นที่ส่วนตัวให้กับกรีเสมอ มันทำให้เขาเป็นคนคิดมาก เวลามีปัญหาจะไม่ปรึกษาใครทั้งนั้น เรื่องนี้กรีเป็นห่วงเขาเหลือเกิน จนบางครั้งตัวของกรีเองก็แอบน้อยใจคิดว่าโชติไม่ค่อยสนใจเรื่องของเขาเท่าไหร่ โชติผลอยหลับไป เขาไม่อยากงี่เง่าเลย ถ้าวันนี้ไม่ใช่วันครบ 5 ปีของการคบกัน

   แสงไฟจ้าจนม่านตาไม่อาจสู้แสงได้ กรีเริ่มรู้สึกตัวเขาหลับตาอีกครั้งแล้วเริ่มลำดับเหตุการณ์ในสมอง ทำไมเขาถึงมาอยู่ตรงนี้พลันทุกอย่างก็แวบเข้ามาในหัวเขาทั้งหมด ใจนึงก็โทษสวรรค์ที่ทำให้เขาไม่ได้ไปหาโชติตามเวลาแต่อีกใจก็ขอบคุณที่อย่างน้อยก็ยัง’รอดชีวิต’ น่าแปลกที่เขาได้ยินเสียงเจ้าหน้าที่คุยกันว่ารถของเขาพังยับเยิน เขาไม่ได้เป็นอะไรมากจึงรีบกลับทันที
กรี โบกรถแท๊กซี่แต่ดูโชเฟอร์คงตกใจเพราะเสื้อเชิ้ตสีขาวดูมอมแมมเล็กน้อย เขามุ่งหน้าไปยังคอนโดของเขาและโชติแม้ในระหว่างทางโชเฟอร์แท๊กซี่จะลอบมองเขาผ่านกระจกบ่อยๆก็ตามคงกลัวว่าเขาจะจี้ปล้นกระมังเขาแอบนึกขำตนเอง    ภายในห้องสลัวเขาเดินฝ่าลูกโป่งที่ลอยติดเพดานปล่อยหางชี้ลงพื้นเพื่อรอให้เขามาจับมัน แต่เจ้าภาพงานบัดนี้สลบไสลไปเสียแล้ว ใบหน้าดูน่าค้นหาของคนที่นอนอยู่บนเตียงนี้เป็นคนเดียวกับที่เขาตกหลุมรักทุกวัน แต่ตอนนี้เขารู้สึกผิดเหลือเกินที่มาไม่ทันเวลา รู้สึกผิดที่ปล่อยให้อีกฝ่ายต้องรอ รู้สึกผิดที่ทำให้โชติต้องเจ็บครั้งแรก ใช่ ‘เขาไม่เคยทำให้โชติเจ็บเลย’แต่วันนี้เขาพลาดเสียแล้ว เขาไม่นึกโทษใครแต่โทษตัวเองที่ประมาทเอง ร่างสูงโปร่งของเขาโน้มลงจูบปลอบใจอีกฝ่ายก่อนที่เขาจะค่อยทาบกายแนบชิดร่างที่หลับไหลเพื่อลืมความเจ็บปวด เขาให้แขนขากระชับกอดโชติพลางจูบอย่างทะนุถนอม เขากระชับกอดแน่นขึ้นราวกับจะซับเอาความเจ็บปวดที่อีกฝ่ายได้รับมาไว้กับตนบ้าง

  “ กรี ขอโทษนะ ”    

  “ กรี ขอโทษนะ ”        

  “ กรี ขอโทษนะ ”

เขาพร่ำกระซิบบอกโชติ เวลาผ่านไปไม่นาน อีกร่างเริ่มสั่นเทิ้มเป็นจังหวะจนกรีรู้สึกได้มันยิ่งทำให้ตนเจ็บปวด

‘ เขาทำให้โชติร้องไห้ ’

ร่างบางในอ้อมกอดสะอื้น เมื่อตื่นขึ้นจากนิทรา

“ กินอะไรมาหรือยัง ” ทั้งๆที่มีคำถามอยากถามแทบตาย แต่กลัวอีกฝ่ายจะรู้สึกผิดมากกว่าเดิม โชติจึงถามไปเท่านี้ก่อน
“ ยังครับ ” เสียงเบาๆของกรีบอกเป็นอย่างดีในเนื้อเสียงว่าเขารู้สึกผิด
“ ไปไหนมาหรอ ”
“ เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อย ขอโทษนะ ” หากเขาบอกไปตอนนี้ว่ารถยับเยินขนาดไหน โชติคงตื่นตระหนกแน่ๆ เขาอยากบอกทีหลังมากกว่า
“ ห้องสวยดีนะ จัดเองทั้งหมดเลยหรอ ”
“ ครับ ”

กรีใช้มือของเขาควานหาสิ่งของในกระเป๋ากางเกง พลอยโล่งอก อุบติเหตุไม่ได้ทำให้ของแทนใจของเขาหายไป จี้ ‘ กีรโชติ ’ เขาสั่งทำจี้ตัวอักษรภาษาไทยด้วยทองคำและสร้อยทอง เขาตั้งใจเอามามอบให้โชติ ถ้าทันเวลามันจะดีกว่านี้ กรีค่อยๆหย่อนสร้อยให้โชติดู

“ สวยไหม ” เขาถามอีกฝ่าย

โชติมองดูจี้พลางเอามือไปสัมผัสเพื่ออ่านตัวอักษรชัดๆ เขาค่อยๆปล่อยมือออก

“ ของแพงหนิ ” โชติพูดเสียงเรียบๆ

“ กรีทำให้เอาไว้นะ ชิ้นนี้ขอร้อง ” กรีรีบพูดตัดบท เพราะกลัวอีกฝ่ายปฏิเสธ เขารู้อยู่แก่ใจดีว่าโชติไม่เหมือนใครยิ่งสิ่งของที่คู่อื่นเขาประเคนให้กัน ไม่ได้มีบ่อยสำหรับคู่นี้แม้กรีจะมีกำลังมากที่จะเอามาให้เขาได้ก็ตาม โชติเคยบอกเขาว่าไม่ได้อยากได้เงินจากผม จนบางทีผมก็อึดอัดที่ไม่สามารถดูแลอะไรเขาได้ทั้งหมดทั้งๆที่อยากทำแทบขาดใจ แต่ครั้งนี้เป็นวันสำคัญมันมีน้ำหนักมากพอที่เขาจะรับไว้ได้

“ ขอบคุณนะ ” โชติตอบสั้นๆพลางส่งยิ้มให้ กรีสวมสร้อยคอให้เขา

“ เราคบกันมากี่ปีแล้วหรอ ” โชติแกล้งถาม

“ ก็ตั้งแต่โชติอยู่ม.4 กรีอยู่ม.6 แต่ตอนนี้จนจะใกล้จบมหาลัยแล้วหละ” กรีตอบ

“  นึกยังไงมาจีบผมก่อน ” โชติถามด้วยสีหน้ากวนๆ ตอนนี้บรรยายคลายความตึงเครียดลงไปแล้ว กรีมองหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาอ่อนหวาน พลางยิ้มเจ้าเล่ห์

“ เหอะๆ ใช่หรอน้อง คิดดูดีๆ ” กรีตอบอย่างมันอกมั่นใจเขายิ้มออกมา รอยลักยิ้มที่โชติมักอ่อนละทวยปรากฏบนหน้ากรี

“ ไหนหลักฐาน ” โชติถามพร้อมกับหันหน้าเข้าอีกฝ่าย

“ จะให้โทรหาไอ้วีร์เอาไหมมันเป็นพยานปากเอกเลยหละ เอาไหม ” กรีมั่นใจในพยานหลักฐานตามประสานักศึกษาวิชากฎหมาย คิดว่ายังๆจำเลยรายนี้ก็ดิ้นไม่หลุด

“ ยอมๆเว้ย 555555555555555555555 ” เมื่อกรีหลุดชื่อพี่วีร์ เขาถึงกับพูดไม่ออกได้แต่ยอมรับความจริงว่าเขาเองเป็นฝ่ายเข้าไปในชีวิตของกรีก่อน

“ ไม่น่าเชื่อเลยนะเห็นเงียบๆแบบนี้ร้ายลึกนะเรา ”  กรีพูดจีบปากจีบคออย่าง-ดันอีกฝ่าย ทำให้โชติได้แค่ยิ้มแหยๆ

“ แล้วรักไหมหละ ” โชติถามแล้วมองจาอีกฝ่าย

“ รักครับ ” กรีตอบพลางมอบยิ้มพิมพ์ใจ

‘ สายตาคู่นั้นยังคงเหมือนเดิม ดูอบอุ่น น่าค้นหา เหมือนครั้งแรกที่เราเจอกัน ไม่สิโชติเป็นฝ่ายแอบมองอีกฝ่ายอยู่ข้างเดียวต่างหาก’

.
.
.
.
.
“  นี่คุณเพื่อนคะ จะหิวอะไรขนาดนี้สั่งข้าวซะพูนจานเชียว  ” เพื่อนในกลุ่มทักถามโชติด้วยเสียงเจื้อแจ้ว
“ ก็คนมันหิวนี่หว่า  อีกอย่างพวกเราเป็นเด็กใหม่ ม.4 ต้องใช้พลังงานมากมาย ถ่างตาดูด้วยว่าวิชาต่อไปคือวิชาอะไรหนักๆทั้งนั้น” โชติบอกเพื่อนในกลุ่มเสร็จก็ทานข้าว
ระหว่างที่ผมกับเพื่อนๆกำลังทานข้าวเพื่อนคนหนึ่งสะกิดผม
“  ๆ งานดี ”  มันพูดเสร็จพลางชี้ไปที่โต๊ะเยื้องๆกับเรา
โต๊ะนั้นเป็นกลุ่มผู้ชายมองแว๊บเดียวก็รู้ว่าเป็นพวกรุ่นพี่ ก็เป็นคนหล่อฮอตๆของเหล่าสาวๆแหละครับผมไม่ค่อยชอบพวกนี้สักเท่าไหร่จังหวะที่กำลังจะดึงสายตากลับมาผมมองเห็นผู้ชายคนหนึ่งในกลุ่มนั้นความรู้สึกเหมือนเคยเจอกันที่ไหน อยากรู้จักมาก เขาดูเงียบๆต่างจากพวกลิงข่างรอบๆตัวเขา  ไม่รู้ว่าผมจ้องเขานานไปหรือเขาหันมาพอดี เราสบตากันโดยบังเอิญ ผมหลบสายตาแต่ก็ต้องสะดุ้งเมื่อเพื่อนมองตาผมทุกคน
“  สนคนไหน ”  เพื่อนคนนึงถาม
ผมก้มหน้าลงกับโต๊ะแล้วบอกพิกัด
“ ดูตี๋นะ ชอบหรอ ” เพื่อนคนหนึ่งถาม
“  เนื้อคู่เลยหละ ” ไม่ทราบว่าอะไรเข้าสิงผมจึงพูดคำนั้นออกไป  เพื่อนๆวี๊ดว้ายยยยกันเกรียวกราว
ผมว่าหน้าพี่เขาคล้ายๆ สกาย ฮอโมน เวลายิ้มแล้วจะเห็นลักยิ้ม
“  ความร่านไม่เข้าใครออกใครจริงๆ แม้กระทั่งแม่ชีอย่างยังตบะแตก ”
“ อันนี้คือชมใช่ไหม ”  ผมถาม เพื่อนๆพยักหน้ารักพร้อมๆกัน
“  พูดซะขนาดนี้ถ้าเพื่อนไม่ช่วยเพื่อนก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว ” เพื่อนคนหนึ่งทำท่าจะลุกไป ผมรีบตวัดมือเอาไว้
“ เธอลืมไปแล้วหรือไง หลักจิตวิทยาในการสร้างความสัมพันธ์ ข้อที่1 อย่าทำให้อีกฝ่ายรู้สึกกลัว ” ผมพูดให้สติเพื่อน
“  แล้วจะทำยังไง ” เพื่อนคนหนึ่งถามผม
“  ช่วยไปสืบดูให้ด้วยว่าพี่เขาอยู่ ม. อะไร ห้องอะไร เรียนแผนกไหน  ที่เหลือเดี๊ยวจัดการเอง ”
หลังจากนั้นผมได้ข้อมูลว่า พี่เขาชื่อ กรี ม.6/1 ซึ่งถือว่าเป็นห้องคิง เรียนแผนกศิลป์-ภาษาฝรั่งเศส ที่น่าตกใจคือเมื่อผมดูนามสกุลแล้วก็ทำให้ทราบว่าครอบครัวของพี่กรีนั้นเก่าแก่มาก เพราะผมชอบศึกษาประวัติศาสตร์มันยิ่งกระตุ้นต่อมของผมให้ทำงานมากยิ่งขึ้น ถึงว่าทำไมหน้าแกดูมีราศีจับยิ่งนัก
ผมก็แค่ไปดูว่าพี่แกชอบอะไร ชอบไปไหน ทัศนคติแนวคิดเป็นอย่างไร เล่นกีฬาหรือเปล่า เราเลือกทำในสิ่งที่เราถนัดและตรงกับอย่างใดอย่างหนึ่งของเขา ซึ่งสิ่งที่ผมเลือกก็คือกีฬาครับ ได้ข่าวมาว่าพี่แกชอบเล่นแบดมินตัน ซึ่งผมเองก็เป็นนักแบดประจำโรงเรียนเก่าเสียด้วยยิ่งทำให้ผมสามารถทำความรู้จักง่ายเป็นพิเศษ
ผมไปนั่งเลียบเคียงดูแกเล่นกับเพื่อนทุกเย็นที่สนามแบด ซึ่งผมก็จะคอยเล่นอยู่สนามข้างๆพี่เขาครับทำให้เริ่มคุ้นชินหน้าไปเอง จนวันหนึ่งที่โอกาสมันเหมาะเจาะขณะที่ผมมาสนามแบดก็ผมว่าพี่กรีนั่งรอเพื่อนหรือเพื่อนไม่มีทีท่ามาไม่ทราบเห็นแกยืนหันหลังให้ทำท่าจะกลับ ผมใจดีสู้เสือเดินถือไม้เข้าไปข้างหลังแก กลั้นความตื่นเต้นแล้วพูดว่า
‘ พี่ครับเล่นแบดด้วยกันไหม’
พี่กรีหันมายิ้มให้ครับพี่เขาตกลง ผมเล่นกับพี่กรีไปสักพักเกมดูสูสีดุเดือด สร้างรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ผมอาจจะอ่อนให้บางลูกเพราะอยากหลอกให้แกยิ้มบ่อยๆ มันเรียกว่ามารยาหรือเปล่าผมไม่ทราบแน่ชัด เชื่อไหมครับตั้งแต่วันนั้นผมไปเล่นแบดกับพี่แกทุกวัน เป็นบางวันที่ผมติดธุระก็บอกพี่เขาให้ทราบ ไม่ว่าพี่กรีจะเจอกับผมที่ไหนเขาจะเดินมาคล้องคอ พูดคุยอย่างสนิทสนมซึ่งถือว่าผมสำเร็จในขั้นแรกอย่างท่วมท้น ผมจะใช้ความเป็นเพื่อนให้เรารู้จักกันดีก่อนแล้วค่อยๆโชว์ความน่าสนใจความน่ารักของตัวเองให้อีกฝ่ายเห็นทีละนิดทำซ้ำๆทุกวันจนกลายเป็นความกำกวมในความสัมพันธ์ที่จะเรียกพี่น้องก็ไม่ใช่ เพื่อนก็ดูเหนือกว่านั้นแล้วมันพิเศษกว่านั้นครับแต่ที่สำคัญผมไม่เคยงี่เง่า เอาแต่ใจ ทำตัวน่ารำคาญ เรียกร้องความสนใจ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่